ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
"ซุ้มประตูป่า". ซุ้มประตูป่า หมายถึง ปากทางที่จะเข้าสู่ป่า ซึ่งมักจะปรากฏอยู่เป็นเสา ตั้งอยู่ที่ชายหมู่บ้าน ขนาบทางเดินที่จะเข้าป่า ซึ่งมักจะเป็นส่วนประดับอยู่ระหว่างเสาทั้งคู่ ใช้เป็นบริเวณที่ประกอบพิธีกรรมสำหรับหมู่บ้าน. ชาวล้านนาจะเตรียมจัดตกแต่งประตูบ้านและประตูวัด ด้วยซุ้มประตูป่า โดยการนำต้นกล้วย ใบมะพร้าว ต้นอ้อย โคมหูกระต่าย โคมเงี้ยวหรือโคมชนิดอื่นๆ ดอกไม้ต่างๆ ตกแต่งเป็นซุ้มประตูป่าอย่างงดงาม เพื่อเป็นเครื่องสักการะถวายการต้อนรับพระเวสสันดรในวันยี่เป็ง ครั้งเสด็จออกจากป่าเข้าสู่เมือง ซึ่งปรากฏในเวสสันดรชาดก อันเป็นชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะประสูติเป็นพระพุทธเจ้า และเชื่อกันว่าถ้าใครตกแต่งซุ้มประตูป่าได้งดงาม อาจทำให้พระเวสสันดรเสด็จหลงเข้ามาในซุ้มประตูป่าที่จำลองเป็นป่าหิมพานต์ภายในบ้านของของเรา จะทำให้ได้อานิสงส์อย่างมาก. การสร้างซุ้มประตูป่า นอกจากมีคติความเชื่อ ในเรื่องการต้อนรับการเสด็จกลับจากป่าของพระเวสสันดรแล้ว ยังเป็นซุ้มที่ใช้จุดผางประทีป เพื่อบูชาพระเจ้าห้าพระองค์ โดยจุดไว้ในโคมหูกระต่าย อีกทั้งยังมีโคมชนิดอื่นๆ ที่ใช้ในการประดับตกแต่งอีกด้วย""""""""""""""""""""""""""""""". เอกสารอ้างอิงมณี พยอมยงค์. (๒๕๔๗). ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 5 ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม). เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์.ศรีเลา เกษพรหม. (๒๕๔๒). ล่องสะเพา. ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ (เล่ม ๑๑, หน้า ๕๘๕๐-๕๘๕๐). กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.สงวน โชติสุขรัตน์. (๒๕๑๑). ประเพณีไทย ภาคเหนือ. เชียงใหม่: สงวนการพิมพ์.. ภาพถ่าย โดย คุณกานต์ธีรา ไชยนวล"""""""""""""""""""""พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น.e-mail: cm_museum@hotmail.comสอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผ่านกล่องข้อความ หรือ โทรศัพท์ : 053-221308For more information, please leave your message via inbox or call: +66 5322 1308+
50Royalinmemory ๑๕ เมษายน ๒๔๔๘ (๑๑๗ ปีก่อน) – วันประสูติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
ธิดาของพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) กับเล็ก บุนนาค (พระนามเดิม : เครือแก้ว อภัยวงศ์) ดำรงพระอิสริยยศเป็น “พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี” ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ มีพระราชธิดาพระองค์เดียว สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๒๘ พระชันษา ๘๐ ปี
Cigarette Cards ชุดเจ้านายไทย (๑ สำรับ ประกอบด้วย พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปเขียนคล้ายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์บนแผ่นกระดาษ จำนวน ๕๐ รูป) ลำดับที่ ๓๐ โดยบริษัท ยาสูบซำมุ้ย จำกัด (SUMMUYE & CO) ผลิตราวปี พ.ศ. ๒๔๗๗ (หมายเลขทะเบียน ๒/๒๕๑๖/๑) มีประวัติระบุว่า คุณหลวงฉมาชำนิเขต มอบให้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖
(เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร)
ชื่อเรื่อง ประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ ของเสฐียร โกเศศผู้แต่ง อนุมานราชธน (ยง เสถียรโกเศศ)ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ศาสนาเลขหมู่ 392 อ197ปส สถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรมปีที่พิมพ์ 2502ลักษณะวัสดุ 90 หน้าหัวเรื่อง พิธีกรรม ไทย – ความเป็นอยู่และประเพณีภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก หนังสือเรื่องนี้ เป็นเรื่องหนึ่งในบรรดางานเขียนของเสฐียร โกเศศ ประเพณีไทย เรื่อง ทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ ประเพณีเกี่ยวกับครอบครัว เรื่องทำขวัญเดือน เรื่องบวช เรื่องแต่งงาน และเรื่องตาย
ภาพสัญลักษณ์มงคลมีความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมจีนมาช้านาน เราสามารถพบเห็นภาพสัญลักษณ์มงคลเหล่านี้ได้ บนเสื้อผ้า อาวุธ ข้าวของเครื่องใช้ งานศิลปกรรม หรือแม้แต่เครื่องถ้วย สัญลักษณ์มงคลจีนมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สัตว์ สิ่งของ ต้นไม้ ดอกไม้ หรือตัวอักษรจีนที่มีความหมายเป็นมงคล เป็นต้น โดยสัตว์ชนิดหนึ่งที่มักพบในสัญลักษณ์มงคลจีน คือ ค้างคาว ค้างคาว หรือในภาษาจีนกลางเรียกว่า เปียนฝู (蝙蝠) เป็นหนึ่งในสัตว์มงคลที่มักจะพบอยู่บนข้าวของเครื่องใช้ เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีมีสุข เนื่องจากอักษร ฝู ในคำเรียกค้างคาวนั้นไปพ้องเสียงกับอักษร ฝู (福) ที่แปลว่า โชคดี รวมถึงพ้องเสียงกับชื่อเทพเจ้า ฝู หนึ่งในสามเทพเจ้าแห่งดวงดาวในลัทธิเต๋า ฝู ลู่ โซ่ว (福禄寿, ภาษาแต้จิ๋ว : ฮก ลก ซิ่ว) นอกจากนี้ ค้างคาวยังปรากฏอยู่ในตำนานอื่น ๆ ของจีนอีกด้วย เช่น ชาวจีนเชื่อว่าค้างคาวมีอายุยืนยาวมากเพราะดื่มกินแต่น้ำบริสุทธิ์จากในถ้ำเท่านั้น หรือเชื่อว่าหากได้กินค้างคาวสีขาวก็จะมีอายุยืนยาว การสร้างภาพมงคลรูปค้างคาวมีหลายแบบ แต่ละแบบให้ความหมายที่แตกต่างกันไป อาทิ ค้างคาวตัวเดียว หมายถึง ความโชคดี ค้างคาวสองตัว หมายถึง ความโชคดีทวีคูณ นอกจากนี้ ค้างคาวยังถูกใช้เป็นรูปแทนเทพเจ้าฝูในฝู ลู่ โซ่วด้วย ทว่ารูปแบบหนึ่งที่พบบ่อย คือ การทำรูปค้างคาวห้าตัวซึ่งเป็นตัวแทนของอู่ฝู (五福) หรือความสุขห้าประการ คำสอนสำคัญที่ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์ซ่างซู (尚书) ของลัทธิขงจื๊อ กล่าวถึงความสุขอันแท้จริงของมนุษย์ที่พึงได้รับ ประกอบด้วยฉางโซ่ว (长寿) หมายถึง มีอายุอันยืนยาว ฟู่กุ้ย (富贵) หมายถึง มั่งคั่งร่ำรวย คังหนิง (康宁) หมายถึง สุขภาพดีปราศจากโรคภัย เห่าเต๋อ (好得) หมายถึง คุณธรรมอันประเสริฐ ซ่านจง (善终) หมายถึง การตายอย่างสงบสุข รูปค้างคาวแต่ละตัวจึงหมายถึงความสุขแต่ละประการข้างต้นนั่นเอง และในบางครั้งจะพบว่ามีการนำอู่ฝูมาประกอบร่วมกับสัญลักษณ์มงคลอื่น ๆ เช่น ลูกท้อ ผักกาด หรือประกอบตัวอักษรจีนประดิษฐ์ เช่น ซวงสี่ (囍, มงคลคู่, ภาษาแต้จิ๋ว : ซังฮี้) เพื่อให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองมีความเป็นสิริมงคลและได้รับโชคดี และยัง สะท้อนภาพคติความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวจีนที่สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน-----------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก----------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง ปิยะแสง จันทรวงศ์ไพศาล. ๑๐๘ สัญลักษณ์จีน. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น. ๒๕๕๖.
พระพุทธรูปลีลา วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นแบบนูนสูง แสดงอิริยาบถเดิน โดยพระบาทซ้ายก้าวไปข้างหน้า พระบาทขวายกส้นพระบาทขึ้นเล็กน้อย ยกพระหัตถ์แสดงปางประทานอภัย นับเป็นการสร้างสรรค์งานประติมากรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของศิลปะสุโขทัย เป็นการสร้างสรรค์พุทธศิลป์ตามคตินิยมเรื่อง “มหาบุรุษลักษณะ” ที่มีความงามตามอุดมคติอย่างแท้จริง คือ มีพระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระนาสิกโด่งงุ้ม พระเนตรเรียวยาวปลายตวัดขึ้น พระโอษฐ์แย้มเล็กน้อยหยักเป็นคลื่น พระวรกายได้สัดส่วนมีความงานตามอุดมคติของสกุลช่างสุโขทัย คือ พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก พระหัตถ์เรียวทอดลงเบื้องล่างอย่างได้สัดส่วน ต้นขาเรียวไม่แสดงกล้ามเนื้อ ไม่แสดงข้อต่อใด ๆ จัดเป็นศิลปะสุโขทัยแบบหมวดใหญ่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ----------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย https://www.facebook.com/profile/100068946018506/search?q=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B2
พระบรมสารีริกธาตุ คือ พระบรมอัฐิขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายหลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ นับเป็นปูชนียวัตถุแทนพระพุทธองค์ที่พุทธศาสนิกชนนับถือบูชาแต่แรกปรินิพพานสืบมาจนถึงปัจจุบัน ในมหาปรินิพพานสูตรกล่าวถึงพระบรมสารีริกธาตุว่า หลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว โทณพราหมณ์ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วน เพื่อให้กษัตริย์และพราหมณ์อัญเชิญกลับไปยังดินแดนของตน ๘ เมือง ได้แก่ เมืองราชคฤห์ เมืองเวสาลี เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองอัลปัปปะ เมืองรามคาม เมืองเวฏฐทีปกะ เมืองปาวา และเมืองกุสินารา กษัตริย์เมืองต่าง ๆ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานในสถูป นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการบูชาพระบรมสารีริกธาตุในเวลาต่อมา
ในดินแดนไทยเมื่อมีการรับพุทธศาสนาจากชมพูทวีป วัฒนธรรมแรกที่รับพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้นภายใต้ชื่อว่า “ทวารวดี” ที่มีช่วงอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ -๑๖ จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่ามีการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ใต้ฐานของเจดีย์หมายเลข ๑ เมืองโบราณคูบัว ซึ่งถือเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในวัฒนธรรมทวารวดี โดยการขุดค้นทางโบราณคดีพบการก่ออิฐเรียงเป็นหลุมบริเวณกลางเจดีย์ในระดับพื้นดิน ลักษณะตารางเว้นช่องว่างที่มุมทั้ง ๔ และช่องตรงกลาง คือ ตำแหน่งของการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในผอบครอบ ๓ ชั้น ซึ่งลักษณะการก่ออิฐเป็นช่องตารางนี้คล้ายคลึงกับแผ่นหินที่สลักแผ่นหินหรือก่ออิฐเป็นช่อง ๕ ช่อง หรือ ๙ ช่อง และบรรจุสิ่งของมงคลต่าง ๆ ลงไป แบบเดียวกับประเพณีวางศิลาฤกษ์ของอินเดีย ลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผอบทั้ง ๓ ชั้นนั้น ชั้นแรกเป็นผอบสำริดฝาลายดอกบัว ชั้นที่ ๒ ผอบเงินฝาตกแต่งลายกลีบบัว ชั้นล่างสุดเป็นผอบทองคำเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๕ เซนติเมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๕ องค์ ลูกปัดแก้วสีน้ำเงินสมัยทวารวดี ชิ้นส่วนทองคำที่ยังไม่ได้แปรสภาพ และวัตถุสีแดงคล้ายก้อนดินบรรจุรวมอยู่ด้วย ช่องสำหรับบรรจุผอบถูกปิดด้วยแผ่นหิน สลักภาพพระพุทธรูปนูนต่ำขนาบข้างด้วยสถูปทรงหม้อปูรณฆฏะ (หม้อน้ำ) และธรรมจักรที่ตั้งอยู่บนเสา ซึ่งเป็นการปิดห้องกรุให้มิดชิดตามคัมภีร์ในพุทธศาสนา
การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในสถูปเจดีย์นั้นเป็นแนวคิดมาจากสถานที่ฝังศพ โดยพระบรมสารีริกธาตุเปรียบเสมือนกระดูกของคนตาย ห้องกรุใต้สถูปเปรียบได้กับหลุมฝังศพ องค์เจดีย์ที่ก่อทับพระบรมสารีริกธาตุก็พัฒนามาจากเนินดินฝังศพ
พระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบจากเจดีย์หมายเลข ๑ ซึ่งได้รับการขุดค้น ขุดแต่งอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการโดยนักโบราณคดีนี้ ถือได้ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับการประดิษฐานในดินแดนประเทศไทยเป็นองค์แรก ๆ
-----------------------------------------------------
ที่มาของข้อมูล: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
https://www.facebook.com/ilove.ratchaburi.national.museum/posts/pfbid02UMip7zp3p1iF3LR6Jtj6KGYojz1FXqFbwhhVMMuWwZisNCUtjxaxrK6ff1zECERrl
-----------------------------------------------------
*เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท มีพระนามเดิมว่า บุญมา ประสูติเมื่อ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีกุน จ.ศ. ๑๑๐๕ (ตรงกับวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๒๘๖) พระราชบิดารับราชการในราชสำนักกรุงศรีอยุธยามีบรรดาศักดิ์เป็นพระพินิจอักษร (ทองดี) ส่วนพระชนนีมีพระนามว่า ดาวเรือง (บางเอกสารกล่าวว่าชื่อ หยก) ทรงเป็นพระอนุชาของ นายทองด้วง (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี) เมื่อเจริญพระชนมพรรษาได้รับราชการอยู่กรมมหาดเล็กในราชสำนักอยุธยา
ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระองค์หลบหนีทหารพม่าไปเข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินตีเมืองจันทบุรีและขับไล่พม่าที่เมืองธนบุรี พระองค์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระมหามนตรีเจ้ากรมตำรวจ ตลอดสมัยกรุงธนบุรีพระองค์เป็นทหารเอกคนสำคัญของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้รับการเลื่อนยศหลายครั้งในตำแหน่ง พระยาอนุชิตราชา พระยายมราช และพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราชผู้สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก ตามลำดับ ด้วยพระอัธยาศัยที่กล้าหาญ เข้มแข็งและเด็ดขาด จึงมีพระสมัญญานามว่า “พระยาเสือ”
พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) พระเชษฐาของพระองค์ พระราชทานอุปราชาภิเษกเจ้าพระยาสุรสีห์ สมเด็จพระอนุชาธิราช เป็นพระมหาอุปราช ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ประทับ ณ พระราชวังบวรสถานมงคล ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระบรมมหาราชวัง โดยเป็นพระราชวังที่ถ่ายแบบมาจากพระราชวังจันทรเกษม กรุงศรีอยุธยา และมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างไปจากวังหลวง อาทิ หลังคาชั้นเดียวเป็นหลังคาทรงจั่ว มุงด้วยกระเบื้องดินเผา คันทวยรองรับหลังคาเป็นรูปนาคประดับพันธุ์พฤกษา หมู่พระวิมานไม่ทำซุ้มประตูหน้าต่าง (ยกเว้นพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์) รูปแบบเช่นนี้ต่างจากงานสถาปัตยกรรมในพระบรมมหาราชวังที่นิยมทำอาคารที่แสดงฐานันดรชั้นสูง อาทิ การทำซ้อนชั้นหลังคา ทรงยอดปราสาท ประตูหน้าต่างประดับด้วยซุ้มปูนปั้นอย่างไทยประเพณี เช่น ซุ้มบันแถลง ซุ้มยอดมงกุฎ เป็นต้น
ตลอดสมัยรัชกาลที่ ๑ พระองค์ยังคงมีบทบาทในการทำสงครามอยู่หลายครั้ง ได้แก่ สงครามเก้าทัพที่ตำบลลาดหญ้า (พ.ศ. ๒๓๒๘) สงครามขับไล่พม่าที่ท่าดินแดง (พ.ศ. ๒๓๒๙) สงครามตีเมืองทวาย (พ.ศ. ๒๓๓๐) สงครามขับไล่พม่าที่เมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๓๓๘) ภายหลังเสร็จศึกกับพม่า เจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย พระพุทธสิหิงค์ พระองค์ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
ในคราวสงครามป้องกันพม่าที่เมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๓๔๕) สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงยกทัพออกไปรบร่วมกับสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ แต่ระหว่างทางที่พระองค์เสด็จ พระองค์เกิดประชวรด้วยพระโรคนิ่วที่เมืองเถิน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทรงมีรับสั่งให้กรมพระราชวังหลังเสด็จขึ้นไปช่วยในการศึกจนกระทั่งสามารถชนะทัพฝ่ายพม่าได้ในที่สุด
ขณะเดียวกันสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงใส่พระทัยในพระราชกรณียกิจด้านศาสนา โดยเฉพาะการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดหลายแห่งในพื้นที่ฝั่งพระนคร ได้แก่ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ (พระองค์พระราชทานนามว่า วัดนิพพานาราม) วิหารคดวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) หอมณเฑียรธรรมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดชนะสงคราม (วัดตองปุ) วัดสังเวชวิศยาราม (วัดบางลำพู) วัดเทวราชกุญชร (วัดสมอแครง) วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) และวัดปทุมคงคา (วัดสำเพ็ง) วัดในพื้นที่ฝั่งธนบุรี ได้แก่ วัดครุฑ วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก) ส่วนวัดในหัวเมือง เช่น วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และวัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
นอกจากนี้พระองค์ยังมีงานวรรณกรรมที่ทรงพระนิพนธ์ไว้หลายเรื่อง ได้แก่ เพลงยาวถวายพยากรณ์ (พ.ศ. ๒๓๓๒) พระนิพนธ์ในคราวที่เกิดอัสนีบาตตกมาหน้าบันมุขเด็จพระที่นั่งอินทราภิเษก (ต่อมาถูกรื้อลงแล้วสร้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นแทน) เพลงยาวรบพม่าที่นครศรีธรรมราช (พ.ศ. ๒๓๒๙) พระนิพนธ์เมื่อครั้งยกทัพไปรบพม่าที่ตั้งทัพอยู่ทางหัวเมืองภาคใต้ เพลงยาวเรื่องตีเมืองพม่า (พ.ศ. ๒๓๓๐) พระนิพนธ์ในคราวยกทัพไปตีเมืองทวาย
ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ได้กล่าวว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ประชวรเป็นโรคนิ่วนับตั้งแต่ที่พระองค์ยกทัพขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ แต่ใน พระนิพนธ์เรื่อง “นิพานวังน่า” ของ พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ซึ่งเป็นพระธิดาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้บันทึกไว้ว่าสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท มีพระประชวรด้วยโรควัณโรคอย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๔๕ พระอาการก็ทรุดลงตามลำดับ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมและทอดพระเนตรการรักษาเป็นเวลา ๖ วัน ถึงวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ จ.ศ.๑๑๖๕ (ตรงกับวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๔๖) สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งบูรพาภิมุข พระราชวังบวรสถานมงคล พระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ทรงดำรงพระอิสริยยศกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นเวลา ๒๑ ปี
-------------------------------------------------
อ้างอิง
กรมศิลปากร. กรมพระราชวังบวรสถานมงคลสมัยรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๕.
. สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๗.
กัมพุชฉัตร, พระองค์เจ้าหญิง. นิพานวังน่า. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๓.
ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. (กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๓๙.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 26/7ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 28 หน้า : ก้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
เวียนบรรจบครบรอบวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกครั้ง ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน เพจคลังกลางฯ ขอร่วมน้อมรำลึกถึงพระองค์ที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนากรมศิลปากรขึ้นเมื่อ ๑๑๑ ปีก่อน นำเสนอเนื้อหาว่าด้วยเรื่อง “พระพิฆเนศ” องค์อุปถัมภ์ศิลปะการช่างทั้งปวง อันเป็นดวงตราประจำกรมศิลปากร ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปสำรวจร่องรอยการนับถือเทพครูช้างในสังคมไทย อาจสืบย้อนไปได้ร่วมสมัยทวารวดี ดังมีหลักฐานจากโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนของวัดและเอกชนหลายครั้งที่ผ่านมา พบว่ามีอย่างน้อย ๖ รายการ ตั้งแต่ศิลปะศรีวิชัย “พระอุเชนทร์” แห่งวัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช, ศิลปะลพบุรี, ศิลปะเขมรแบบบาปวน ตลอดจนศิลปะรัตนโกสินทร์
ความเชื่อเรื่องช้างปรากฏอยู่ในสังคมไทยรูปแบบต่าง ๆ ดังในสมัยรัตนโกสินทร์ “พระอินทร์” ถูกยกให้เป็นเทพองค์สำคัญชัดเจนขึ้นกว่าสมัยอยุธยา ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทั้งนี้ การยกย่องให้พระอินทร์เป็นเทพหลักของเมืองใหม่ช่วยสนับสนุนพระมหากษัตริย์ว่าทรงเป็นผู้ศรัทธาและทำนุบำรุงศาสนา ด้วยพระอินทร์ทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของเทพทั้งปวง ในขณะที่โลกมนุษย์พระมหากษัตริย์ผู้เป็นอวตารของพระอินทร์ก็ทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของมนุษย์เช่นกัน
เช่นนั้นแล้ว การที่พระอินทร์มีช้างเอราวัณเป็นพาหนะสำคัญฉันใด ตามธรรมเนียมราชสำนักไทยเมื่อพระมหากษัตริย์ขึ้นครองราชย์ก็จะช้างเผือกประจำรัชกาลฉันนั้น เพื่อแสดงถึงพระบารมีของพระมหากษัตริย์ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีช้างคู่พระบารมี ๑ช้าง มีนามว่า “พระเศวตวชิรพาหฯ” เป็นช้างที่มีลักษณะต้องตามตำรา เรียกว่า “เทพามหาพิฆเนศร์ อัคนีพงษ์” คือ ตาขาว ขนโขมด ขนตัวเหลือง ขนหูขาว ขนหางเหลืองเจือแดง อัณฑโกษขาว เล็บขาว เพดานขาว สีตัวแดง สูง ๓ศอก ๑คืบ ๕นิ้ว สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับช้างในราชสำนักสยามถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะราชสำนักสยามมีความศรัทธาในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธเป็นอย่างมาก และยังเชื่อเรื่องการอวตารของเทพมาเป็นพระมหากษัตริย์
ภาพสะท้อนแนวคิดนี้เราอาจศึกษาได้จากตราสัญลักษณ์ในงานสมโภชช้างเผือก พระเศวตวชิระพาหฯ ที่ปรากฎอยู่ในของที่ระลึกงานสมโภช เช่น ย่ามพระหรือผ้ากราบ ลักษณะเป็นรูปตราไอยราพต (ช้างสามเศียร) ทูลตราพระลัญจกรวชิราวุธประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จากภาพที่เห็นทำให้คนที่เคยเห็นภาพจิตรกรรมของพระอินทร์ที่ทรงช้างเอราวัณ รับรู้ได้ว่าภาพช้างสามเศียรที่อยู่ในตราสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพระเศวตวชิรพาหฯ ก็คือช้างเอราวัณช้างทรงของพระอินทร์ ในขณะที่ช้างได้ทูลตราพระราชลัญจกรก็คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระนามว่า “วชิราวุธ” อันเป็นพระสัญลักษณ์ประจำพระองค์ และยังเป็นอาวุธสำคัญของพระอินทร์ ภาพตราสัญลักษณ์ในงานสมโภชช้างเผือกครั้งนี้จึงช่วยย้ำแนวคิดว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์อวตารของพระอินทร์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ และวริยา โปษณเจริญ ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพโดย พลอยไพลิน ปุราทะกา ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ / ภาพโดย กิตติยา เชื้อทอง นายช่างภาพปฏิบัติงาน กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 34/7ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 53.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 129/7 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 165/6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
นกยูง…จากความงามสู่ความเชื่อนกยูง (peafowl) เป็นสัตว์ปีกจำพวกไก่ฟ้าขนาดใหญ่ จัดอยู่ในสกุล Pavo มีลักษณะพิเศษ คือ ตัวผู้จะมีหางยาวสีสันงดงามสามารถแผ่ขยายออกเป็นวง หรือที่เรามักเรียกว่า การรำแพนหาง เพื่อใช้เกี้ยวพาราสีตัวเมีย พบได้ทั้งในประเทศอินเดีย ทางตอนใต้ของประเทศจีน และดินแดนแถบเอเชียอาคเนย์ นกยูงจึงเป็นสัตว์ที่ผู้คนในแถบเอเชียคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยความสวยงามและลักษณะการรำแพนหางของนกยูงตัวผู้ ทำให้นกยูงถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมของหลาย ๆ วัฒนธรรมมาอย่างช้านานการสร้างงานศิลปกรรมที่มีนกยูงเป็นองค์ประกอบในประเทศไทยเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖) โดยได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอินเดีย ดังมีการค้นพบลายปูนปั้นรูปนกยูงที่เจดีย์ ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนที่นกยูงจะปรากฏสืบเนื่องมาถึงสมัยหลัง เช่น ในสมัยสุโขทัย มีการเขียนลายรูปนกยูงลงบนเครื่องสังคโลก ซึ่งนอกจากจะเป็นการตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว ยังสื่อถึงความหมายในเชิงบวกด้วย เนื่องจากนกยูงได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์มงคลในความเชื่อต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ ใน มหาโมรชาดก ของพระพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องราวเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นนกยูง หรือในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู นกยูงเป็นบริวารของเทพเจ้าหลายองค์ และเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ความสูงส่ง และความรัก คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมจีนที่นับถือนกยูงว่าเป็นบริวารของเจ้าแม่กวนอิม ทั้งยังหมายความถึงพระอาทิตย์ ความรัก และความเมตตา จึงมีการปักรูปนกยูงลงบนเสื้อผ้าของชนชั้นสูงเพื่อความเป็นสิริมงคล รวมถึงนำหางนกยูงมาประดับหมวกเพื่อแบ่งลำดับขั้นของขุนนาง ในขณะที่ชาวเปอร์เซียเปรียบนกยูงเป็นตัวแทนของกษัตริย์และพลังอำนาจ ส่วนชาวกรีก - โรมันเชื่อว่านกยูงเป็นผู้ลากราชรถของเทพีเฮร่า และชาวคริสต์ที่เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ