ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 42,271 รายการ

  ***บรรณานุกรม***  กรมศิลปากร เรื่องมหาดเล็ก พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพันเอก นายวรการบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่  4  พฤศจิกายน 2517 กรุงเทพฯ  โรงพิมพ์พระจันทร์ 2517


วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร เป็นปูชนียสถานสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในพระราชอาณาจักรไทยโดยเฉพาะภาคใต้ คือเป็นปูชนียสถานสำคัญ 1 ใน 3 ของภาคนี้


แหลมไฟไหม้ ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒ บ้านอ่าวน้ำ ต.แหลมสัก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ในเขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี           กรมศิลปากรได้มีการสำรวจพบเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๐ – ๒๕๓๑ เป็นแหล่งโบราณคดีที่ตั้งอยู่บนเกาะหรือเขาใสโต๊ะดำ ส่วนหนึ่งของแหลมที่อยู่ด้านทิศตะวันตกของแหลมสัก ล้อมรอบด้วยป่าชายเลน คลอง ทะเล และเกาะ สภาพพื้นที่เป็นเพิงผาโค้งเว้าเข้าไปลักษณะรอยบาก (Notch) ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นในช่วงระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุด เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว เพิงผามีความยาวประมาณ ๕ เมตร และมีระดับสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๓ เมตร           มนุษย์ในอดีตจึงสามารถใช้เพิงผาแห่งนี้และใกล้เคียงเป็นแหล่งพักพิงชั่วคราวหรือประกอบกิจกรรม หรือใช้พื้นที่เป็นแหล่งหลบลมมรสุมกระแสคลื่นลมระหว่างการเดินทางได้ และอาจมีการขีดเขียนวาดภาพบนผนังเพิงผาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว วิถีชีวิตความเป็นอยู่ หรือเป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่มคน           กลุ่มภาพเขียนสีปรากฏชัดเจนบริเวณผนังของเพิงผา เป็นภาพเขียนด้วยสีแดงกลุ่มใหญ่เกือบเต็มพื้นที่ โดยส่วนใหญ่ใช้เทคนิคการเขียนแบบระบายทึบ บางภาพเขียนเป็นโครงร่างภายนอกและตกแต่งรายละเอียดลวดลายภายใน ลักษณะคล้ายบุคคล สัตว์ ลายเรขาคณิต และลวดลายคล้ายธรรมชาติ           จากข้อมูลการสำรวจ สามารถจำแนกกลุ่มของภาพตามรูปร่างที่ปรากฏ ดังนี้           ๑. ภาพบุคคล ใช้เทคนิคระบายทึบและเขียนเฉพาะโครงร่าง ภาพที่มีความโดดเด่นที่สุดคือภาพระบายสีแดงทึบทั้งภาพ คล้ายบุคคล ๒ คน ยืนอยู่ชิดติดกัน ลักษณะคล้ายคนแฝด หรือคนหนึ่งอาจเป็นคนพิการหรือร่างกายผิดปกติและอีกคนกำลังพยุงอยู่ ขนาดของภาพสูงประมาณ ๕๐ เซนติเมตร และยังมีภาพโครงร่างบุคคล ส่วนศีรษะกลมรี ลำตัวด้านบนกว้างสอบลงด้านปลาย มีแขน ๒ แขน ไม่มีนิ้วมือ ส่วนภาพอื่นๆ เป็นภาพคล้ายบุคคลแสดงกิริยาต่างๆ กระจัดกระจายทั่วไป และปรากฏอยู่รวมเป็นกลุ่มกับภาพสัตว์และภาพเรขาคณิต           ๒. ภาพสัตว์ เขียนลายเส้นโครงร่างภายนอกและเขียนตกแต่งภายในด้วยลายเส้นและจุดสีแดง ปรากฏภาพสัตว์คล้ายปลา ที่มีส่วนตา ปาก ไม่มีครีบหาง ๑ ภาพ ขนาดภาพสูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร และยังมีภาพลายเส้นโครงร่างคล้ายปลาแต่สีซีดจางไม่ชัดเจนอยู่เหนือภาพคล้ายบุคคล ภาพสัตว์อื่นๆ เป็นภาพคล้ายนก เขียนลายเส้นเป็นโครงร่างและเขียนตกแต่งภายในด้วยสีแดง ลักษณะลำตัวเป็นรูปวงกลมซ้อนกันหลายวง มีส่วนศีรษะ ลำตัว หาง และขา นอกจากนี้ยังมีภาพสัตว์คล้ายแมงกะพรุน ๒ ภาพ อยู่ใกล้กัน เป็นลายเส้นโครงร่างสีแดง ส่วนหางคล้ายโบว์และมีหางยาวต่อลงมา           ๓. ภาพคล้ายพระจันทร์เสี้ยว เขียนสีแดงแบบระบายทึบ มีส่วนโค้งเว้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ขนาดของภาพสูงประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ปรากฏอยู่ใกล้กับภาพเรขาคณิตรูปกากบาทและภาพปลา           ๔. ภาพเรขาคณิต ปรากฏภาพรูปกากบาทติดกัน ๓ ภาพ เขียนเป็นลายเส้นสีแดง อยู่ใกล้กับภาพพระจันทร์เสี้ยว และยังมีภาพวงกลมสีแดงคล้ายหัวหอมผ่าซีกหรือดอกบัว ส่วนปลายสอบแหลม นอกจากนี้ยังมีภาพที่เป็นลายจุดคล้ายใช้ปลายนิ้วมือกดประทับลงไปเป็นจุดๆด้วยสีแดง แสดงโครงร่างคล้ายรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ และยังมีภาพที่เกิดจากการเขียนเส้นต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่นมและสามเหลี่ยมจนมีลักษณะคล้ายเรือที่มีภาพบุคคลหรือสัตว์อยู่ด้านบนอีกด้วย           หลักฐานภาพเขียนสีที่ปรากฏที่แหลมไฟไหม้นี้ อาจแสดงถึงความสัมพันธ์กับภาพที่แหล่งภาพเขียนสีอื่นๆ ในเขตอ่าวพังงาและอ่าวลึก เรื่องราวของภาพแสดงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ เพราะปรากฏภาพที่ชัดเจนของสัตว์น้ำ เช่น ภาพปลา ภาพแมงกะพรุน และยังมีภาพนก ซึ่งพบเห็นอยู่ทั่วไป ผู้คนหรือกลุ่มคนที่ทำการเขียนภาพเหล่านี้ น่าจะเป็นพวกที่ดำรงชีพด้วยการหาและใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นหลัก โดยอาจออกหาอาหารหรือเร่ร่อนไปในทะเล เมื่อพบเพิงผาจึงอาจใช้เป็นที่หลบพักอาศัยชั่วคราว และขีดเขียนภาพเหล่านี้ไว้ และกลุ่มคนนี้น่าจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มคนบนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งอาจมีการนำของที่หามาได้มาแลกเปลี่ยนกัน จนอาจมีการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานและการกระจายตัวของกลุ่มคนในพื้นที่บริเวณนี้           อายุสมัยของภาพเขียนสี กำหนดได้โดยการเปรียบเทียบกับอายุสมัยของการเกิดรอยบากซึ่งเกิดจากการกระทำของคลื่นในช่วงระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุด เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ดังนั้นอายุของภาพเขียนสี จึงควรมีอายุไม่เก่าไปกว่าอายุสมัยของการเกิดรอยบาก อีกทั้งสามารถเปรียบเทียบกับแหล่งภาพเขียนสีที่พบบริเวณใกล้เคียง และร่องรอยหลักฐานจากแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในพื้นที่อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ จึงสามารถที่จะอนุมานได้ว่าภาพเขียนสีแหลมไฟไหม้และแหล่งอื่นๆในพื้นที่บริเวณนี้ น่าจะมีอายุสมัยอยู่ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ ๓,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่มาของข้อมูล : นายธวัชชัย ชั้นไพศาลศิลป์ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช


หมวดหมู่                        พุทธศาสนาภาษา                            บาลี/ไทยหัวเรื่อง                          ธรรมเทศนา                                    ชาดก                                    นิทานคติธรรมประเภทวัสดุ/มีเดีย            คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                    26 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม. บทคัดย่อ                      เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากพระครูวิมลสังวร วัดแค ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี





ชื่อผู้แต่ง   กรมศิลปากรชื่อเรื่อง   ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตและตำนานกฐินครั้งที่พิมพ์  พิมพ์ครั้งที่ ๖๒สถานที่พิมพ์  พระนครสำนักพิมพ์    โรงพิมพ์สามมิตร ๕๑ปีที่พิมพ์   ๒๕๑๓จำนวนหน้า  ๑๒๔ หน้าหมายเหตุ   พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาวรรณศาสน์พลยุทธ              (ดาลุศ ลุศนันทน์) ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๓            หนังสือเรื่องประเพณีเกี่ยวกับชีวิต เล่มนี่ มีเรื่องต่างๆรวม ๕ เรื่อง คือ ๑. ประเพณีทำบุญ ๒.ประเพณีเลี้ยงลูก ๓.ประเพณีบวชนาค ๔.ประเพณีแต่งงาน ๕. ประเพณีทำศพ ส่วนเรื่องตำนานกฐิน เป็นหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับพิธีทอดกฐินซึ่งเป็นพิธีสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับพุทธศาสนิกชน




อนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ), พระยา.  เมืองสวรรค์และนอกฟ้าป่าหิมพานต์.  พระนคร : กรมศิลปากร, 2508.        หนังสือเรื่องเมืองสวรรค์ และนอกฟ้าป่าหิมพานต์ ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับเมืองสวรรค์ และนรกภูมิ ต่าง ๆ ที่มีกล่าวไว้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง


ชื่อเรื่อง : กาพย์มหาชาติ   ผู้แต่ง : กรมศิลปากร   ครั้งที่พิมพ์ : ๓   ปีที่พิมพ์ : ๒๕๐๗   สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ   สำนักพิมพ์ : คลังวิทยา                       หนังสือกาพย์มหาชาติ อธิบายลักษณะหนังสือที่เรียกว่า มหาชาติ ต่อจากนั้นเป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับกาพย์มหาชาติโดยลงพิมพ์ในเล่มเพียง ๓ กัณฑ์ คือ กาพย์วนประเวศ กาพย์กุมารบรรพและกาพย์สักรบรรพ ตอนท้ายเรื่องเป็นการอธิบายกาพย์สักรบรรพ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ





          บ้านหลวงรับราชทูต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่อาคารโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ในเขตตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีการจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ เขตหลัก ได้แก่บ้านวิชาเยนทร์ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก บ้านหลวงรับราชทูตตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีโรงสวดหรือโบสถ์ในคริสต์ศาสนา นอเตรอะ ดาม เดอ ลอแรตต์ (Notre-Dame de Laurette) อยู่ตรงกึ่งกลางหมู่อาคาร - หมู่สถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความใหญ่โตหรูหราและอำนาจ -           บ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากการศึกษาหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ และการสำรวจรายละเอียดรูปแบบสถาปัตยกรรมในเบื้องต้นพบว่า พัฒนาการของการก่อสร้างบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) เริ่มขึ้นจากบ้านหลังใหญ่ทางฝั่งตะวันตกที่มีอิทธิพลของรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ อินโด-เปอร์เซีย ซึ่งมีนักวิชาการ ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เดิมเคยเป็นที่พำนักอาศัยของพ่อค้าชาวเปอร์เซียที่มาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยามาก่อน พ.ศ. ๒๒๒๖ ในภายหลังบ้านหลังนี้ได้ตกมาเป็นสมบัติของราชสำนัก           สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานบ้านหลังนี้ให้แก่ พระยาวิไชเยนทร์ (Constantine Phaulkon)ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๒๒๖ – ๒๒๒๘ พระยาวิไชเยนทร์จึงเข้ามาปรับปรุงบ้านหลังใหญ่เพื่อใช้ในการอยู่อาศัยของตนเองและครอบครัว พร้อมกับสร้างโบสถ์นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ (Notre-Dame de Laurette) ขึ้น           ในช่วงปลายปีพุทธศักราช ๒๒๒๘ ทางราชสำนักกรุงศรีอยุธยาได้ใช้บ้านพระยาวิไชเยนทร์เป็นที่รับรองคณะราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งนำโดย เซอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ (Chevalier Alexandre de Chaumont) ราชทูตวิสามัญของฝรั่งเศส ผู้นำพระราชสาสน์มาถวาย และเดินทางขึ้นมาเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เมืองละโว้ เนื่องจากขณะนั้นบ้านหลวงรับราชทูตอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ จึงมีการต่อเติมบ้านหลังใหญ่ของพระยาวิไชเยนทร์ และก่อสร้างอาคารขึ้นเพิ่มเติมในบริเวณบ้านวิชาเยนทร์อีกหลายหลัง เพื่อให้เพียงพอแก่การรับรองผู้ติดตามคณะราชทูต ในช่วงระยะเวลานั้นโบสถ์นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ สร้างแล้วเสร็จ แต่ยังไม่ได้ประดับตกแต่ง รายละเอียดพอใช้งาน ท่านราชทูต เดอ โชมองต์ จึงได้ใช้โบสถ์หลังนี้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตลอดช่วงระยะเวลาที่คณะทูตฝรั่งเศสพำนักอยู่ที่เมืองละโว้           การก่อสร้างบ้านหลวงรับราชทูตทางฝั่งตะวันออก การตกแต่งโบสถ์ นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ การก่อสร้างเขตพัทธสีมา และแท่นมหากางเขนศิลาแล้วเสร็จสมบูรณ์ประมาณ พ.ศ. ๒๒๓๐ อันเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกับที่คณะผู้แทนพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ นำโดย มองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubere) เดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ที่เมืองละโว้ คณะของมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ จึงได้เข้าพักที่บ้านหลวงรับราชทูตทางฝั่งตะวันออก เมื่อสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ถูกปล่อยทิ้งร้างให้ชำรุดทรุดโทรมลงตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามจนถึงในปัจจุบันหมู่อาคารเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตหรูหรา และอำนาจของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๓ หน้า ๙๐๔ วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๗๙ - มูลเหตุแห่งการค้นพบห้องลับปริศนาบ้านหลวงรับราชทูต -           ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๖๓ สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี ทำการขุดตรวจและขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่โบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ผลจากการดำเนินงานทางโบราณคดีที่น่าสนใจ คือ บริเวณด้านหน้าอาคารหมายเลข ๕ ของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ การขุดตรวจทางโบราณคดีเบื้องต้น พบว่าเป็นชั้นใต้ดินที่มีห้องขนาดความกว้าง ๕.๑๖ เมตร ความยาว ๑๘.๗๕ เมตร อยู่ลึกจากระดับผิวดินลงไปประมาณ ๒.๐ เมตร พื้นห้องดาดปูนมีบันไดขึ้น-ลง ๒ ด้าน เชื่อมต่อกับอาคารหมายเลข ๕ และอาคารหมายเลข ๖ ห้องที่ตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินลักษณะเดียวกันนี้เคยค้นพบในอาคารด้านหน้าบ้านวิชาเยนทร์ ซึ่งนักวิชาการสันนิษฐานว่า อาจเป็นอาคารต้อนรับใช้เป็นที่จัดเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มแก่คณะราชทูต ที่มีชั้นใต้ดินเป็นห้องไว้สำหรับเก็บเครื่องดื่มประเภทไวน์          นอกจากนี้ในระดับต่ำกว่าผิวดินลงไป ๑๐-๑๓๐ เซนติเมตร ในพื้นที่บ้านหลวงรับราชทูต ยังปรากฏหลักฐานร่องรอยของสถาปัตยกรรม พื้น และฐานอาคารต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการใช้พื้นที่ในสมัยอยุธยา เช่น อาคารหมายเลข ๑๒ ในบ้านวิชาเยนทร์ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโรงอาบน้ำแบบเปอร์เซีย (Hammam) บริเวณด้านหลังพบห้องน้ำขนาดเล็ก ความกว้าง ๑.๓๐ เมตร ความยาว ๕.๗๕ เมตร เทพื้นดาดปูนทางด้านทิศตะวันตกปรากฏร่องรอยของหลุมทรงกลม และท่อดินเผาติดอยู่กับผนังโรงอาบน้ำ ส่วนด้านทิศเหนือเชื่อมต่ออยู่กับกำแพงขนาดใหญ่ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพงบ้านเดิมทางด้านหลัง อาคารหมายเลข ๑๓ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโรงครัวของมารี กีมา (Marie Guimar) ภรรยาพระยาวิไชเยนทร์ ทางด้านทิศเหนือของอาคารพบพื้นพาไลดาดปูน และบริเวณด้านหน้าของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต พบร่องรอยการปูพื้นด้วยอิฐเป็นแนวตรงไปยังบันไดหลักของหมู่อาคาร แนวท่อน้ำดินเผาบริเวณมุมบันไดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับแนวท่อน้ำดินเผาที่ต่อออกมาจากถังเก็บน้ำก่ออิฐถือปูนบริเวณด้านข้างอาคารหมายเลข ๗ และแนวฐานกำแพงก่ออิฐซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพงบ้านเดิมทางด้านหน้า เป็นต้น - การไขปริศนาห้องลับด้วยวิธีการทางโบราณคดี -           ห้องขนาดใหญ่ในชั้นใต้ดินของอาคารด้านหน้าบ้านหลวงรับราชทูตนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์การใช้งานหรือเหตุผลใด เป็นห้องเก็บเครื่องดื่มประเภทไวน์เพื่อเสริมสร้างความสำราญแก่แขกผู้มาเยือน เป็นห้องเก็บสิ่งของที่คณะทูตนำเข้ามาเพื่อถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือเป็นสถานที่ซุกซ่อนสั่งสมศัตราอาวุธต่างๆเพื่อเสริมพลังอำนาจของผู้ที่ต้องการแย่งชิงหรือความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ รวมทั้งข้อมูลของอาคารสถาปัตยกรรมองค์ประกอบรายละเอียดในส่วนต่างๆ ของบ้านหลวงรับราชทูต จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจในการสืบค้นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏอยู่ เพื่อต่อเติมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองลพบุรีให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น           สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี จึงดำเนินโครงการอนุรักษ์และพัฒนาบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ระยะที่ ๒ เพื่อดำเนินการขุดแต่งทางโบราณคดีในเขตบ้านหลวงรับราชทูตทั้งบริเวณ ระหว่างเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ – เดือนมีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี จะรายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป ภาพ : โบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ภาพ : บ้านวิชาเยนทร์ ภาพ : หมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ภาพ : ผังแสดงตำแหน่งหลุมขุดตรวจทางโบราณคดีตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ปี ๒๕๖๓ ภาพ : การขุดตรวจทางโบราณคดีตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ปี ๒๕๖๓ ภาพ : ห้องใต้ดินขนาดใหญ่ บริเวณด้านหน้าอาคารหมายเลข ๕ ของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ภาพ : ห้องใต้ดินขนาดใหญ่ บริเวณด้านหน้าอาคารหมายเลข ๕ ของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ภาพ : บริเวณด้านหลังอาคารหมายเลข ๑๒ ในบ้านวิชาเยนทร์ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโรงอาบน้ำแบบเปอร์เซีย (Hammam) พบห้องขนาดเล็กเทพื้นดาดปูน ทางด้านทิศตะวันตกปรากฏร่องรอยของหลุมทรงกลม และท่อดินเผาติดอยู่กับผนังโรงอาบน้ำ ภาพ : ด้านหน้าของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต พบร่องรอยพื้นทางเดินก่ออิฐเป็นแนวตรงไปยังบันไดหลักของหมู่อาคาร และแนวฐานกำแพงก่ออิฐซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพงบ้านเดิมทางด้านหน้า ภาพ : ร่องรอยของฐานอาคารในบ้านหลวงรับราชทูต ......................................................................ผู้เรียบเรียงข้อมูล/รายงาน : นายเดชา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรีที่มาของข้อมูล : Facebook สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี