ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

กรมศิลปากรได้เข้าเจรจาและจัดให้มีการประชุมร่วมกันหลายฝ่าย และที่ประชุมฯ ได้มีมติให้วัดกัลยาณมิตรฯ จัดทำแผนแม่บทการอนุรักษ์โบราณสถานภายในวัดฯ   กรมศิลปากรได้มีหนังสือนมัสการแจ้งเจ้าอาวาสให้ระงับการดำเนินการเป็นจำนวนหลายฉบับ พร้อมทั้งได้เข้านมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๕๑ เพื่อขอให้วัดระงับการกระทำอันละเมิดกฎหมาย แต่มิได้รับความร่วมมือจากทางวัดแต่อย่างใดจนนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ ในครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๕๑   การดำเนินคดีทางอาญาต่อวัดกัลยาณมิตรฯ ได้ดำเนินการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นจำนวนคดีรวม ๑๖ คดี ๔๕ รายการ แบ่งออกเป็น   - การรื้อถอนโบราณสถาน ๒๒ รายการ - การบูรณะโบราณสถาน ๕ รายการ - การก่อสร้างอาคารในเขตโบราณสถานโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร ๑๘ รายการ นอกจากนี้ยังมีคดีทางปกครองอีก ๓ คดี และคดีถึงที่สุดแล้วทุกคดี อันเป็นที่มาที่กรมศิลปากรเข้าดำเนินการรื้อถอนศาลารายจำนวน ๒ หลังที่สร้างขึ้นบนโบราณสถานที่วัดฯ ได้รื้อถอนทำลายไป ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ รายละเอียดดังนี้   คดีปกครองกรณีวัดกัลยาณมิตรฯ คดีปกครองในกรณีวัดกัลยาณมิตร มีจำนวน ๓ คดี ได้แก่ คดีปกครองหมายดำที่ ๙๐/๒๕๕๒, คดีปกครองหมายดำที่ ๔๕๗/๒๕๕๒ และคดีปกครองหมายดำที่ ๔๖๑/๒๕๕๕




พิพิธิภัณฑสถานแห่งชาติเสมือนจริง หริภุญไชย: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/hariphunchai     พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน เริ่มจากสิ่งของที่เก็บรวบรวมไว้ในวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหารซึ่งมีผู้ศรัทธาได้ถวายแด่พระธาตุที่บรรจุอยู่ในพระเจดีย์ แล้วค่อยๆเพิ่มจำนวนเรื่อยมา    เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปของชาวเมืองลำพูนว่า ประมาณ พุทธศักราช 2453 เจ้าผู้ครองเมืองลำพูนองค์สุดท้ายคือ พลตรีเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ (ปกครองระหว่างพุทธศักราช 2545-2486) และเพื่อนๆ ต้องการที่จะรวบรวมสิ่งของที่น่าสนใจในท้องถิ่นเพื่อนำมาเก็บไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยรวมกับวัตถุอื่นๆ ที่มีอยู่ในวัดตั้งแต่เดิมมา แล้วจัดแสดงให้ผู้คนเข้ามาชมได้ ทางวัดจึงได้จัดสถานที่ให้ โดยวัตถุส่วนใหญ่เก็บไว้ที่ระเบียงวัด อีกส่วนหนึ่งอยู่ในอาคารใกล้กับระเบียงนั้น ส่วนที่เหลือทางวัดให้จัดแสดงกระจายทั่วบริเวณ สรุปได้ว่าวัตถุที่สะสมมาแต่แรกในยุคบุกเบิกมีขึ้นแล้วตั้งแต่ราวปี พุทธศักราช 2453-2462 ต่อมาพระยาราชนกูลวิบูลย์ภักดี (อวบ เปาโรหิต) สมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ ได้มีแนวคิดที่จะคุ้มครองรักษาสมบัติวัฒนธรรมของชาติในมณฑลพายัพไม่ให้สูญหาย และในนครลำพูนสมัยนั้นเป็นแหล่งที่ค้นพบศิลปะโบราณวัตถุมากกว่าที่อื่นในภาคเหนือ ดังรายละเอียดในใบแจ้งความของมณฑลพายัพ ลงวันที่ 1 กรกฎาคม พุทธศักราช 2470 ดังนี้     ด้วยมณฑลพายัพเป็นเมืองที่ตั้งมาแต่โบราณกาลบางสมัยถึงได้ใช้เป็นราชธานีในสยาม… เป็นเมืองที่ประกอบด้วย นักปราชญ์ชั้นเอกเลื่องลือนาม เพราะเหตุนี้ย่อมมีโบราณวัตถุที่ปรากฏและที่ค้นพบใหม่ เนืองๆ อยู่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองก็ได้รวบรวมไว้บ้างที่มีมากกว่าแห่งอื่นก็คือนครลำพูนข้าพเจ้าเห็นว่าสมควรจะรวบรวมโบราณวัตถุที่พบแล้วหรือที่จะได้พบในภายหน้าจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับมณฑลพายัพขึ้นให้เป็นกิจจะลักษณะเพื่อความมั่นคงที่จะมิให้สิ่งของเหล่านั้นเป็นอันตรายหายสูญ สถานที่ที่จะจัดตั้งพิพิธภัณฑ์นั้นเหมาะแก่บริเวณวัดมหาธาตุหริภุญชัยนครลำพูนกับเห็นควรจะจัดตั้งหอสมุดสำหรับมณฑลพายัพขึ้นที่นครเชียงใหม่ เพื่อรวบรวมบรรดาหนังสือเก่าใหม่เท่าที่สามารถจะหาได้ สำหรับผู้ปรารถนาจะศึกษาหาความรู้ ในทางโบราณคดี และวรรณคดีจะได้มาอ่านตรวจดูได้สะดวกเป็นสาธารณประโยชน์ตลอดกาลนาน ข้าพเจ้าได้หารือต่อกรรมการราชบัณฑิตยสภาฯ ได้อนุมัติแล้ว" จากนั้นพระยาราชนกูลวิบูลย์ภักดี ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดตั้งลำพูน พิพิธภัณฑสถานตามคำสั่งศาลารัฐบาลมณฑลพายัพ ที่ 12 ลงวันที่ 15 กรกฎาคม พุทธศักราช 2470 เรื่อง พิพิธภัณฑ์ และหอสมุด ดังนี้       1. เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ พร้อมด้วยพระยาราชนกูลวิบูลย์ภักดี เป็นผู้อำนวยการ     2. พระยาวิชิตรักษา เป็นผู้ดำเนินการ     3. นายอำเภอเมือง เป็นผู้ช่วยดำเนินการและเลขานุการ     4. ปลัดอำเภอเมืองผู้ 1 แล้วแต่ผู้ดำเนินการจะเลือก เป็นผู้รักษาพิพิธภัณฑ์     5. จ่าจังหวัด เป็นผู้ช่วยรักษาพิพิธภัณฑ์     6. เสมียนตราจังหวัด เป็นเหรัญญิก     7. อักษรเลข เป็นผู้ช่วยเหรัญญิก        ต่อมา กรมศิลปากรมีโครงการขยายกิจการพิพิธภัณฑ์ หาสถานที่และงบประมาณจะจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ถาวรทันสมัยขึ้นใหม่ พระธรรมโมลี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยขณะนั้น จึงมอบศิลปโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานหลังเดิมจำนวน 2,013 ชิ้นให้กรมศิลปากร เพื่อนำออกมาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่จะสร้างขึ้นใหม่ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2511 แต่ก็ยังไม่มีสถานที่เหมาะสม


นำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักร   ข้อแนะนำการส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักร   บุคคลทั่วไป               ๑.  กรอกแบบฟอร์มการขออนุญาตที่ทางราชการจัดให้  (ศก.๖)             ๒. ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร  ให้เหตุผลส่งหรือนำไปเพื่ออะไร  ไว้ที่ใดโดยละเอียด             ๓.  ในกรณีที่นำติดตัวไปเอง  ถ่ายสำเนาหนังสือเดินทางของผู้ขออนุญาต  ๑  ชุด                  ในกรณีที่ส่งไปถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  หรือบัตรข้าราชการ             ๔.  ให้แสดงหลักฐานเป็นเอกสารรับรองจากองค์กร  องค์การ                  (องค์กร, องค์การที่เป็นที่เชื่อถือ  และยอมรับจากทางราชการ) สมาคม   หมายถึง   ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับศาสนาซึ่งเป็นที่เชื่อถือและยอมรับจากทางราชการ สถาบันที่เกี่ยวข้องกับศาสนา   คือ  พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์  เป็นเจ้าอาวาส  รองเจ้าอาวาส  ผู้ช่วยเจ้าอาวาส  หรือเลขาธิการสมเด็จพระสังฆราช  เป็นผู้ลงนามรับรอง  หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เชื่อถือได้ว่าจะส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักรเพื่อสักการบูชา   เพื่อศึกษาวิจัย   เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณ   หรือเพื่อแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมหรือโบราณคดี   ในกรณีที่เจ้าอาวาสวัด  รองเจ้าอาวาสวัดฯ  หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด  รับรอง    ต้องมีเอกสาร  ดังนี้             ๑.  ทำหนังสือจากวัดถึงอธิบดีกรมศิลปากร             ๒. สำเนาใบสุทธิประวัติเดิม – ปัจจุบัน             ๓.  สำเนาใบแต่งตั้งสมณศักดิ์  หรือหลักฐานยืนยันชื่อลงนามในหนังสือรับรอง   ในกรณีที่ข้าราชการรับรอง    (ต้องเป็นข้าราชการตั้งแต่  ระดับ ๔  ขึ้นไป)             ๑.  ทำหนังสือจากผู้รับรองถึงอธิบดีกรมศิลปากร  รับรองผู้ขออนุญาตส่งหรือนำพระพุทธรูปออกนอกราชอาณาจักร             ๒. สำเนาบัตรข้าราชการ  ด้านหน้า – หลัง   อนึ่ง    เอกสารที่เป็นสำเนา  ให้ผู้รับรองลงนามรับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ   ภาพถ่ายของวัตถุ               ใช้ภาพสี  ขนาด ๓ x ๕ นิ้ว  จำนวน  ๒  ภาพ  ต่อวัตถุ  ๑  รายการ   ถ่ายภาพเฉพาะด้านหน้าให้   ชัดเจน  หากมีพลาสติกห่อหุ้มให้เอาออกก่อนถ่ายภาพ   นำวัตถุที่จะส่งหรือนำออกทุกชิ้นไปแสดงต่อคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ฯ  ในวันที่ยื่นคำร้อง (ศก.๖)   ณ  สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  เลขที่ ๘๑/๑  ถนนศรีอยุธยา  (อาคารกรมศิลปากรใหม่)  เทเวศร์  แขวงวชิระ  เขตดุสิต  กรุงเทพฯ  ๑๐๓๐๐             ระยะเวลาออกใบอนุญาต         ๒   วันทำการ             เวลาทำการตรวจพิสูจน์            เช้า    เวลา  ๑๐.๐๐  น.                                                   บ่าย   เวลา  ๑๔.๐๐  น.   ฝ่ายบริหารงานทั่วไป   สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โทรศัพท์, โทรสาร  ๐ ๒๖๒๘ ๕๐๓๓     ขั้นตอนและวิธีการ   การขอรับใบอนุญาตส่งหรือนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร   ๑.   ผู้ขออนุญาต  ต้องกรอกในคำขอรับใบอนุญาตส่งหรือนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร(ศก.๖)  พร้อมแนบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในคำขอรับใบอนุญาต   ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  เลขที่ ๘๑/๑  ถนนศรีอยุธยา  เทเวศร์  แขวงวชิระ  เขตดุสิต  กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ ๒.  ผู้ขออนุญาต  จะต้องนำโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่ขออนุญาตส่งออกทุกชิ้นไปให้คณะกรรมการตรวจพิสูจน์  ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ   หากไม่สามารถนำไปให้ตรวจพิสูจน์ ณ สถานที่ดังกล่าวได้ ผู้ขออนุญาตสามารถทำหนังสือพร้อมทั้งแสดงเหตุผลต่ออธิบดีขอให้มีการตรวจพิสูจน์  ณ สถานที่ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ  ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการนี้ทั้งหมด ๓.  เจ้าหน้าที่จะผูกตะกั่วประทับตราที่โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุทุกชิ้น  ที่คณะกรรมการตรวจพิสูจน์ สรุปความ เห็นอนุญาตให้ส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักรได้ ๔.  ภายใน ๑ - ๒ วันทำการ  ให้ผู้ขอรับใบอนุญาตไปรับใบอนุญาต   พร้อมชำระค่าธรรมเนียม       ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง  ณ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ       ค่าธรรมเนียมศิลปวัตถุประเภทพระพุทธรูป  สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงปัจจุบัน       - ขนาดยาวหรือสูงเกิน  ๑๐๐ เซนติเมตร                             ชิ้นละ  ๓๐๐  บาท       - ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐๐  เซนติเมตร     ชิ้นละ  ๒๐๐  บาท       - ขนาดยาวหรือสูงไม่เกิน  ๕๐  เซนติเมตร                          ชิ้นละ  ๑๐๐  บาท       ค่าธรรมเนียมศิลปวัตถุ  สมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงปัจจุบัน       - ขนาดยาวหรือสูงเกิน  ๑๐๐ เซนติเมตร                             ชิ้นละ  ๒๐๐  บาท       - ขนาดยาวหรือสูงเกิน ๕๐ เซนติเมตร แต่ไม่เกิน ๑๐๐  เซนติเมตร     ชิ้นละ  ๑๐๐  บาท       - ขนาดยาวหรือสูงไม่เกิน  ๕๐  เซนติเมตร                          ชิ้นละ   ๕๐  บาท ๕.  เจ้าหน้าที่จะออกบัตรประจำวัตถุ (บัตรสีชมพู)  เพื่อให้ผู้ขอรับใบอนุญาตนำไปผูกกับปลายเชือกที่ประทับตราตะกั่วที่โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุทุกชิ้น ๖.   ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องลงชื่อรับรองว่าจะนำบัตรประจำวัตถุไปผูกติดกับปลายเชือกตราตะกั่วที่ประทับวัตถุให้ถูกต้องตรงกับเลขหมายรายการในใบอนุญาต



กำแพงดินและคูน้ำไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าจะเป็นกำแพงและคูเมืองเดิมที่พญามังรายทรงสร้างเมื่อแรกสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 บางท่านก็เชื่อว่าน่าจะเป็นกำแพงและคูที่สร้างในสมัยพระยาโกษาธิบดียกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2200 และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พงศาวดารกรุงธนบุรีได้กล่าวว่าในปี พ.ศ. 2314 กองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกทัพผ่านกำแพงดินนี้ก่อนจะเข้าถึงเมืองเชียงใหม่ กำแพงและคูเมืองในปัจจุบันเริ่มต้นตั้งแต่บริเวณแจ่งกู่เฮืองฝั่งตรงข้ามกับถนนช่างหล่อ พุ่งไปทางทิศใต้แนวเดียวกับกำแพงเมืองเชียงใหม่ด้านทิศตะวันตกแล้วเลี้ยวซ้ายไปทางด้านตะวันออกโอบเมืองเยงใหม่ไปทางด้านตะวันออกขึ้นไปทางเหนือผ่านถนนท่าแพไปบรรจบกับกำแพงเมืองเชียงใหม่ตรงมุมแจ่งศรีภูมิ บริเวณวัดไชยศรีภูมิ โดยมีคูเมืองขนานไปตลอดซึ่งคูเมืองบางส่วนคงให้เห็น บางส่วนถูกปรับให้มีขนาดเล็กลง และเปลี่ยนเปลง ทิศใต้มีคลองแม่ข่าไหลผ่านคูเมืองลงไปทางทิศใต้บรรจบกับแม่น้ำปิง โดยทั่วไปยังคงสภาพให้เห็นน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ถูกอาคารสร้างทับ ปรับพื้นที่เกือบตลอดแนวป้อมที่คงอยู่ในปัจจุบันคือ ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เรียก "ป้อมหายยา" ประตูที่พบที่ยังคงอยู่คือ ประตูหายยา ประตูก้อม






          เรื่องลำดับกษัตริย์กรุงเก่าคำฉันท์นี้ แต่งเป็นกาพย์ฉบัง 16 เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บอกจำนวนปีและ พ.ศ. ที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติทุกรัชกาล


อบรมผู้ใช้งานระบบสัมมนาออนไลน์ ในวันที่ 20 มีนาคม 2556 ตั้งแต่เวลา 9.00 - 16.00 โดยเจ้าหน้าที่บริษัท เอ็มเวิร์ค กรุ๊ป จำกัด



วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 นางสาวระเบียบ หงส์พันธ์ หัวหน้าหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก กาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่ ได้เข้าร่วมพิธีถวายเครื่องสักการะ พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล และร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ณ ศาลา 60 พรรษามหาราช จังหวัดกาญจนบุรี



black ribbon.