ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

ผู้แต่ง : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 2 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์ : 2496 หมายเหตุ : พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ หม่อมวาสน์ กมลาสน์ ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 30 พฤษภาคม 2496               พระราชหัตเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมครั้งที่ 1 เล่มนี้ มีเนื้อหาเฉพาะตอนที่ 1 จากทั้งหมด 6 ตอน เป็นเนื้อหาซึ่งสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเขียนไปถึงผู้อื่น รวม 17 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 พระราชหัตถเลขา ถึงกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เรื่องราชการทัพ ฉบับที่ 2 พระบรมราโชวาท พระราชทานเงินพระเจ้าลูกเธอ ฉบับที่ 3 พระราชหัตถเลขา ถึงองค์สมเด็จพระหริรักษ์ ณ กรุงกัมพูชา ฉบับที่ 4 พระราชหัตถเลขาถึงพระรามัญมุนี ฉบับที่ 5 พระราชหัตถเลขา ถึงองค์พระนโรดมและองค์พระหริราชดนัย ณ กรุงกัมพูชา เป็นต้น


          กู่โพนระฆัง ตั้งอยู่บ้านกู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด อยู่ห่างจากกู่กาสิงห์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๔๐๐ เมตร ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๙ ตอนที่ ๑๗๒ หน้า ๒๖ วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ มีพื้นที่ประมาณ ๒ ไร่ ๓ งาน ๑๗ ตารางวา           กู่โพนระฆัง สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยปราสาทประธาน ฐานก่อด้วยศิลาแลง เป็นฐานเขียง ๕ ชั้น มีบันไดทางขึ้น ๔ ด้าน เรือนธาตุก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว ก่อมุขยื่นออกมาด้านหน้าและเจาะช่องหน้าต่างที่ผนังด้านทิศเหนือและทิศใต้ ด้านหน้าปราสาทประธานมีชาลา (ทางเดิน) เชื่อมกับโคปุระ (ซุ้มประตู) อยู่กึ่งกลางแนวกำแพงทิศตะวันออก ก่อด้วยศิลาแลงและหินทรายมีผังเป็นรูปกากบาท มีห้องมุขด้านทิศตะวันออก มีบรรณาลัยตั้งอยู่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย หันหน้าไปทางทิศตะวันตก โดยรอบก่อกำแพงแก้วด้วยศิลาแลงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน และมีสระน้ำกรุขอบสระด้วยศิลาแลง อยู่ด้านนอกของกำแพงแก้วทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ           จากหลักฐานจารึกปราสาทตาพรหม ได้กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โปรดฯให้สร้าง “อโรคยาศาล” หรือศาสนสถานประจำโรงพยาบาล ตามเส้นทางจากเมืองพระนครไปยังหัวเมืองต่างๆ จำนวน ๑๐๒ แห่ง ซึ่งในประเทศไทยพบอโรคยาศาลจำนวนหลายแห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นโบราณสถานที่สร้างขึ้นตามรูปแบบสถาปัตยกรรมเขมรศิลปะแบบบายน (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘) จากลักษณะแผนผังของกู่โพนระฆัง แสดงให้เห็นว่าเป็นหนึ่งในอโรคยาศาลที่ถูกกล่าวถึงในจารึกปราสาท ตาพรหม เพราะแผนผังและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของอโรคยาศาลจะเป็นแบบแผนเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันในรายละเอียดเล็กน้อยบางอย่าง เช่น ขนาดของอาคาร การเจาะช่องหน้าต่าง และการทำมุขปราสาทประธาน เป็นต้น ซึ่งสันนิษฐานว่าโบราณสถานประเภทนี้สร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน โดยช่างฝีมือในท้องถิ่น กรมศิลปากรได้ทำการขุดค้นขุดแต่งกู่โพนระฆัง ใน พ.ศ. ๒๕๔๕ บูรณะสระน้ำของกู่โพนระฆัง ใน พ.ศ. ๒๕๔๗ และบูรณะกู่โพนระฆัง ใน พ.ศ. ๒๕๕๕           จากการขุดศึกษาทางโบราณคดี สันนิษฐานว่าราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ชุมชนที่อยู่บริเวณบ้านกู่กาสิงห์ในขณะนั้น ได้เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาแบบมหายานแทนศาสนาฮินดู ตามแบบอย่างราชสำนักในเมือง พระนคร ช่วงรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่ทรงโปรดฯให้สร้างอโรคยาศาล ตามชุมชนในเขตการปกครองของพระองค์ ------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี------------------------------------------อ้างอิงจาก ศิลปากร, กรม. โดย สำนักศิลปากรที่ ๑๐ ร้อยเอ็ด. รายงานการบูรณะกู่โพนระฆัง ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๑. ปุราณรักษ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด, ๒๕๕๑. ศิลปากร, กรม. โดย สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๘ อุบลราชธานี. รายงานการขุดค้น-ขุดแต่งเพื่อการออกแบบบูรณะโบราณสถานกู่โพนระฆัง บ.กู่กาสิงห์ ต.กู่กาสิงห์ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด. ม.ป.ท. : ม.ป.ป., ๒๕๔๕. (อัดสำเนา)




ชื่อเรื่อง                           ปฐมสมโพธิ (ปฐมสมโพธิเผด็จ)สพ.บ.                                  140/24ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           48 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 58 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พระพุทธเจ้า                                           พุทธศาสนา                                           วรรณกรรมพุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดศรีบัวบาน อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี  




ชื่อผู้แต่ง      มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ ชื่อเรื่อง        คำนมัสการคุณานุคุณ ครั้งที่พิมพ์     - สถานที่พิมพ์  พระนคร สำนักพิมพ์    โรงพิมพ์รุ่งนคร ปีที่พิมพ์        ๒๕๐๓ จำนวนหน้า    ๓๐ หน้า หมายเหตุ      บริษัทประกันชีวิตบูรพา จำกัด พิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน สำนักพระราชวัง ณ วัดทรงธรรม จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ๒๕๐๓                   หนังสือคำนมัสการคุณานุคุณ เล่มนี้ ได้กล่าวถึงบทนมัสการและสรรเสริญ รวมถึงบทร้องต่างๆ ได้แก่ บทร้องสำหรับกรมเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ บทร้องสำหรับกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ บทร้องสำหรับนักเรียนราชวิทยาลัย และบทสรรเสริญพระบารมี เป็นต้น  


เลขทะเบียน : นพ.บ.145/2กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  34 หน้า ; 4.6 x 54 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 88 (368-372) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ (8 หมื่น)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.97/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  52 หน้า ; 5.3 x 57 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 57 (140-153) ผูก 7 (2564)หัวเรื่อง : อภิธมฺมตฺถภาวนี (อภิธมฺมตถสงฺคหฎีกา (ฎีกาสังคหะ)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม





ชื่อเรื่อง : เจ้าชีวิต ชื่อผู้แต่ง : จุลจักรพงษ์, พระองค์เจ้าปีที่พิมพ์ : 2505 สถานที่พิมพ์ : พระนครสำนักพิมพ์ : คลังวิทยาจำนวนหน้า : 860 หน้า สาระสังเขป : เจ้าชีวิต เป็นพระนิพนธ์ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เดิมทีเขียนขึ้นครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษที่ใช้ชื่อว่า Lords of Life เนื้อหาเริ่มตั้งแต่ประวัติศาสตร์ชนชาติไทย ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงรัชกาลปัจจุบันที่ พ.ศ. 2502 โดยเน้นบรรยายละเอียดในช่วงปี พ.ศ. 2325-2475 (รัชกาลที่ 1-7) จนกระทั่งพระราชกรณียกิจประจำวันของพระมหากษัตริย์ไทยและเจ้านายองค์สำคัญ ยังมีเนื้อหาครอบคลุมประวัติศาสตร์การเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ต่างประเทศสังคม และขนบประเพณีในราชสำนัก โดยเฉพาะระเบียบวิธีการสถาปนายศเจ้านาย


จวนเจ้าเมืองสงขลา : ธนบุรี - รัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของ วัง หรือ จวน หรือบ้านพักเจ้าเมืองสงขลาที่มีการโยกย้ายตามที่ตั้งเมืองแต่ละยุคสมัย            ในวัง : จวนเจ้าเมืองฝั่งแหลมสน            ในสมัยธนบุรีจนถึงต้นรัตนโกสินทร์เมืองสงขลายังคงตั้งอยู่ที่ฝั่งแหลมสน โดยสันนิษฐานว่าที่ว่าราชการเมืองในสมัยนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า "ในวัง" ซึ่งมีพื้นที่บนที่ราบทางทิศตะวันออกของวัดสุวรรณคีรี ทั้งนี้ในอดีตชาวบ้านเคยพบแนวกำแพง ธรณีประตูทำด้วยหินแกรนิต และปืนใหญ่ ๖-๗ กระบอกวางกองอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว การขุดค้นทางโบราณคดีในพ.ศ.๒๕๔๒ พบว่าในหลุมขุดค้นที่ ๑-๔ ได้พบเศษภาชนะดินเผาจำนวนมากซึ่งได้แก่เศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ชิง เศษเครื่องเบญจรงค์ รวมถึงเศษเครื่องถ้วยของฮอลันดา จึงเป็นไปได้ว่าพื้นที่ในบริเวณนี้อาจเป็นที่ตั้งที่ว่าราชการเมืองสงขลามาก่อน ทั้งนี้สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงษาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดช ได้บรรยายลักษณะของจวนเจ้าเมืองสงขลาแห่งนี้ในพ.ศ.๒๔๒๗ ไว้ว่า "...บ้านเจ้าเมืองเก่าทำเปนเรือนไทยหลังคามุงกระเบื้อง ฝาขัดแตะถือปูน ๓ หลัง ริมบ้านเจ้าเมืองมีศาลเทพารักษ์โบราณเปนศาลจีน..." จวนเจ้าเมืองที่แหลมสนนี้คงเป็นที่อยู่และที่ว่าราชการมาจนถึงสมัยพระยาวิเชียรคีรี(เถี้ยนเส้ง)           ไนยจ้วน : จวนเจ้าเมืองฝั่งบ่อยาง           ในพ.ศ.๒๓๗๙ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีท้องตราให้พระยาวิเชียรคีรี(เถี้ยนเส้ง) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ที่ฝั่งบ่อยาง พระราชทานเงินส่วยอากรเมืองสงขลา ให้ใช้จ่ายในการก่อกำแพงสองร้อยชั่ง พระยาวิเชียรคีรี(เถี้ยนเส้ง)ได้กำการก่อสร้างกำแพงเมืองพร้อมกับฝังหลักเมืองเสร็จบริบูรณ์ในพ.ศ.๒๓๘๕ กับได้ก่อตึกจีนเป็นจวนผู้ว่าราชการเมืองไว้ ๕ หลังเรียกกันว่าไนยจ้วน ตัวอาคารเป็นเรือนชั้นเดียวยกพื้น หลังคามุงกระเบื้องสงขลา วิธีช่างทำทำนองจีน ทั้งนี้ตำแหน่งที่ตั้งของจวนผู้ว่าราชการเมืองสงขลาตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองสงขลา ด้านหน้าจวนใช้กำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกค่อนไปทางเหนือเป็นรั้วจวน ด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นหลังจวนติดกับวัดดอนรัก ด้านทิศเหนือติดกับถนนที่มาจากประตูช่องกุดมุ่งหน้าไปวัดดอนรัก ส่วนด้านทิศใต้ติดกับคลองขวาง ประตูใหญ่ที่ใช้เข้าออกจวนนั้นเป็นประตูเมืองชื่อประตูจันทีพิทักษ์ และประตูพุทธรักษา โดยมีสะพานยื่นออกไปในทะเลสาบที่ประตูนี้เรียกว่าตะพานหน้าจวน จวนแห่งนี้ถือว่าเป็นจวนกลางสำหรับผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา โดยใช้เป็นที่อยู่และที่ว่าราชการเมืองมาตั้งแต่ในสมัยพระยาวิเชียรคีรี(เถี้ยนเส้ง) เจ้าพระยาวิเชียรคีรี(บุญสัง) และเจ้าพระยาวิเชียรคีรี(เม่น) มาเป็นลำดับ และในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการตั้งมณฑลนครศรีธรรมราช และตั้งที่ว่าการมณฑลที่เมืองสงขลาแล้ว ได้มีการปรับปรุงพื้นที่ “ไนยจ้วน” เป็นสถานที่ราชการเช่นเป็นที่ตั้งของศาลมณฑลนครศรีธรรมราช และเป็นคุกกักขังนักโทษ เป็นต้น ส่วนศาลาว่าการมณฑลนั้นใช้อาคารบ้านพักของพระยาสุนทรานุรักษ์(เนตร ณ สงขลา) ผู้ช่วยเจ้าเมืองสงขลา เป็นที่ว่าราชการ           จวนบ้านออก : จวนเจ้าเมืองนอกกำแพงเมือง           หลังจากเจ้าพระยาวิเชียรคีรี(เม่น)ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนต่อๆมาก็อยู่บ้านของตัวไม่ได้อยู่ที่จวนกลางอีกต่อไป เมื่อพระยาวิเชียรคิรี(ชุ่ม) ได้เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาในพ.ศ.๒๔๒๗ ก็ย้ายที่ว่าราชการเมืองไปยังบ้านส่วนตัวซึ่งเป็นบ้านของพระยาศรีสมบัติจางวางผู้เป็นปู่ (ชาวสงขลาเรียกว่าบ้านออก) สันนิษฐานว่าจวนแห่งนี้อาจเป็นอาคารทรงจีนที่ปรากฏในภาพถ่ายพ.ศ.๒๔๓๗ และถูกระเบิดทำลายไปราวพ.ศ.๒๔๘๕ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒           จวนหลังสุดท้าย : จวนนอกกำแพงเมืองแห่งที่ ๒           ต่อมาเมื่อพระยาวิเชียรคิรี(ชม) ได้เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ก็ได้ใช้บ้านพักส่วนตัวเป็นที่ว่าราชการ โดยไม่ได้กลับไปใช้จวนกลางที่ใช้กันมาแต่เดิม ทั้งนี้เมื่อนาย Monsieur Claine Jules เข้ามายังเมืองสงขลาในพ.ศ.๒๔๓๒ ได้ถ่ายภาพจวนแห่งนี้ไว้ -------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา-------------------------------------------------*เผยแพร่ข้อมูล : กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร


           สำนักงาน ก.พ.ร.  แจ้งส่วนราชการให้ทราบถึงรายละเอียดตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย เกณฑ์การให้คะแนน และน้ำหนักที่ผ่านการพิจารณาจากคณะทำงานพิจารณาตัวชี้วัด และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานและประเมินผลตามการประเมินประสิทธิภาพของส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563



พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.  หลักราชการและประโยชน์แห่งการอยู่ในธรรม.  กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2527.               เรื่องหลักราชการ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นสำหรับแจกข้าราชการในโอกาสตรุษสงกรานต์ เมื่อ พ.ศ.2457 เนื้อหาเหมาะสำหรับข้าราชการจะยึดถือเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติอยู่เสมอ


black ribbon.