ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

องค์ความรู้ : อุทยานประวัติศาสตร์ กำแพงเพชรเรื่อง ภาพปูนปั้นปางประสูติ ณ วัดช้างรอบ เมืองกำแพงเพชรภาพปูนปั้น คือรูปแบบหนึ่งของงานศิลปกรรมไทยที่ใช้ปูนหมักปูนตำ ที่เกิดจากการรวมส่วน ประกอบหลัก คือ ปูน ทรายน้ำจืด เส้นใยธรรมชาติและกาว มาผสมผสานรวมกันจนเป็นเนื้อเดียวแล้วนำมาปั้นแปะกับผนังที่เป็นพื้นเรียบให้เกิดเป็นรูปทรงและลวดลายเพื่อใช้ในการประดับตกแต่งอาคารและส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรมต่าง ๆ อาคารที่สร้างเนื่องในทางพระพุทธศาสนามักมีความนิยมประดับตกแต่งด้วยภาพปูนปั้นแบบนูนต่ำในส่วนต่าง ๆ ของอาคาร เช่น ซุ้มประตู หน้าบันผนังอาคาร เป็นต้น ลักษณะของภาพปูนปั้นมักทำเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษา สัตว์ และรูปบุคคลที่ใช้เล่าเรื่องราวทางศาสนา เช่น พระพุทธประวัติ ชาดก และวรรณคดีที่นิยมในท้องถิ่นนั้น ๆ  วัดช้างรอบ เป็นโบราณสถานตั้งอยู่บนเนินเขาลูกรัง นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือที่เป็นเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชร เจดีย์ประธานของวัดประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีบันไดอยู่ที่กลางด้านทั้งสี่เพื่อใช้ขึ้นไปถึงลานด้านบน ส่วนของผนังฐานสี่เหลี่ยมของเจดีย์ประธานประดับประติมากรรมรูปช้างปูนปั้น จำนวน ๖๘ เชือก ในอิทธิพลศิลปะสุโขทัยที่นิยมสร้างเจดีย์ทรงระฆังที่มีการประดับประติมากรรมรูปช้างล้อมรอบส่วนของฐานเจดีย์ ประติมากรรมรูปช้างมีการประดับลวดลายปูนปั้นที่บริเวณแผงคอ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับลายชายผ้าของเทวรูปพระอิศวรสำริด ที่พบยังเมืองกำแพงเพชรและมีจารึกที่ระบุการสร้างในปี พ.ศ. ๒๐๕๓ รวมทั้งจากหลักฐานโบราณวัตถุที่พบประเภทกระเบื้องมุงหลังคาดินเผาชนิดกระเบื้องเชิงชายลายดอกบัวและลายเทพพนม สามารถกำหนดอายุด้วยวิธีการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปกรรม(Comparative dating) ได้ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ –๒๒ส่วนของเจดีย์ที่อยู่เหนือชั้นฐานประทักษิณคงเหลือเฉพาะชั้นหน้ากระดานแปดเหลี่ยมและชั้นหน้ากระดานกลม ที่ชั้นหน้ากระดานกลมเหนือฐานแปดเหลี่ยมมีการประดับด้วยประติมากรรมดินเผารูปหงส์เหนือขึ้นไปมีช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ารอบองค์เจดีย์ จำนวน ๔๔ ช่อง ขนาดความกว้าง ๕๐ เซนติเมตร ความยาว ๙๐ เซนติเมตร และในช่องรอบองค์เจดีย์แต่ละช่องนั้น มีการประดับภาพปูนปั้นเล่าเรื่องพระพุทธประวัติในลักษณะการเรียงลำดับเหตุการณ์จากด้านทิศเหนือของเจดีย์เวียนขวารอบฐานเจดีย์ภาพปูนปั้นเหล่านี้มีลักษณะพิเศษคือการใช้สีดำร่างลายเส้นรูปภาพก่อน แล้วจึงใช้ปูนปั้นทับลายเส้นสีดำภายหลังภาพปูนปั้นเล่าเรื่องพระพุทธประวัติ เหตุการณ์ตอนประสูติเจ้าชายสิทธัตถะเป็นช่องลำดับเหตุการณ์ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของเจดีย์ประธานปรากฏเป็นรูปบุคคลยืนอยู่บนดอกไม้ มือขวายกขึ้น มือซ้ายห้อยลงข้างลำตัว ส่วนของพระเศียรกะเทาะหายไป แต่ยังคงปรากฏลายเส้นของรัศมีรอบพระเศียร สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธประวัติเหตุการณ์ตอนที่ พระนางสิริมหามายาผู้เป็นพระราชมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ขณะที่ทรงเดินทางไปยังแผ่นดินเกิด คือ กรุงเทวทหะ ในระหว่างทางได้มีพระประสูติกาลเจ้าชายสิทธัตถะ ณ สวนลุมพินีวัน ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ โดยทรงอยู่ในอิริยาบถยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ในพระหัตถ์ขวาส่วนเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อประสูติแล้ว ได้ทรงก้าวย่างพระบาทและยืนอยู่บนดอกบัว หนังสือพระปฐมสมโพธิ ฉบับของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ปริเฉทที่ ๓คัดภานิกขมนปริวรรต ได้ระบุถึงเหตุการณ์หลังการประสูติของพระโพธิสัตว์ว่าพระราชกุมารได้ประทับยืนผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือและก้าวย่างพระบาทไป ๗ ก้าว ซึ่งในทุกก้าวก็ได้มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท เมื่อพระราชกุมารทรงเดินครบ ๗ ก้าว ก็ได้เปล่งวาจาออกมาว่า “...ในโลกนี้เราเป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุดการเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้ายภพใหม่ต่อไปไม่มี…”นิทานกถา พระพุทธประวัติตอนต้น ฉบับพระพุทธโฆสเถระ นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้แปลและเรียบเรียง ได้ระบุว่า“...พระโพธิสัตว์เสด็จประทับยืนเหนือพื้นปฐพีทรงทอดพระเนตรไปยังทิศบูรพาจักรวาฬมากมายหลายพันก็รวมเป็นเนินเนื่องถึงกันเป็นอันเดียว...พระโพธิสัตว์ทรงตรวจดูไปตามทิศทั้ง ๑๐คือทิศใหญ่ ๔และทิศน้อย ๔ทิศเบื้องล่าง ๑ทิศเบื้องบน ๑ไม่ทรงเห็นผู้ที่เสมอด้วยพระองค์จึงทรงกำหนดว่าทิศนี้เป็นทิศเหนือแล้วทรงดำเนินไปด้วยย่างพระบาท ๗ ก้าวมีท้าวมหาพรหมเชิญเศวตฉัตรสุยามเทพบุตรเชิญวาลวีชนีและเทวดาอื่นๆถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์นอกนั้นดำเนินตามครั้นแล้วพระโพธิสัตว์ประทับยืนอยู่ในก้าวที่ ๗ทรงเปล่งพระอาสภิวาจา(คำของผู้สูงสุด) บันลือสีหนาทว่าข้าพเจ้าเป็นยอดคนของโลกดังนี้เป็นอาทิ….”เรื่องราวในพระพุทธประวัติตอนประสูติเจ้าชายสิทธัตถะได้ปรากฏเช่นกันในงานศิลปกรรม ตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ หน้าบันของเจดีย์บริวารด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ประธานวัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย โดยเป็นการประดับภาพปูนปั้นรูปบุคคลที่เป็นเพศหญิง จำนวน ๔ คน ในอิริยาบถยืน โดยหนึ่งในบุคคลดังกล่าวได้มีการยกมือขวาขึ้นเหนี่ยวกิ่งไม้และมีผู้ที่คอยประคองอยู่ด้านข้าง สันนิษฐานว่าเป็นรูปของพระนางสิริมหามายาขณะที่มีพระประสูติกาลเจ้าชายสิทธัตถะซึ่งในส่วนของรูปปูนปั้นของเจ้าชายสิทธัตถะน่าจะอยู่ตรงกลางภาพที่ได้หลุดกะเทาะหายไปงานจิตรกรรมฝาผนัง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ กรุงเทพฯ ได้ปรากฏเรื่องราวในพระพุทธประวัติตอนประสูติเจ้าชายสิทธัตถะในรูปของพระนางสิริมหามายา ทรงยกมือขึ้นคว้าเหนี่ยวกิ่งไม้และประทับยืนแวดล้อมไปด้วยเหล่าข้าราชบริพาร ส่วนของรูปของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อประสูติแล้วทรงยืนโดยมีพระพรหมและพระอินทร์ขนาบด้านข้างงานประติมากรรมเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ณ ลุมพินีวัน กรมพระราชพิธีส่งมอบให้พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔เป็นงานประติมากรรมรูปของพระนางสิริมหามายา ทรงยกมือขวาขึ้นเหนี่ยวกิ่งไม้ และเจ้าชายสิทธัตถะทรงยืนโดยมีเทวดานั่งคุกเข่าอยู่สองข้างภาพปูนปั้นเล่าเรื่องพระพุทธประวัติ เหตุการณ์ตอนประสูติเจ้าชายสิทธัตถะณ วัดช้างรอบจึงเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าเมืองกำแพงเพชรมีคติความเชื่อในเรื่องราวของพระพุทธศาสนา และสืบทอดความศรัทธานั้น ผ่านงานศิลปกรรมอันงดงามและภูมิปัญญาของช่างโบราณ เป็นประจักษ์พยานให้ยังคงปรากฏในปัจจุบัน.เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. จิตรกรรมฝาผนัง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์.นครปฐม: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๗.กรมศิลปากร. นิทานกถา พระพุทธประวัติตอนต้น ฉบับพระพุทธโฆสเถระ นายธนิต อยู่โพธิ์ แปลและเรียบเรียง. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.สัมพันธ์พาณิชย์ บริษัทบางกอกอินเฮ้าส์จำกัด, ๒๕๓๐.กรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ: บริษัทบางกอกอินเฮ้าส์จำกัด, ๒๕๖๑.กรมศิลปากร. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ.นครปฐม: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๘.กรมศิลปากร. รายงาน องค์ความรู้ เรื่อง การปั้นปูนในงานสถาปัตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ, ๒๕๕๕.ประทีป  เพ็งตะโก. “กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๔๐.วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. พจนานุกรม ศัพท์ศิลปกรรมไทย.นนทบุรี: บริษัทวิริยะธุรกิจ จำกัด, ๒๕๕๙.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. พระปฐมสมโพธิกถา. กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๐๕.อนันต์  ชูโชติ. “เจดีย์วัดช้างรอบ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร.” สาระนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๒๓.



สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.41/1-5  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


อฎฺฐงฺคิกมคฺค (พรอฎงฺคิกมคฺค)  ชบ.บ.83/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (ทสพร-กุมาร)  ชบ.บ.106ก/1-1ข  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.332/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 54 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 132  (343-358) ผูก 4 (2565)หัวเรื่อง : ปาลิวารปาลี (บาลีบริวาร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


             สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช - เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประสูติเป็นลำดับที่ ๗ ในสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นทรงกรมเป็น “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร”            กรมสงขลา - เดิมพระนามกรมนี้ เป็นพระอิสริยยศในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนมไหสูริยสงขลา โดยได้รับการสถาปนาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ภายหลังเสด็จกลับมารับราชการ จึงได้โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนพระนามกรมเป็นสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต นามกรมนี้จึงได้เป็นของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช ในอีก ๒ ปีต่อมา นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวของพระนาม “สงขลา” ในหนังสือเจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์ ระบุว่าเมื่อครั้งทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชทรงใช้พระนามว่า Mr. Mahidol Songkla ดังนั้น พระโอรส - ธิดาของพระองค์จึงได้ใช้นามสกุล “สงขลา” (ภายหลังในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ พระบาทสมเด็จพระปกกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามสกุลเป็น “มหิดล ณ อยุธยา”)          บรมราชชนก - สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๗๒ (รัชกาลที่ ๗) ทรงได้รับการเฉลิมพระราชอิสริยยศพระศพขึ้นเป็น “กรมหลวง” จนในรัชกาลที่ ๙ ทรงรับการเฉลิมพระนามพระอัฐิเป็น “สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก” ทรงพระราชฐานันดรศักดิ์เสมอด้วยสมเด็จพระบวรราชเจ้าในพระบรมราชวงศ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์          ปัจจุบัน พระราชสรีรางคารของพระองค์ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ พระสถูปแห่งราชสกุลมหิดล ลักษณะเป็นพระเจดีย์ครึ่งองค์ บริเวณหน้ามุขด้านทิศตะวันออกของโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ตามพระราชประสงค์ที่ระบุว่า ...เพื่อสังวาลย์และลูกๆ จะได้มาหาโดยสะดวก... .          (เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร)


   ชื่อผู้แต่ง        วชิรญาณวงศ, สมเด็จพระ ชื่อเรื่อง         ขันธโลกวิจาร และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ครั้งที่พิมพ์     พิมพ์ครั้งที่ 2 สถานที่พิมพ์   พระนคร สำนักพิมพ์     โรงพิมพ์พระจันทร์ ท่าพระจันทร์ ปีที่พิมพ์         ๒๔๗๘ จำนวนหน้า     ๖๓ หน้า หมายเหตุ       คณะผู้แทนราษฎรจังหวัดในปักษ์ใต้ พิมพ์เป็นธรรมทาน โดยเสด็จพระราชกุศลพุทธศาสนูปถัมภ์ ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา พุทธศักราช ๒๔๗๘                     หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง ขันธปัญจกนัย  หรือปัญจขันธ์ เป็นหลักคำสอนทางพุทธศาสนา และสอดแทรกเรื่อง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ราชกิจจานุเบกษา ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเป็นหนังสือที่รวบรวมเนื้อหาทั้งทางธรรมและทางโลก เพื่อให้ผู้อ่านถือคติกระทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง


ชื่อเรื่อง : บริรักษเวชชการอนุสรณ์ ชื่อผู้แต่ง : กระทรวงสาธารณสุข ปีที่พิมพ์ : 2511 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ไทยเขษม จำนวนหน้า : 256 หน้า สาระสังเขป : บริรักษเวชชการอนุสรณ์ เป็นบทความเกี่ยวกับการสาธารณสุข จำนวน 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1. เรื่องการสาธารณสุข โดยพระยาบริรักษเวชการ กล่าวถึงประวัติการสาธารณสุขของไทย อาทิ การใช้พระราชกำหนดสุขาภิบาล การจัดการสาธารณสุขในท้องถิ่น การจัดตั้งศุขศาลาที่เน้นเรื่องการป้องกันโรคให้แก่ประชาชน เป็นต้น 2. เรื่องประวัติการสุขาภิบาลในประเทศไทย โดยพระบำราศนราดูร กล่าวถึงพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการสุขาภิบาลไทย เช่น พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 พระราชบัญญัติสำหรับตรวจป้องกันโรคสัตว์พาหนะ ร.ศ.119 เป็นต้น 3. เรื่อง ประวัติการควบคุมโรคติดต่ออันตรายในประเทศไทย โดยนายแพทย์ประเมิน จันทวิมล กล่าวถึงโรคติดต่ออันตรายที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น อหิวาตกโรค กาฬโรค และแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดโรค 4. เรื่อง ประวัติการแพทย์ของไทย โดยนายแพทย์สงัด เปล่งวานิช กล่าวถึงประวัติการแพทย์ไทย 3 ยุค ได้แก่ ยุคแรก พ.ศ. 2054 - 2370 ยุคที่ 2 พ.ศ. 2371 - 2475 และยุคที่ 3 พ.ศ. 2575 - ปัจจุบัน (พ.ศ. 2514)


สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญชม โขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดศึกสัตลุง ตรีเมฆ วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ โรงละครแห่งชาติ นำแสดงโดยศิลปินสำนักการสังคีต กำกับการแสดงโดยสมชาย อยู่เกิด บัตรราคา ๒๐๐, ๑๕๐, ๑๐๐ บาท เริ่มจำหน่ายบัตรตั้งแต่วันอังคารที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๕ เป็นต้นไป ณ ห้องจำหน่ายบัตร โรงละครแห่งชาติ(เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๕.๓๐ น.) และจำหน่ายบัตรออนไลน์ที่ https://ntt.finearts.go.th (เปิดด้วยโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ อาทิ Safari, Google Chrome, Firefox, Internet Explorer) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ ๐ ๒๒๒๑ ๐๑๗๑ การจัดการแสดงอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโรคตามแผนมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและมาตรการที่ทางราชการกำหนด  


ชื่อผู้แต่ง          พูนพิศมัย  ดิสกุล, หม่อมเจ้าหญิง ชื่อเรื่อง           ตอบปัญหาธรรม ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๙ จำนวนหน้า      ๕๕ หน้า           ตอบปัญหาธรรม  เป็นหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา  เหมาะกับชนทุกชั้นทุกวัย ดำเนินเรื่องในรูปแบบการถามและการตอบปัญหาเกี่ยวกับทางธรรม ซึ่งได้จัดดำเนินการทางวิทยุกระจายเสียง ททท. เนื้อหาประกอบด้วย ประวัติโดยสังเขปของพลโทบัญญัติ  เทพหัสดิน ณ อยุธยา  ผังลำดับสายพลโท บัญญัติ  เทพหัสดิน ณ อยุธยา  ปัญหาที่ถามพร้อมคำตอบเกี่ยวกับพุทธศาสนา  รวมทั้งภาพประกอบ


    “เจ็ดเสมียน” ชื่อนี้มีที่มา            “เจ็ดเสมียน” เป็นชื่อบ้านนามเมืองแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ อ.โพธาราม  จ.ราชบุรี   ชื่อนี้ปรากฎอยู่ในหลักฐานทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นตำนานบอกเล่า  เช่น ในตำนานพระปฐมเจดีย์ ฉบับพระยาราชสัมภารากรและฉบับตาปะขาวรอด  ได้บันทึกเรื่องราวของนิทานพื้นบ้านเรื่องพระยากง พระยาพาน  โดยได้กล่าวถึง “บ้านเจ็ดเสมียน” เมื่อครั้งที่พระเจ้าแผ่นดินสุโขทัยให้บุตรบุญธรรมคือพระยาพาน ซึ่งเป็น ผู้มีบุญญาธิการมาก ลงมาซ่องสุมผู้คนตั้งอยู่ที่ “บ้านเจ็ดเสมียน”                                                ความเป็นมาของชื่อบ้าน  “เจ็ดเสมียน” ปรากฏเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานท้องถิ่นสืบต่อกันมาว่าในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจ้าตากสินมหาราชได้รวบรวมไพร่พลออกจากกรุงศรีอยุธยาเดินทางผ่านมายังเมืองราชบุรี  แล้วโปรดให้รี้พลพากันข้ามแม่น้ำแม่กลองไปตั้งค่ายพักแรมบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ จากนั้นดำริให้ป่าวประกาศรับสมัครชายชาติทหารเพื่อร่วมรบกับข้าศึก เช้าวันรุ่งขึ้นมีผู้คนมาสมัครเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงโปรดให้รับสมัครผู้รู้หนังสือมาเป็นเสมียนรับลงทะเบียนเพิ่มเติม ปรากฏว่ามีคนมาอาสาทำหน้าที่ดังกล่าวถึง ๗ คน และทำการบันทึกรายชื่อทหารได้ทันพลบค่ำพอดี  จึงกลายเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน “เจ็ดเสมียน”                ในนิราศพระแท่นดงรังของสามเณรกลั่น ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๓๗๖  เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง ได้เล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของย่านเจ็ดเสมียน ว่าเจ็ดเสมียนเป็นย่านใหญ่ เดิมมีจระเข้อยู่เป็นจำนวนมาก แม้พระมหากษัตริย์จะใช้เสมียนถึงเจ็ดคนมาทำการจดก็ยังไม่พอ       “...ถึงบางกระไม่เห็นกระปะแต่บ้าน    เป็นภูมิฐานทิวป่าพฤกษาไสว                                         โอ้ผันแปรแลเหลียวให้เปลี่ยวใจ          ถึงย่านใหญ่เจ็ดเสมียนเตียนสบาย                              ว่าแรกเริ่มเดิมทีมีตะเข้                        ขึ้นผุดเร่เรียงกลาดไม่ขาดสาย           จอมกระษัตริย์จัดเสมียนเขียนเจ็ดนาย มาจดหมายมิได้ถ้วนล้านกุมภา...”            ชื่อ“เจ็ดเสมียน” ปรากฏอยู่ใน “กลอนเพลงยาวนิราศเรื่องรบพม่าที่ท่าดินแดง”  พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑  เมื่อคราวที่เสด็จไปรับศึกพม่าที่กาญจนบุรีปลายพ.ศ. ๒๓๒๙  ทรงกล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ ตามเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินรวมทั้ง “เจ็ดเสมียน” ดังความในพระราชนิพนธ์ว่า     “...ถึงท่าราบเหมือนที่ทาบทรวงถวิล   ยิ่งโดยดิ้นโหยหวนครวญกระสัน                                   ด้วยได้ทุกข์ฉุกใจมาหลายวัน    จนบรรลุเจ็ดเสมียนตำบลมา                                               ลำลำจะใคร่เรียกเสมียนหมาย    มารายทุกข์ที่ทุกข์คะนึงหา                                                 จึงรีบเร่งนาเวศครรไลคลา   พอทิวากรเยื้องจะสายัณห์...”             นอกจากนี้ยังมีนิราศซึ่งเป็นลักษณะของการพรรณนาการเดินทางอีกหลายเรื่องที่กล่าวถึง เจ็ดเสมียน ในความหมายของเสมียนจำนวนเจ็ดคน เช่น โคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อยแขวงเมืองกาญจนบุรี ของพระยาตรัง, โคลงนิราศทวายของพระพิพิธสาลี, ลิลิตเสด็จไปขัดทัพพม่าเมืองกาญจนบุรี พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ, นิราศไทรโยค พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ และเรื่องเที่ยวไทรโยคคราวสมเด็จพระราชปิตุลา บรมวงศาภิมุข เสด็จประพาสเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ฯ              ในพระราชนิพนธ์ “ระยะทางเสด็จประพาสไทรโยคในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งแรก ปีฉลู พ.ศ.๒๔๒๐ ได้กล่าวถึง “เจ็ดเสมียน” ว่า                                                                                                    “...วัดเจ็ดเสมียน ลานวัดกว้างใหญ่ต้นไม้ร่มดูงามนัก เรือลูกค้าจอดอาศัยอยู่ที่นี่มาก บ้านเจ็ดเสมียนนี้เป็นที่ชื่นชอบของนักเลงกลอน  พอใจจะอยากไหว้วานให้เสมียนมาจดแทบทุกฉบับ ในนิราศพระพุทธยอดฟ้าก็ว่าถึงเจ็ดเสมียนนี้เหมือนกัน...”              รายงานทะเบียนวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่าวัดเจ็ดเสมียนเป็นวัดราษฎร์  ก่อตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๓๐๐  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้มีชุมชนเก่าแก่ และที่มาของชื่อวัดอาจตั้งตามชื่อหมู่บ้านซึ่งมีอยู่มาแต่เดิม  ตามลักษณะของการตั้งชื่อสถานที่ ชื่อที่ตั้งขึ้นแต่ละยุคสมัยจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่ปรากฏในสมัยใดสมัยหนึ่ง  ชื่อจึงเป็นเครื่องหมายบอกเรื่องราวภูมิหลังเพื่ออ้างอิงการรับรู้ร่วมกัน  ชื่อบ้าน “เจ็ดเสมียน” สะท้อนแนวคิดในเรื่องชื่อบ้านนามเมืองหรือภูมินามพื้นบ้าน  เป็นการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนผ่านการตั้งชื่อ   ในสมุดราชบุรีปี ๒๔๖๘  ระบุว่า“เจ็ดเสมียน”เคยเป็นที่ตั้งของอำเภอมาก่อน  โดยอำเภอโพธารามเดิมเรียกว่า อำเภอเจ็ดเสมียน ต่อมาในปี ๒๔๓๘ (ร.ศ.๑๑๔)  จึงได้ย้ายขึ้นไปตั้งที่ตำบลโพธารามทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง   ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้เสด็จพระราชดำเนินซ้อมรบเสือป่าที่จังหวัดราชบุรี  และใช้พื้นที่เจ็ดเสมียนในการซ้อมรบด้วย             จากหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า “เจ็ดเสมียน” มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่อดีตและชื่อบ้านเจ็ดเสมียนอาจมีที่มาจากตำนานและคำบอกเล่าซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง   ทั้งนี้หากชื่อบ้าน “เจ็ดเสมียน” ตั้งขึ้นมาจากตำนานบอกเล่า เรื่องเสมียนเจ็ดคนในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว  แสดงว่าคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เจ็ดเสมียนและบริเวณใกล้เคียงนั้น  นอกจากจะมีใจจงรักภักดีสมัครไปทำสงครามเป็นจำนวนมากแล้ว  จะต้องมีผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ เพราะตำแหน่ง  “เสมียน” ที่ปรากฏในตำราจินดามณี  กำหนดไว้ว่าใครจะเป็นเสมียนจะต้องรอบรู้ ๘ สิ่งในเรื่องของหลักภาษาและวรรณยุกต์                                                                                                   “...เปนเสมียนรอบรู้               วิสัญช์             พินเอกพินโททัณฑ                ฆาตคู้             ฝนทองอีกฟองมัน                  นฤคหิต              แปดสิ่งนี้ใครรู้                      จึงให้เป็นเสมียน...”   เรียบเรียงโดย   ปราจิน  เครือจันทร์   พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี เอกสารอ้างอิง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ กลอนเพลงยาวนิราศ เรื่องรบพม่าที่ท่าดินแดง,หลวงโสภณอักษรกิจ พิมพ์สนองพระคุณ ท่านเจ้าพระยารามราฆพ ฯ ในงานฉลองสุพรรณบัฎ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๔.    กรมศิลปากร,จินดามณี พิมพ์แจกในงานศพคุณหญิงพิรุฬห์พิทยาพรรณ ณ วัดไตรมิตตวิทยาราม ๑๕ เมษายน ๒๔๘๕ ,กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๔๘๕. กรมศิลปากร, นิราศไทรโยค พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์,พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางอนงค์ สิงหศักดิ์ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๘. กรมศิลปากร, พระบวรราชนิพนธ์เล่ม ๑, กรุงเทพฯ :กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร,๒๕๔๕. กรมศิลปากร,วรรณคดีพระยาตรัง. กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์บรรณาคาร, ๒๕๑๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ,มูลเหตุแห่งการสร้างวัดในประเทศสยามชุมนุมพระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ,กรงเทพฯ:บรรณกิจ,๒๕๔๓. สมุดราชบุรี พ.ศ.๒๔๖๘ ,กรุงเทพฯ:สมาคมมิตรภาพญี่ปุ่น-ไทย,๒๕๕๐. http:// www.chetsamian. go.th


      สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว)       สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ       ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องศัสตราวุธ พระที่นั่งบูรพาภิมุข พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร       กลองทั้งสามใบนี้แต่เดิมอยู่ที่หอกลองประจำเมืองกรุงเทพฯ ที่สวนเจ้าเชตุ หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) หอกลองมี ๓ ชั้น ชั้นล่าง “กลองย่ำพระสุริย์ศรี”  ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณย่ำรุ่ง-ย่ำค่ำ เวลาเปิดปิดประตูเมือง ชั้นกลาง “กลองอัคคีพินาศ” ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณเมื่อเกิดอัคคีภัย และกลองชั้นสุดบน “กลองพิฆาตไพรี” ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณเมื่อมีข้าศึกมาประชิดเมือง       เมื่อมีการใช้นาฬิกาแพร่หลายพ้นสมัยการตีกลองให้สัญญาณ จึงย้ายกลองทั้งสามใบนี้ไปยังหอนาฬิกาศาลสถิตยุติธรรม และหอนาฬิกาศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมตามลำดับ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๔ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมาเก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถาน        ทั้งนี้จากตำรายันต์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ระบุถึงยันต์และหนังสัตว์ที่ขึงหน้ากลองว่า กลองชั้นล่าง “ย่ำพระสุริย์ศรี” ขึงหนังกระบือ กลองชั้นกลาง “อัคคีพินาศ” ขึงหนังโค และกลองชั้นบน “พิฆาตไพรี” ขึงหนังหมีและหนังเสือ


ชื่อเรื่อง                     พระราชพิธีสิบสองเดือน เล่ม 3ผู้แต่ง                       พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ขนมธรรมเนียม ประเพณี คติชนวิทยาเลขหมู่                      390.22 จ657พสถานที่พิมพ์               กรุงเทพฯสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์คุรุสภาปีที่พิมพ์                    2506ลักษณะวัสดุ               222 หน้าหัวเรื่อง                     พระราชพิธี                              ไทย – ความเป็นอยู่และประเพณีภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกกล่าวถึงพระราชพิธีเดือน 9 ถึงพระราชพิธีเดือน 11 ว่าด้วยเรื่อง ประเพณีต่างๆ และพระราชพิธี ฯลฯ


          กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการ ไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน "ตุ๊กตาสังคโลกรูปบุคคลจากแหล่งเรือจมกลางอ่าวไทย" วิทยากรโดย นายคงกมล รัฐปัตย์ ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี ดำเนินรายการโดย นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น.           ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร


black ribbon.