ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ


          กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “นโยบายการดำเนินงานของกรมศิลปากรในปี ๒๕๖๖” วิทยากรโดย นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ดำเนินรายการโดย นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.           ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และชมย้อนหลังได้ทาง Youtube : กรมศิลปากร


       ประติมากรรมรูปช้างมีบุคคลขี่อยู่บนหลัง        พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑        ได้มาจากจังหวัดสวรรคโลก กระทรวงมหาดไทยส่งมาให้        ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        ประติมากรรมดินเผาเคลือบสีเขียวมีรอยแตกราน รูปช้างชูงวงที่รัดดอกบัวขึ้น ขาหลังย่อตัวลง บนหลังช้างมีพานเชิงสี่เหลี่ยม และบุคคลนั่งอยู่คล้ายกับเป็นควาญท้าย ตัวช้างยืนอยู่บนแผ่นภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งไม่เคลือบ        ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นตัวอย่างงานที่ผลิตขึ้นจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องสังคโลกที่สำคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๒ มีแหล่งเตาสำคัญสองแห่งคือ แหล่งเตาป่ายางและแหล่งเตาบ้านเกาะน้อย ผลิตภัณฑ์จากแหล่งเตาเหล่านี้พบทั้งประเภทภาชนะ อาทิ ชาม จาน กระปุก ไห ตลับ ฯลฯ ประเภทเครื่องประดับสถาปัตยกรรม อาทิ หน้าจั่ว บราลี กระเบื้องเชิงชาย ฯลฯ และประเภทประติมากรรม อาทิ รูปบุคคล หมากรุก และรูปสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะประติมากรรมรูปช้างนั้นพบทั้งสองแหล่งเตา ทั้งแบบเทคนิคเคลือบสีเขียว เทคนิคเคลือบสีน้ำตาล และเทคนิคเคลือบสองสี         สำหรับคำว่า “สังโลก” นั้นมีข้อสันนิษฐานถึงที่มาของชื่อเรียกต่างกันออกไป โดยแนวคิดแรก สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า มาจากคำว่า “ซ้องโกลก” ซึ่งแปลว่าเตาแผ่นดินซ้อง* ขณะที่แนวคิดที่สองคือ ชารล์ เนลสัน สปิงส์ (Charles Nelson Spinks) เชื่อว่ามาจากคำว่า “สวรรคโลก”**         พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสนพระราชหฤทัยเครื่องสังคโลกจากเมืองสุโขทัยอย่างมาก ด้วยมีพระประสงค์จะนำมาจัดแสดงในมิวเซียมหลวง*** ดังข้อความในพระราชหัตถ์เลขา เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๘ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า   “...ด้วยถ้วยชามสังคโลกต่าง ๆ ฃ้างเมืองเหนือเหนจะยังมีมาก หยากจะได้มาเกบไนมิวเซียม เปนที่คนต่างประเทศมาดูมาก ๆ ฃอให้ทรงมีตราไปให้เจ้าเมืองกรรมการสืบหา แต่กลัวจะไปกดขี่เอาแก่ราษฎร ฤๅหลอกลวงเอาถ้วยชามอื่น ๆ ที่เคยเปนมาแล้ว ฤๅจะให้ใครฃึ้นไปคิดอ่านจัดซื้อเสียต่างหากก็ตาม สุดแต่อย่าให้เปนต้องพระราชประสงค์แล้วฃ่มเหงเอา ถึงที่เจ้าเมืองกรมการจะหามาก็ให้เปนจัดซื้อทั้งสิ้น ฃอให้ทรงจัดให้ดีด้วย ถึงเปนของแตกเปนซีกแต่ใหญ่โต ฤๅที่เปนฃองเสียในเวลาเผา คือติดกันเลอะไปบ้าง เบี้ยวแฟบไปบ้างอย่างหนึ่งอย่างใดใช้ได้ทั้งนั้น...”          เดือนถัดมาทางกระทรวงมหาดไทยจึงได้แจ้งไปยังพระยาวิชิตภักดีผู้ว่าราชการเมืองสวรรคโลกให้ดำเนินการค้นหาเครื่องสังคโลก และจัดซื้อเครื่องสังโลกที่ประชาชนเก็บรักษาไว้ส่งไปยังมิวเซียมที่พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ และในเดือนกันยายนพระยาวิชิตภักดีได้ทูลเกล้า ถวายรายงานว่าได้จัดหาเครื่องสังคโลกแล้ว ดังข้อความว่า    “...แต่งให้กรมการคุมมาส่ง ฉะบับ ๑ ว่าได้รับตราพระราชสีห์ว่าต้องพระราชประสงค์ชามถ้วยโถสังคโลกนั้นได้จัดหาซื้อได้ ชาม ๕ จาน ๓ ขวด ๔ ถ้วย ๑ ให้กรมการคุมลงมาทูลเกล้า ฯ ถวายครั้งหนึ่งก่อน...”          *คำว่า “ซ้อง” ในที่นี้หมายถึง ราชวงศ์ซ้อง หรือ ซ่ง ซึ่งปกครองแผ่นดินจีนระหว่าง พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๘๒๒        ** สวรรคโลก เป็นชื่อที่ปรากฏในเอกสารสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมาตัวอย่างเช่น “พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง” มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงเจ้าเมืองสวรรคโลก (เมืองศรีสัชนาลัย) ว่า “...ออกญากระเสตรสงครามรามราชแสนญาธิบดีศรีสัชนาไลยอภัยพิริยบรากรมภาหุ พญาสวรรคโลก...”        ***ขณะนั้น มิวเซียมหลวงอยู่ที่ หอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวัง     อ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. จดหมายเหตุพระราชกรณียกิจรายวันภาค ๑๙. พิมพ์ครั้งที่ ๒.ธนบุรี: สุทธิสารการพิมพ์, ๒๕๑๓ (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานพลิงศพ นายถม สังข์กังวาน ณ เมรุวัดหัวลำโพง พระนคร วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๓). ธันยกานต์ วงษ์อ่อน และปริวรรต ธรรมาปรีชากร. เครื่องปั้นดินเผาสุโขทัยและศรีสัชนาลัย. กรุงเทพฯ: S.P.M. การพิมพ์, ๒๕๕๘. วินัย พงศรีเพียร. “ศรีสัชนาลัย เชลียง และสวรรคโลก ในหลักฐานประวัติศาสตร์ไทย” ใน ข้อมูลใหม่และทัศนะใหม่ด้านสุโขทัยศึกษา (สุมาลี บำรุงสุข บรรณาธิการ). นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๙. สุรพล ดำริห์กุล. ประวัติศาสตร์และศิลปะสุโขทัย. นนทบุรี: เมืองโบราณ, ๒๕๖๒. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ร.๕ รล.-ตราน้อย เล่ม ๗/๑๑๔. เอกสารเย็บเล่ม ตราน้อย รัชกาลที่ ๕ เรื่อง ที่ ๑๑๔ เมืองสวรรคโลกย์ให้จัดซื้อชาม โถ ถ้วย ไห สังคโลกต่าง ๆ แต่งกรมการคุมลงมาส่ง ณ กรุงเทพฯ. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ร.๕ บ.1.2/๑๒. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๕ เบ็ดเตล็ด เรื่องพระราชกระแสโปรดฯ ให้รวบรวมถ้วยชามสังคโลกจากหัวเมืองเหนือมาจัดเป็นมิวเซียม.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           31/3ประเภทวัสดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                               40 หน้า : กว้าง 4.9 ซม. ยาว 53.2 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           45/2ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              34 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 142/3เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 177/1จ เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


  จะเป็นอย่างไรหากแมวมงคลตามตำรา กระโดดออกจากหน้าเอกสารโบราณไปปรากฏตัวตามมุมต่าง ๆ ในบ้านของเรา วาเลนไทน์ปีนี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ขอเอาใจนักรัก (แมว) ทั้งหลายด้วยชุดข้อมูลส่วนหนึ่งจากเอกสารโบราณ ในองค์ความรู้เรื่อง "สรุปความลักษณะแมวมงคลตามตำรา"    โบราณวัตถุ : สมุดไทยขาว หรือหนังสือบุดขาว  ลักษณะ : เรื่องตำราดูดาวประจำเมืองต่าง ๆ ตำราดูพระอาทิตย์ พระจันทร์ เมฆ ตำราดูลักษณะแมวและสุนัข อายุสมัย : สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 25  ที่มา : รับมอบจาก นายเจตนา ณ สงขลา  ปัจจุบันเก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา    ความเชื่อแต่โบราณนานมา ระบุว่าให้นรชนผู้มีปัญญา เร่งแสวงหาแมวที่มีลักษณะมงคลตามตำรามาเลี้ยงไว้ข้างกายซึ่งหากเลี้ยงดูไว้อย่างดี จะช่วยส่งเสริมทั้งบารมี การค้าขาย และทรัพย์สินเงินทอง โดยสามารถถอดแบบและสรุปความลักษะแมวมงคลตามตำราฉบับนี้ไว้ได้ 8 ประเภทด้วยกัน ประกอบด้วย  1. วิลาศ แมวใดหน้าผากสีขาว สองหู ท้อง หลังตลอดจนหาง และทั้ง 4 เท้า มีสีขาวดุจสำลี เป็นแมวดี มีค่า แมวนั้นอยู่เรือนใคร จะให้โชคลาภ ค้าขายได้กำไร พืชผลไร่นาอุดมสมบูรณ์  2. นิลรัตน์ (สีดำปลอด)  แมวใดสีดำล้วน ทั้งลิ้น ฟัน ตลอดจนดวงตามีสีดำสนิทดุจอัญมณี มีชื่อเป็นมงคลว่านิลรัตน์ หากใครเลี้ยงไว้จะได้ดี ได้เป็นเศรษฐี และเติบโตในหน้าที่การงาน  3. ศุภลักษณ์ (สีทองแดง) แมวใดดูงามพร้อมสีทองแดง หากเลี้ยงไว้ จะมากด้วยทรัพย์สินเงินทอง และลาภยศสรรเสริญ รับราชการจะเจริญก้าวหน้า  4. มาเลศ (สีสวาด)  แมวใดสีขนงามตาดั่งดอกเลา นัยน์ตาสวยงามดั่งหยดน้ำค้าง หากได้มาเลี้ยงไว้ข้างกาย จะเสริมเมตตามหานิยม คิดทำสิ่งใดก็จะราบรื่น ประสบความสำเร็จ  5. นิลจักร (คอด่างรอบ)  แมวใดลำตัวสีดำ มีสีด่าง (ขาว) รอบคอดูสวยงาม หากเลี้ยงไว้ หน้าที่การงานจะเจริญก้าวหน้า ทรัพย์สินเงินทองจะเพิ่มพูน 6. อานม้า  แมวใดมีลักษณะหลังด่าง คล้ายอานม้า ใบหน้าด่างดูสวยงาม เป็นแมวที่มีค่ามาก ราคาสูงเปรียบได้แสนตำลึงทอง หากอยู่เรือนใคร บุตรหลายจะเติบโตเป็นเจ้าคนนายคน ทรัพย์สมบัติจะมากเหลือหลาย  7. การเวก  แมวใดที่มีจมูกด่าง เสมือนผู้เลี้ยงได้ของมีค่า เปรียบได้กับดาบทอง หากได้มาเลี้ยงจะให้โชคให้ลาภ และสมหวังในความปรารถนาใน 7 เดือน  8. ปัดเสวตร แมวใดที่มีลักษณะด่างกลางหลัง ตั้งแต่หัวจรดหาง เลี้ยงไว้จะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ส่งเสริมเกียรติยศและนำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล    ถอดแบบแมวเหมียว : จุฑาทิพย์ สวัสดี สาขาการจัดการท่องเที่ยว คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา  กราฟฟิก/ เรียบเรียง : ธีรนาฎ มีนุ่น ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา  ตรวจความถูกต้อง : จรัญ ทองวิไล นักภาษาโบราณ หอสมุดแห่งชาติกาญจนาภิเษก สงขลา


  ชื่อผู้แต่ง          กรุงเทพมหานคร ชื่อเรื่อง           วารสารกรุงเทพมหานคร  (มิถุนายน ๒๕๑๘) ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       กรมการปกครอง ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๘ จำนวนหน้า      ๑๑๘  หน้า รายละเอียด                    วารสารกรุงเทพมหานคร เป็นวารสารรายเดือน มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่กิจการกรุงเทพมหานคร เนื้อหามีทั้งหมด ๑๕ เรื่อง ได้แก่ เนื่องมาจากปก กทม. – อตร.? พรรคการเมืองนั้นสำคัญไฉน มารู้จักสุนทรพู่กันนิด  รวมทั้งประมวลภาพข่าวต่างๆ สรุปข่าวในรอบเดือน เป็นต้น พร้อมภาพประกอบ    


เลขทะเบียน : นพ.บ.377/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 30 หน้า ; 5 x 54.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 142  (7-25) ผูก 7 (2566)หัวเรื่อง : เวสฺสนฺตรชาตก --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.509/12ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 64 หน้า ; 4 x 49.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 171  (243-247) ผูก 12 (2566)หัวเรื่อง : อานิสงส์สร้างพระเจ้า--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



         หลักฐานจากต่างชาติ : การเรียกขานนามเมือง “พริบพรี” หรือ “เพชรบุรี” ในประวัติศาสตร์ไทย           เพชรบุรี เป็นเมืองที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มีนักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นว่า เมืองเพชรบุรีนั้น คือ “อยุธยาที่มีชีวิต”  เมืองเพชรบุรีเป็นเมืองโบราณ ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของขอมหรือเขมรโบราณในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คำว่า “เพชรบุรี” เองก็มีปรากฏเป็นหลักฐานว่าเรียกมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นกัน สันนิษฐานที่มาของชื่อมีอยู่ 2 ทางด้วยกัน ทางแรกเป็นการเรียกตามชื่อแม่น้ำเพชรบุรี ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นการเรียกตามตำนานที่เล่าสืบกันมาว่าในสมัยโบราณเคยมีแสงระยิบระยับในเวลากลางคืนที่เขาแด่น ทำให้คนเข้าใจว่ามีเพชรพลอยบนเขานั้น          ชื่อจังหวัดหรือชื่อเมืองของไทยในสมัยโบราณหลักฐานค้นพบได้จากเอกสารต่าง ๆ ที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งศิลาจารึก พงศาวดาร จดหมายเหตุ รวมถึงเอกสารของชาวต่างชาติ ยกตัวอย่าง ในเอกสารของ De La Loubere ที่ได้บันทึกชื่อเมืองต่าง ๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งส่วนใหญ่ยังคงใช้เรียกมาจนถึงปัจจุบัน เช่น Laconcevan (นครสวรรค์), Campeng-pet (กำแพงเพชร), Tchainat (ชัยนาท) เป็นต้น            นอกจากนี้ชื่อเมืองที่ในปัจจุบันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจังหวัดหรือไม่ใช้เรียกแล้วในปัจจุบัน ทำให้สันนิษฐานกันว่าเป็นชื่อเมืองเดิมก่อนเปลี่ยนมาเป็นชื่อในปัจจุบัน ซึ่ง “#พริบพรี (Pipeli)” เป็นเมืองหนึ่งที่สันนิษฐานว่าจะถูกเปลี่ยนชื่อ และสันนิษฐานว่าเป็นชื่อเมืองเดิมของเมืองเพชรบุรี  ซึ่งเป็นชื่อเมืองที่ทางผู้จัด “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี” ต้องการศึกษานั้นเอง          “#พริบพรี” หรือที่รู้จักกัน “เพชรบุรี” คำว่า “พริบพรี” ชื่อจังหวัดหรือชื่อเมืองของเพชรบุรีในสมัยโบราณ จากการศึกษาพบว่ามีข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ที่ให้ที่มาของคำนี้ว่า คือ ชื่อเดิมของจังหวัดเพชรบุรี บางสันนิษฐานจากการเปรียบเทียบกับลักษณะเสียงของคำว่า เพชรบุรี ว่ามีบางหน่วยเสียงที่เหมือนกัน บางสันนิฐาน “เพชรบุรี” เป็นชื่อเมืองเดิมที่เป็นทางการ ส่วน “พริบพรี” เป็นชื่อเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการในภายหลัง          หลักฐานจากต่างชาติ : การเรียกขานนามเมือง “พริบพรี” หรือ “เพชรบุรี”           จากข้อมูลที่ปรากฏเกี่ยวกับชื่อเมืองพริบพรีว่าเป็นชื่อเมืองจังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน เท่าที่พบหลักฐานมีปรากฏชื่อเมืองมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรเขมรหรือขอมโบราณ โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปแต่ยังคงเค้าเสียงหรือความหมายเดียวกัน จากการสืบค้นจากหลักฐาน ซึ่งทางผู้เรียบเรียงจะยกตัวอย่างหลักฐานโดยเฉพาะหลักฐานจากชาวต่างชาติหรือหลักฐานที่มาจากชาติอื่น ๆ โดยปรากฏหลักฐานตามลักษณะช่วงเวลาดังต่อไปนี้   สมัยอาณาจักรขอมโบราณ          1. จารึกปราสาทพระขรรค์ ประเทศกัมพูชา (พ.ศ. 1734) นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเมือง “#ศรีชัยวัชรปุรี” คือ “เพชรบุรี” ปรากฏจากการโปรดเกล้าฯ ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ให้สร้างจารึกที่ปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา เพื่ออุทิศถวายแก่พระราชบิดาคือ พระเจ้าศรีธรณีนทรวรมันที่ 2 เกิดการขยายตัวของอาณาเขตการปกครอง อำนาจทางการเมือง และศาสนา ซึ่งการขยายตัวนั้นมาถึงเมืองเพชรบุรีด้วย ดังปรากฏชื่อในจารึกบทที่ 117 ที่แสดงให้เห็นว่าชื่อเมืองได้รับอิทธิพลจากรูปศัพท์เดิมในภาษาบาลี สันสกฤต ว่า        “. . . ศรีชัยวัชรปุรี ศรีชัยสตัมภปุรี ศรีชัยราชคีรี ศรีชัยวีรปุรี . . .”    สมัยสุโขทัย          2. เอกสารจีนในราชวงศ์หงวน (พ.ศ. 1837) ในหนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดเพชรบุรีของกรมศิลปากร กล่าวถึงเมืองเพชรบุรีที่ปรากฏในเอกสารจีนว่า        “. . . กันมู่ติง (กมรเตง) ส่งทูตจากเมือง #ปี้ชาปู้หลี่ (เพชรบุรี) มาถวายเครื่องราชบรรณาการ . . .”       คำว่า “ปี้ชาปู้หลี่” ในเอกสารจีนมีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า “เพชรบุรี” สันนิษฐานว่าจะเป็นสำเนียงของชาวจีนที่ได้บันทึกชื่อเมืองตามการออกเสียงของคนไทยในท้องถิ่น และยังเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าในสมัยสุโขทัยออกเสียงชื่อเมืองนี้เป็น 4 พยางค์ คือ เพ็ด – ชะ – บุ – รี สมัยกรุงศรีอยุธยา          3. The Suma oriental of Tome Pires ของ Tome Pires (ค.ศ. 1511 / พ.ศ. 2054) โดย Tome Pires ชาวโปรตุเกส ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับเมืองที่มีบทบาททางการค้าระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก โดยกล่าวถึงเมืองเพชรบุรีว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญเมืองหนึ่งในเขตฝั่งตะวันออก โดยการออกเสียงชื่อเมืองที่ Tome Pires ได้บันทึกไว้ออกเสียงว่า “#Peperim” และ “#Peport” ซึ่งใกล้เคียงกับการออกเสียงว่า เพ็ด - บุ – รี หรือ เพ็ด – พุ – รี           4. Description of the Kingdom of Siam ของ Jeremias Van Vliet (ค.ศ. 1633 – 1642 / พ.ศ. 2176 – 2185) Jeremias Van Vliet พ่อค้าชาวฮอลันดา ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประเทศสยาม โดยหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงเมืองเพชรบุรีว่า          “. . . แม่กลอง (Meclongh) #พิบพรี (Pypry) ราพพรี (Rappry) ราชบุรี (Ratsjebeury) และกุย (Cuy) ล้วนเป็นเมืองเปิดทั้งสิ้น ตั้งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ ไม่ห่างจากทะเล . . .”          5. Journal du Voyage de Siam Fait en 1685 & 1685 ของ De Choisy (ค.ศ. 1685 – 1686 / พ.ศ. 2228 – 2229) De Choisy คณะราชทูตที่อัญเชิญพระสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝั่งเศส มาถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้เขียนหนังสือบันทึกการเดินทางครั้งนี้ชื่อ “Journal du Voyage de Siam” แปลเป็นภาษาไทยว่า “จดหมายเหตุรายวัน การเดินทางไปสู่ประเทศสยามในปี ค.ศ. 1685 และ ค.ศ. 1686” โดยได้กล่าวถึงเมืองเพชรบุรีไว้ว่า          “. . . ครู่ต่อมา #เจ้าเมืองพริบพลี (Pipeli – เพชรบุรี) ก็ปรากฏตัวมาพร้อมด้วยเรือตามขบวนอีกเป็นอันมาก เราเห็นแต่เรือบัลลังก์เต็มไปทั้งแม้น้ำ เรียงรายกันเป็นสองแถวยาวเหยียด . . .”          6. Histoire Naturelle et Politique du Royaume de Siam ของ Nicolas Geraise (ค.ศ. 1688 / พ.ศ. 2231) Nicolas Geraise ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้เขียนหนังสือเรื่อง “Histoire Naturelle et Politique du Royaume de Siam” แปลไทยก็คือ “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช)” ได้กล่าวถึงเพชรบุรีไว้ว่าด้วยเมืองบางกอกและเมืองท่าอื่น ๆ ความว่า          “. . . #เมืองพิบพลี (Piply : เพชรบุรี) ซึ่งอยู่กันเมืองละฟากอ่าว อยู่ไกลจากปากน้ำเพียง 10 หรือ 12 ลี้ เท่านั้น เป็นเมืองเก่ามาก กล่าวกันว่าเคยเป็นเมืองที่งดงาม และมีพระเจ้าแผ่นดินหลายองค์ทรงโปรดประทับแปรพระราชฐานยิ่งกว่าที่เมืองอื่น ๆ . . .”          7. Description Du Royaume de Siam ของ De La Loudere (ค.ศ. 1688 / พ.ศ. 2231) De La Loudere ราชทูตชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้เขียนจดหมายเหตุตอนหนึ่งกล่าวถึงปฐมกษัตริย์ของชาวสยาม และมีกษัตริย์ครองราชย์สืบต่อมาจนกระทั่งถึงกษัตริย์พระองค์ที่ 12 ได้เสด็จไปสร้างเมืองเพชรบุรี โดยตำนานการสร้างเมืองเพชรบุรีปรากฏในจดหมายเหตุดังต่อไปนี้          “. . . ในปี พ.ศ. 1731 พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 12 สืบต่อจากพระองค์นี้ซึ่งพระนามว่า พระพนมไชยศิริ . . . แต่พระมหากษัตริย์พระองค์นี้มิได้ประทับอยู่ ณ เมืองนครไทยตลอดมา หากได้เสด็จไปสร้างและประทับอยู่ ณ #เมืองพิบพลี (Pipeli) บนฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งปากน้ำนั้นอยู่ห่างราว 2 ลี้ ข้างทิศตะวันตก . . .”          8. The history of Japan, together with a description of the kingdom of Siam, 1690 – 92 ของ Engelbert Kaempfer (ค.ศ. 1960 / พ.ศ. 2233) Engelbert Kaempfer นายแพทย์ชาวเยอรมันประจำคณะทูตของบริษัทอีสต์อินเดียของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2233 และได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นและประเทศสยาม หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงเมืองเพชรบุรี ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า          “. . . ต่อจากนี้ก็ถึงชะอำ (Czam) ถัดขึ้นไปก็คือ #เพชรบุรี (Putprib) แล้วก็ถึงยี่สาน (Isan) ต่อจากนั้นไปเป็นแม่กลอง (Mayaklon) แล้วก็ถึงท่าจีน (Satzyn) แล้วจึงไปถึงปากแม่น้ำซึ่งภาษาไทยเรียกว่า ปากน้ำเจ้าพระยา (Pagnam Taufia) . . .”   สมัยธนบุรี          9. Histoire du Royaume de Siam ของ Francois Henri Turpin (ค.ศ. 1771 / พ.ศ. 2314) Francois Henri Turpin ชาวฝรั่งเศสผู้รวบรวมข้อมูลจากประมุขมิสซังกรุงสยามและมิชชันนารีที่เคยเข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนาในประเทศสยาม แล้วเขียนเป็นหนังสือ โดยในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงเมืองเพชรบุรีไว้ว่า           “. . . #เพชรบุรี (Pipli) เป็นท่าเรือติดทะเล ค้าข้าว ผ้าและฝ้ายมาก บ้านทุกหลังมีสวน จึงเก็บพลู มะพร้าว ทุเรียน กล้วย ส้มเขียนหวาน และผลไม้ดีอื่น ๆ ได้มาก . . .”   สมัยรัตนโกสินทร์          10. Narrative of a Residence at the Capital of the Kingdom of Siam ของ Frederick Arthur Neale (ค.ศ. 1840 – 1841 / พ.ศ. 2383 – 2384) Frederick Arthur Neale นักเผชิญโชคชาวอังกฤษที่เข้ามาทำงานในประเทศสยาม สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวช่วงปี พ.ศ. 2383 – 2384 ได้เขียนหนังสือ ซึ่งภายในเล่มมีภาพวาดแผนที่ประเทศสยามระบุชื่อเมืองเพชรบุรีว่า Puchpuri และในตำแหน่งใกล้เคียงกันปรากฏอีกชื่อหนึ่งว่า Pri – pri          11. Description du Royaume Thai ou Siam ของ Jean – Baptiste Pallegoix (ค.ศ. 1854 / พ.ศ. 2397) Jean – Baptiste Pallegoix ชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในประเทศสยามนานถึง 24 ปี และได้เขียนหนังสือขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงชื่อเมืองต่าง ๆ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมถึงชื่อเมือง #เพชรบุรี          12. The Kingdom of the Yellow Robe ของ Ernest Young (พ.ศ. 2435) Ernest Young นักเขียนชาวอังกฤษที่เข้ามาในประเทศสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้แต่งหนังสือที่กล่าวถึงชื่อเมืองเพชรบุรีไว้ในบทที่ 9 เรื่อ Outside the Capital : Petchabooree ความว่า          “. . . #เพชรบุรี (Petchabooree) เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมต้นแบบของสยาม สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ได้อย่างสบาย ๆ ด้วยเรือบ้าน ซึ่งใช้เวลาราวสองถึงสามวัน . . .”          “พริบพรี” หรือ “เพชรบุรี” จากที่ปรากฏในหลักฐานของต่างชาติ การใช้คำเรียกชื่อเมืองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคำและลักษณะเสียงมาเป็นลำดับ เมื่อพิจารณาจากคำว่า “วัชรปุรี” ในชื่อเมือง “ศรีชัยวัชรปุรี” ที่ปรากฏในสมัยอาณาจักรขอมโบราณ และคำว่า “เพชรบุรี” ในสมัยสุโขทัยพบว่า ทั้งสองคำนี้มีโครงสร้างคำและความหมายเหมือนกัน ความหมายคือ เมืองเพชร เมืองสายฟ้า ต่อมาคำว่า “ศรีชัย” ซึ่งถูกตัดออกในสมัยสุโขทัย เพื่อการเรียกชื่อเมืองได้ง่ายขึ้น          คำว่า “เพชรบุรี” และ “วัชรปุรี” ยังแสดงให้เห็นถึงรูปคำที่แผลงเปลี่ยนไป จากอักษร ว เป็น พ และ ป เป็น บ ในส่วนของ ว เป็น พ สามารถอธิบายการแผลงเปลี่ยนในเชิงความหมายได้ เนื่องจากเป็นคำที่แปลได้ว่า “เพชร” เหมือนกันนั้นเอง นอกจากนั้นในเชิงภาษา การที่สังคมไทยมีการรับคำยืมจากชาติอื่น ๆ เช่น การนำภาษาบาลีสันสกฤตเข้ามาใช้ในภาษาไทย ซึ่งการรับคำยืมเหล่านี้ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงรูปและเสียงตามกฎเกณฑ์ของภาษาไทย           นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าคำว่า “พริบพรี” ในเอกสารของชาวตะวันตก เช่น Pypry Pipili Piply Pipeli Putprib เป็นต้น ความหลากหลายในการเรียกชื่อเมืองเพชรบุรีว่า “พริบพรี” คุณธวัชชัย ตั้งศิริวานิช ได้อธิบายไว้ว่า การเขียนชื่อที่แตกต่างกันนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา และความสามารถในการถ่ายทอดเสียงของชาวพื้นเมือง ตลอดจนภาษาของแต่ละชาติที่เขียน ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าชื่อเมืองเพชรบุรีที่ปรากฏในเอกสารของชาวต่างชาติได้มาจากการบันทึกตามเสียงพูดของชาวพื้นถิ่นเพชรบุรีในสมัยนั้น .       เมื่อพิจารณาในเชิงความหมายพบว่า “#พริบพรี” เป็นชื่อที่ไม่มีความหมาย ต่างกับชื่อชุมชนในท้องถื่นของไทยแต่โบราณโดยทั่วไปที่มักตั้งตามสภาพแวดล้อมหรือลักษณะอันโดเด่นของพื้นที่นั้น ดังนั้นด้วยเหตุผลเรื่องช่วงเวลาการปรากฏของชื่อเมือง ความหมายของชื่อเมือง การบันทึกชื่อเมืองเป็นลายลักษณ์อักษร ตำนานการตั้งชื่อเมือง รวมถึงโครงสร้างคำและลักษณะการออกเสียง จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า “เพชรบุรี” เป็นชื่อเมืองเดิมที่เป็นทางการ ส่วน “พริบพรี” เป็นชื่อที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการในภายหลัง     เอกสารสำหรับการสืบค้น       วรารัชต์ มหามนตรี.  (2560).  “ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับชื่อเมือง พริบพรี (เพชรบุรี) จากการศึกษาเชิงประวัติและสัทศาสตร์”. อักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.  ปีที่ 39 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2560).       สรัญพัทธ์ เอี๊ยวเจริญ และ จีระ ประทีป.  (2565).  “แนวทางการพัฒนาเมืองเพชรบุรีตามแนวคิดภาคประชาสังคมและภูมิรัฐประศาสนศาสตร์ของเมืองเพชรบุรี”. รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต.  ปีที่ 2565 เล่มที่ 12 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม 2565).       ชุลีพร วิรุณหะ, พวงทิพย์ เกียรติสหกุล,วรพร ภู่พงศ์พันธุ์, วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ และ เพชรดา ชุ่นอ่อน.  (2561).  “ประตูศุ่อุษาคเนย์ : มุมมองใหม่ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์เมืองเพชรบุรี”. วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 40 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2561). .



          กรมศิลปากร จัดกิจกรรมสุดพิเศษเพื่อให้ทุกท่านได้ยลโฉมความงามของโบราณสถานยามค่ำคืน ในงาน "ราตรีนี้...ที่วัดไชยวัฒนาราม Ayutthaya Sundown" โดยเปิดให้เข้าชมวัดไชยวัฒนาราม ผ่าน แสง สี จากการประดับไฟ ตั้งแต่เวลา 18.00 - 22.00 น. ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และเทศกาลสำคัญ ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 (ซื้อบัตรเข้าชมได้ถึงเวลา 21.00 น. อัตราค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท)           สุดสัปดาห์นี้ ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาชมโบราณสถานยามค่ำคืนกันนะคะ.....สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โทร. 0 3524 2286 ต่อ 101 / E-mail Ayh_hispark@hotmail.com


black ribbon.