ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 42,070 รายการ
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก)ชาตกฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทสพร-มหาราช)
สพ.บ. 263/4ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
พฺรยาสุนนฺทราช (พฺรยาสุนนฺทราช)
ชบ.บ.67/1-1ค
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-นครกัณฑ์)
สพ.บ. 415/9ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา เทศน์มหาชาติ ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.287/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 62 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 121 (258-265) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : มาลัยแสน(มไลแสน)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง ตำนานท้องถิ่นสุพรรณผู้แต่ง ศิวกานท์ ปทุมสูติผู้แต่งเพิ่ม สุนันทา สุนทรประเสริฐ และอรอนงค์ โชคสกุลประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นหมวดหมู่ ประวัติศาสตร์ไทยเลขหมู่ 959.375 ศ541ตสถานที่พิมพ์ สุพรรณบุรี สำนักพิมพ์ สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสุพรรณบุรีปีที่พิมพ์ 2534ลักษณะวัสดุ 157 หน้า หัวเรื่อง สุพรรณบุรี—นิทานพื้นบ้าน อำเภอ--สุพรรณบุรี--ประวัติ ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก ตำนานท้องถิ่นสุพรรณบุรี มีเนื้อหาเกี่ยวกับตำนาน เรื่องเล่าสืบทอดความเป็นมาของชื่อหมู่บ้าน สถานที่ต่างๆ ทั่วทุกอำเภอ ในจังหวัดสุพรรณบุรี หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นให้มีนิสัยรักการอ่าน เกิดความเพลินเพลินและได้ความรู้
ชื่อผู้แต่ง สำนักโมกขพลาราม
ชื่อเรื่อง ปัจเวกขณปาฐะ (แปล) และธัมมจักกัปปวัตตนสุตตปาฐะ(แปล)
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 7
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ หจก.การพิมพ์พระนคร
ปีที่พิมพ์ 2511
จำนวนหน้า 23 หน้า
รายละเอียด หนังสือที่ระลึกสำหรับแจกภิกษุและสามเณรที่เยือนสวนโมกขพลาราม ในเทศกาลวันเข้าพรรษาเนื้อหาเป็นเรื่องปัจเวกขุณปาฐะและธัมมจักกัปปวัตตนสุตตปาฐะแปลวรรคต่อวรรค
ชื่อผู้แต่ง ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม
ชื่อเรื่อง ก่อนไปวัด : ระเบียบปฏิบัติเบื้องต้นของชาวพุทธ
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ ปทุมธานี
สำนักพิมพ์ ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม
ปีที่พิมพ์ ม.ป.ป.
จำนวนหน้า ๗๖ หน้า
วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธทุกคน ฉะนั้นเมื่ออยู่ในวัดจึงต้องเคารพสถานที่โดยการ
สำรวมกาย วาจาและใจตลอดเวลา ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรมจัดพิมพ์หนังสือ ก่อนไปวัด : ระเบียบปฏิบัติ
เบื้องต้นของชาวพุทธขึ้น เพื่อเป็นคู่มือการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ความเป็นมาของการสร้างอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงษ์
(เจ้าคำผง)
ความคิดเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์ผู้ตั้งเมืองอุบลราชธานี เริ่มมาตั้งแต่สมัยนายเลียง ไชยกาล เป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย สมัยนี้ได้มีการโฆษณาเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชน และรวบรวมเงินได้เจ็ดหมื่นกว่าบาท เพื่อใช้เป็นทุนในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เจ้าพระวอเจ้าพระตาขึ้นทีเมืองอุบลราชธานี นายเลียง ไชยกาล จึงนำเรื่องเข้าสู่สภาจังหวัดเพื่อพิจารณาได้มีการถกเถียงโต้แย้งกันอย่างรุนแรง จากสมาชิกสภาผู้รู้ประวัติศาสตร์ จากผู้อาวุโสรุ่นเก่าชาวเมืองอุบลราชธานี และจากทางฝ่ายสงฆ์ มีการถกเถียงโต้แย้งว่าเจ้าพระตาเจ้าพระวอ (วรราชภักดี) ไม่ใช่ผู้มาสร้างเมืองอุบลราชธานี แต่ผู้สร้างเมืองที่แท้จริงนั้นคือ “เจ้าคำผง” ผู้เป็นโอรสของเจ้าพระตาจึงทำให้โครงการดำริสร้างอนุสาวรีย์เจ้าพระตาเจ้าพระวอ ในสมัยนั้นต้องระงับไป แต่เนื่องจากเงินที่ได้รับบริจาคไว้นั้นนับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ นายเลียง ไชยกาล จึงได้นำเงินไปมอบให้ทางโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลประจำจังหวัดอุบลราชธานี สร้างตึกคนไข้ขึ้น ชื่อว่า “ตึกพระวอพระตา” มาจนกระทั่งบัดนี้
อนุสาวรีย์ผู้สร้างเมืองอุบลราชธานี ดำเนินการต่อไปใน พ.ศ.2524
เริ่มคิดสร้างอนุสาวรีย์ครั้งใหม่ สมัยนั้นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์ที่เอาใจใส่ในเรื่องอนุสาวรีย์ คือท่านเจ้าพระคุณพระโพธิญาณมุนี (สุทธี ภัทริโย) เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี วัดเลียบ มีผู้นำทางฝ่ายฆราวาสคือ นายหมุน โสมฐิติ นายเคลือบ รอนยุทธ นายเชย จันสุตะ นายบำเพ็ญ ณ อุบล ได้เริ่มประชุมปรึกษาหารือกันดำริจะพากันสร้างอนุสาวรีย์ “เจ้าคำผง” ผู้สร้างเมืองอุบลราชธานีขึ้นให้ได้ จึงตกลงประกาศในวงการคณะธรรมสวนะสามัคคี ขอความร่วมมือช่วยกันบริจาคโลหะเงิน ทองเหลือง ทองแดง นาก เพื่อรวบรวมหล่อรูปเจ้าคำผงตั้งขึ้นเป็นอนุสาวรีย์ เกิดศรัทธาทั่วไปต่างก็บริจาคโลหะเป็นจำนวนมาก ในจำนวนโลหะนี้มีเงินมากมายจึงคัดเอาเฉพาะเงินหล่อพระพุทธรูปเงินขึ้นองค์หนึ่ง ตกลงก็ได้ทำพิธีหล่อพระพุทธรูปเงินและพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดศรีอุบลรัตนาราม ถวายพระนามว่า “พระพุทธเจ้าจอมเมือง” ต่อมาจึงได้มอบพระพุทธเจ้าจอมเมืองให้แก่ทางจังหวัด
ในปีพ.ศ.2526 คณะธรรมสวนะสามัคคีมอบให้นายเชย จันสุตะ
นายบำเพ็ญ ณ อุบล นายณรงค์จำปีศรี จัดทำโครงการยื่นขออนุมัติต่อจังหวัด นายบุญช่วย ศรีสารคาม เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มอบให้นายประจวบ ศรีธัญญรัตน์ นายกเทศมนตรีเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้นนำเรื่องไปติดต่อประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย ได้ความว่าอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงษ์ให้รอไว้ก่อน คณะธรรมสวนะจึงเกิดความคิดจะทำรูปปั้นอนุสาวรีย์ขึ้นเอง โดยความร่วมมือเจ้าของโรงหล่อนิรันดร์อุบล ยินดีจะหล่อรูปปั้นให้ฟรี นายมนัส สุขสาย ก็รับอาสาปั้นหุ่นขี้ผึ้งให้ ให้ขนาดใหญ่เท่าคนธรรมดา แต่เมื่อเกิดปัญหาว่าการสร้างอนุสาวรีย์ต้องเกิดจากการเห็นชอบของทุกฝ่ายทั่วทั้งจังหวัด เพราะจำเป็นต้องจัดตั้งไว้เป็นสง่าในที่เปิดเผย รวมทั้งโครงการอนุมัติจะต้องถูกต้องตามระเบียบการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติ จึงจำเป็นต้องพักเรื่องอนุสาวรีย์ไว้อีกครั้ง
ต่อมาในปีพ.ศ.2528 คณะธรรมสวนะไม่สิ้นความพยายาม จึงมอบหมายหน้าที่ให้นายมนัส สุขสาย กับนายเรียมชัย โมราชาติ เป็นผู้นำโครงการไปติดต่อกรมศิลปากร โดยนำหนังสือจดหมายส่วนตัวจากนายวสันต์ ธุลีจันทร์ ศึกษาธิการจังหวัดไปถึงผู้อำนวยการกองหัตถศิลป์ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี และได้รับคำแนะนำว่า “หุ่นขี้ผึ้งต้องหารูปใบหน้าของบุคคลเก่าแก่ของตระกูลเจ้าคำผง เป็นแบบอย่างเทียบเคียง ทั้งเครื่องแต่งกาย อาวุธประจำกายของแม่ทัพโบราณทางอีสานด้วย ต้องมีแบบแปลนและหุ่นจำลองจริงๆประกอบโครงการ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องยื่นผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดและได้รับอนุมัติจากจังหวัดแล้ว จึงจะไปถึงกรมศิลปากรเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ในปลายปีพ.ศ.2527 เรือตรีดนัย เกตุศิริ ย้ายมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี คณะธรรมสวนะจึงได้มอบโครงการจัดตั้งอนุสาวรีย์ให้จังหวัดดำเนินการรับเป็นเจ้าของโครงการ เพราะเหตุผลที่ว่า “การสร้างอนุสาวรีย์ระดับเจ้าผู้ครองเมืองจะใช้เพียงความคิดเห็นของคนเพียงกลุ่มธรรมสวนะสามัคคีกลุ่มเดียวคงไม่ได้ เรื่องนี้สมควรเป็นงานระดับจังหวัดโดยความร่วมมือจากทุกสถาบันจากชาวอุบลราชธานีทั่วทั้งจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล หมู่บ้านจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้”
จึงมีการทำหนังสือโอนมอบโครงการให้ทางจังหวัดตามหนังสือลงวันที่ 25 มิถุนายน 2529 โดยมีนายเชย จันสุตะ เป็นประธานผู้ลงนาม ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.2532 ก็มีข่าวออกมาทางวิทยุและทางหนังสือแจ้งว่ากรมศิลปากรจะให้นำรูปที่หล่อแล้วนั้นมาส่งทางจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อทำพิธีบวงสรวงและพุทธาภิเษก ที่วัดสุปัฏนารามวรวิหาร ในเช้าวันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2532 เมืองอุบลราชธานีจึงมีอนุสาวรีย์สมดังปรารถนา การไปรับพระรูปในครั้งนี้จากคำกล่าวของคุณพ่อบำเพ็ญ ณ อุบล ผู้เป็นลูกเป็นหลาน เครือญาติเจ้านายเมืองอุบลราชธานีแสดงถึงความภาคภูมิใจในเชื้อสายบรรพบุรุษ
“ข้าพเจ้านายบำเพ็ญ ณ อุบล พร้อมท่านอาจารย์มหาเชย จันสุตะ และคุณสุวิช คูณผล เป็นผู้ได้รับมอบหน้าที่ให้ไปรับเอาพระรูปทั้งสามองค์ โดยไปค้างแรมที่โรงแรมจำชื่อไม่ได้อยู่ที่ซอยหน้าวัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ รุ่งเช้าวันที่ 28 สิงหาคม 2532 จึงได้ไปที่โรงหล่อของกรมศิลปกร ที่อยู่นอกกรุงเทพฯ ใกล้กับพุทธมณฑล ข้าพเจ้าเห็นรูปของยาพ่อเฒ่า เจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงษ์ (คำผง) ตั้งยืนสง่าอยู่ข้าพเจ้าไปใกล้พระรูปแล้วกราบลง 3 ครั้ง จึงกล่าวว่า “ยาพ่อเฒ่าเอยการที่หลานคิดสร้างพระรูปได้สำเร็จลงแล้ว กว่า 200 ปีแล้วจึงได้มีพระรูปของญาพ่อเฒ่ากลับไปบ้านเมือง ของเราปกปักษ์รักษาลูกหลานบ้านเมืองญาพ่อเฒ่าสืบไป แล้วเอาพวงมาลัยคล้องพระกรแล้วก้มกราบลง ขณะนั้นข้าพเจ้าดีใจว่าความคิดสำเร็จแล้ว ได้รูปญาพ่อเฒ่าขึ้นมาเป็นรูปร่างอย่างสง่างาม ดีใจและปลื้มใจเป็นอย่างที่สุดที่จะกล่าวออกมาได้แต่นั่งสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลซึมและก้มลงกราบหมอบร้องไห้อยู่คนเดียวตั้งนานแม้ทุกวันนี้ นึกถึงตอนนั้นก็ยังอดที่จะร้องไห้ไม่ได้” (นายบำเพ็ญ ณ อุบล,2551 : สัมภาษณ์)
ในที่สุดปี พ.ศ.2532 จังหวัดอุบลราชธานีก็ได้มีอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงษ์ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “เจ้าคำผง” ช่วงวันที่ 9-10 พฤศจิกายน ของทุกๆปี จะมี “พิธีบวงสรวงและสดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงษ์ (เจ้าคำผง)” หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งภาครัฐและเอกชนจะร่วมมือร่วมใจกันจัดงานขึ้นเพื่อรำลึกถึงเกียรติคุณและวีรกรรมของวีรบุรุษผู้สร้างเมือง โดยงานพิธีสดุดีอดีตเจ้าเมืองอุบลราชธานีนี้เริ่มจัดครั้งแรกในปีพ.ศ.2539 และต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง : ปวีณา ป้องกัน. “การเมืองเรื่องพื้นที่และการสร้างตัวตน
ของสายตระกูลอดีตเจ้านายเมืองอุบลราชธานี”,
วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาสังคมศาสตร์และการพัฒนา :
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2552.
ที่มาของภาพ : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุบลราชธานี
สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญรับชมการถ่ายทอดสด พิธีแถลงข่าวโครงการอนุรักษ์เอกสารโบราณวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร "กิจกรรมกรมศิลป์ร่วมมือ คณะสงฆ์ร่วมใจ อนุรักษ์ สืบสาน อ่านแปล ใบลาน" โดย อธิบดีกรมศิลปากร (นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ) ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร และสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง facebook live: National Library of Thailand
-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ: ขอนามถนนตามนามของผู้เป็นนายด้านที่จัดทำ -- เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๕ หรือ พุทธศักราช ๒๔๔๙ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือกราบทูล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ ความว่าพระยาพิศาลคีรีพร้อมด้วยข้าราชการกองบริเวณกับกรมการพิเศษ แลพ่อเมืองแก่บ้านในบริเวณพายัพเหนือได้ขอแรงราษฎรตัดขึ้น ๖ สาย ขอนามถนนตามนามของผู้เป็นนายด้านที่จัดทำ สายที่ ๑ ตั้งแต่สนามฝึกหัดทหารไปถึงแม่น้ำวิงแลเมืองเทิง กว้าง ๓ วา ยาว ๗๒๖ เส้น ชื่อถนน พิศาล สายที่ ๒ แยกแต่มุมสนามฝึกหัดถึงบ้านทราย กว้าง ๔ วา ยาว ๑๓๔ เส้น ชื่อถนนรองพันบัญชา สายที่ ๓ แยกมุมสนามฝึกหัดเลียบไปตามริมแม่น้ำลาวถึงวัดพระนั่งดิน กว้าง ๒ วา ๒ ศอก ยาว ๑๐๙ เส้น ชื่อถนน ศักดาบรรกิจ สายที่ ๔ ตั้งแต่ท้ายบ้านมางผ่านไปทานบ้านหย่อนถึงวัดน้ำแวน กว้าง ๒ วา ๒ ศอก ยาว ๖๔ เส้น ๑๐ วา ชื่อถนนไชยสิทธิ์ประชาราษฎร์ สายที่ ๕ ตั้งแต่บ้านมางผ่านมากลางทุ่งนาถึงบ้านเชียงบาล กว้าง ๒ วา ยาว ๕๕ เส้น ชื่อถนนอำมาตย์บัญชาการ สายที่ ๖ ตั้งแต่น่าวัดเชียงบาลผ่านทุ่งบ้านมอกถึงวัดน้ำแวน กว้าง ๒ วา ๒ ศอก ยาว ๗๑ เส้น ๑๐ วา ชื่อถนนกวดกิจการธานี ถนนทั้ง ๖ สายนี้ ทำเสร็จแลเปิดให้มหาชนเดินไปมาได้ทุกสายแล้ว บรรดาผู้ที่ได้ออกแรงในการทำถนนทั้งนี้ พร้อมกันขอพระราชทานถวายพระราชกุศล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทูลมาว่าทรงอนุโมทนาในส่วนกุศลสาธารณทานนั้นด้วย ท่านคิดว่าถนนทั้ง ๖ สายนี้ยังคงอยู่หรือไม่ ถนนทั้ง ๖ สายนี้ อยู่ในพื้นที่อำเภอใดในจังหวัดพะเยาหมายเหตุ: ๑.การเขียนใช้ตามที่ปรากฏในเอกสาร๒. มาตราวัดความยาวของไทยเทียบเมตริก ๑ เส้น เท่ากับ ๔๐ เมตร, ๒๕ เส้น เท่ากับ ๑ กิโลเมตร ๑ วา เท่ากับ ๒ เมตร, ๑ ศอก เท่ากับ ๕๐ เซนติเมตร......................................ผู้เขียน: นางสาวอรทัย ปานจันทร์ (นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)........................................อ้างอิง:๑. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๕ กระทรวงโยธาธิการ ร.๕ ยธ.๙/๗๖ เรื่อง ถนน สะพานในมณฑลพายัพ [๑๒ ก.พ. ๑๒๐ –๑๕ ก.พ. ๑๒๖].๒. กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๔). วัฒนธรรมและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดพะเยา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.๓. ฮักเชียงคำ.เชียงคำในอดีต (Online). http://www.hugchiangkham.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕. ๔. มาตราวัดความยาวของไทยเทียบเมตริก (Online). http://b.lnwfile.com. สืบค้นเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕.#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ