ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 31,556 รายการ


          สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live โครงการเผยแพร่ความรู้ทางออนไลน์ให้กับอาสาสมัครท้องถิ่นในการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรม (อส.มศ.) และบุคคลทั่วไป ในวันอังคารที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๒.๑๕ น. ชมผ่านช่องทาง Facebook Fanpageและ YouTube สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย โดยจะมีวิทยากรกิตติมศักดิ์ผู้มีความรู้และประสบการณ์ ที่จะมาให้ความรู้ในรูปแบบออนไลน์ ดังนี้ เวลา ๐๙.๑๕ – ๑๐.๑๕ น. บรรยาย เรื่อง “นิติธรรม นิติรัฐ ในการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรม” โดย นายอนันต์ ชูโชติ อดีตอธิบดีกรมศิลปากรเวลา ๑๐.๑๕ – ๑๑.๑๕ น. บรรยาย เรื่อง “เที่ยวทิพย์สำราญ ไปกับอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร” โดย นายบัณฑิต ทองอร่าม หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรเวลา ๑๑.๑๕ – ๑๒.๑๕ น. เสวนาบรรยาย เรื่อง “วัดเจดีย์ยอดทอง : พุ่มข้าวบิณฑ์แห่งพิษณุโลก สู่งานวิจัย สงวนรักษา บูรณะโบราณสถานและการบูรณาการร่วมกับภาคประชาชน”โดย นางรัตติยา ไชยวงศ์ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย และ นายบุญเชิด สถาพร นายช่างเทคนิคอาวุโส ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย          ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : https://www.facebook.com/fad6sukhothai และช่องทาง Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCD2W0so8kn4bL-WOu8Doqnw ทั้งนี้ ผู้ชมจะได้ร่วมลุ้นรับของที่ระลึกสุดพิเศษตลอดรายการ



          วันอังคารที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๓๐ น. นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยนายอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร รับมอบหนังสือเอกสารทางวิชาการอันทรงคุณค่า และหนังสือหายาก จากศาสตราจารย์ ดร.สันติ เล็กสุขุม และในโอกาสนี้ ท่านอธิบดีและท่านรองอธิบดีได้ร่วมมอบหนังสือเพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์และคลังความรู้ทางวิชาการ ณ ห้องสมุดสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ชั้น ๖ อาคารกรมศิลปากร เทเวศร์​



          เมื่อครั้งที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นั้น ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๒ และเหตุการณ์ในวันนั้น กรมศิลปากรได้ทูลเกล้าฯ ถวายต้นไม้เพื่อทรงปลูกเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครั้งสำคัญนี้ คือ “ต้นกันเกรา” โดยทรงปลูกไว้ ณ บริเวณสวนด้านหน้าฝั่งขวาทางเข้าอาคารพิพิธภัณฑ์ ปัจจุบันมีอายุ ๑๒ ปี ยืนต้นแผ่กิ่งก้านชูช่อออกดอกอย่างงดงาม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์          “กันเกรา” (Tembusu) มีชื่อเรียกต่างกันไป ภาคกลางเรียก "กันเกรา" ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียก "มันปลา" ส่วนภาคใต้เรียก "ตำแสงหรือตำเสา" ถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ต้นกันเกรามีลักษณะต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง ๑๕-๒๕ เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม ใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม แผ่นใบรูปมน ปลายใบแหลมหรือยาวเรียว ใบเขียวมันวาว ดอก เมื่อเริ่มบานมีสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลิ่นหอม ภาษาท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ เรียก “ปกาสตราว” (ดอกกันเกรา) ซึ่งในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ มีต้นกันเกราขึ้นกระจายอยู่โดยทั่วไป ดอกกันเกราจะบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ประชาชนชาวสุรินทร์ นิยมนำดอกกันเกรามาร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอเทศกาลสงกรานต์          ดอกกันเกราเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดนครพนม นอกจากนี้ต้นกันเกรายังเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยนครพนม และมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด อีกด้วย--------------------------------------------------เรียบเรียงโดย : นางสาวอาภาภรณ์ เปล่งปลั่งศรี นักวิชาการวัฒนธรรม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์--------------------------------------------------อ้างอิง : https://toeywanida847.wordpress.com/ต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์ สืบค้น วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ http://www.m-culture.in.th/album/96187/ดอกไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์ สืบค้น วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔


ชื่อเรื่อง                                สัททาสังคหะ (สัททาสังคหสูตร) สพ.บ.                                  372/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           32 หน้า กว้าง 6 ซม. ยาว 59.5 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน                                           ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี เส้นจาร ฉบับลานดิบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


องค์ความรู้เรื่อง : โยนกนาคพันธ์และสิงหนติโดย : นายสายกลาง  จินดาสุ  นักโบราณคดีชำนาญการ  กลุ่มโบราณคดี  สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่.     โยนกนาคพันธ์ คือ เมืองในตำนานที่ปรากฏร่องรอยการอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาของผู้คนและปรากฏร่องรอยการประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในแอ่งที่ราบเชียงราย - เชียงแสน เมืองแห่งนี้มีอายุตามตำนานในช่วง 148 ปีก่อนพุทธศักราช ถึง พ.ศ.1088.     ตำนานกล่าวถึงเจ้าชายสิงหนวติ พาผู้คนอพยพจากเมืองไทเทศ มุ่งลงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามแม่น้ำสรภู มาตั้งบ้านเมืองอยู่ในแอ่งที่ราบแห่งหนึ่ง ไกลจากแม่น้ำขรนทีราว 7,000 วา (ไม่ไกลจากเมืองเก่าที่ล่มสลายไปก่อนหน้า คือ เมืองสุวรรณโคมคำ) นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นในทิศทางที่สอดคล้องกันว่า โยนกนาคพันธ์ คือบริเวณที่ปัจจุบันเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่คาบเกี่ยวระหว่างตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน และตำบลจันจว้า ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ที่รู้จักในชื่อ “เวียงหนองหล่ม”.     อาจารย์คงเดช ประพัฒน์ทอง  เชื่อว่าเมืองโยนนาคพันธ์ คือบริเวณที่ปัจจุบันเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่คาบเกี่ยวระหว่างตำบลโยนก – จันจว้า ห่างจากตัวเมืองเชียงแสนลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะห่างที่สอดคล้องกับระยะที่กล่าวไว้ในตำนานว่าเมืองโยนคนาคพันธ์ห่างจากแม่น้ำโขง 7,000 วา ศาสตราจารย์เจียง อิ้ง เหลียง มีความเห็นว่ากลุ่มคนไทได้ตั้งเมืองโยนกนาคพันธ์ขึ้นบนที่ราบเชียงแสนตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 15  โดยอพยพเคลื่อนย้ายมาจากจีนตอนใต้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รณิดา ปิงเมือง (ศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย) สำรวจและศึกษาความเป็นมาท้องถิ่น โบราณวัตถุสถานในพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่มในปี 2552 พบโบราณสถานกว่า 34 แหล่งประกอบด้วยโบราณสถานประเภทวัด ที่กระจายตัวอยู่บริเวณขอบและกลางพื้นที่เวียงหนองหล่ม (รอบหนองน้ำกลางพื้นที่ คือ หนองยาว และหนองมน) รวมถึงโบราณสถานประเภทคู - คันดิน ที่ตั้งอยู่บนยอดดอยด้านทิศตะวันตกของพื้นที่.     ทั้งนี้ในปีพ.ศ. 2552 สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ดำเนินการสำรวจพื้นที่บริเวณเวียงหนองหล่ม พบว่า ในพื้นที่บริเวณเวียงหนองหล่มพบแหล่งโบราณคดีเพิ่มขึ้น 24 แหล่ง พื้นที่ที่พบแหล่งโบราณคดีหนาแน่นที่สุดคือพื้นที่ตำบลท่าข้าวเปลือก โดยกระจายตัวอยู่รอบหนองหลวง, หนองกากอก, หนองขวาง, หนองมน และลำน้ำลัว ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ นอกจากนั้นยังมีโบราณสถานบางส่วนที่กระจายตัวอยู่บริเวณขอบพื้นที่ โดยเฉพาะขอบพื้นที่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่เริ่มลาดสูงขึ้นเป็นพื้นที่เนินเขา ซึ่งต่อเนื่องไปจากแนวพื้นที่นี้ปรากฏพบโบราณสถานประเภทคู - คันดินตามพื้นที่ยอดดอย จากการสำรวจพบว่าโบราณสถานสถานที่อยู่กลางพื้นที่เวียงหนองล่มและตามขอบพื้นที่ส่วนมากเป็นศาสนสถานประเภทเจดีย์และวิหารที่วางตัวตามแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก โดยมีเนินวิหารที่มีผังค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดเฉลี่ย กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก และมีเนินเจดีย์ผังเนินค่อนข้างเป็นวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร อยู่ทางทิศตะวันตกของพื้นที่เนินโบราณสถาน ซึ่งเป็นลักษณะตามแบบแผนการวางตัวของโบราณสถานในล้านนา จากการขุดตรวจในพื้นที่พบว่าโบราณสถานอยู่ลึกกว่าผิวดินปัจจุบัน 0.3 - 0.5 เมตร.     สิ่งแรกที่เป็นข้อสังเกตที่น่าหยิบยกมาพิจารณาเกี่ยวกับโยนกนาคพันธ์ คือ ช่วงระยะเวลาการเกิดเมืองตามตำนาน หากพิจารณาตามช่วงเวลาที่ตำนานสิงหนวัติกล่าวถึง การเข้ามาตั้งบ้านเมืองของเจ้าชายสิงหนวติ ในแอ่งที่ราบเชียงแสน เกิดขึ้น 148 ปี ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน (148 ปี ก่อนพุทธศักราช) หากเชื่อว่าช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้อาจมีเค้าความจริง การอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาของสิงหนวัติอาจเป็นร่องรอยการอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนที่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในพื้นที่ภาคเหนือก็เป็นได้ คือเกิดขึ้นราว 2,700 ปีมาแล้ว ซึ่งตรงกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ช่วงรอยต่อยุคสำริดกับยุคเหล็ก เวลาดังกล่าวเป็นช่วงสำคัญที่พัฒนาการทางสังคมเริ่มยกระดับจากชุมชน หมู่บ้าน สู่ความเป็นเมือง (สังคมเริ่มก้าวสู่ความเป็นเมืองเมื่อผู้คนเริ่มรู้จักการผลิตและใช้เหล็ก) ตำนานสิงหนวัติจึงอาจสะท้อนถึงการเคลื่อนย้ายผู้คนจากจีนตอนใต้มาสู่แอ่งที่ราบเชียงแสน ซึ่งเป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่และเพียงพอแก่การรองรับการขยายตัวของประชากรและสังคมในช่วงปลายยุคสำริดที่ต่อเนื่องยังยุคเหล็ก  หลักฐานทางโบราณคดีชิ้นหนึ่งที่อาจเชื่อมโยงความสัมพันธ์ดังกล่าว คือ การพบกลองมโหระทึกสำริด ที่เป็นโบราณวัตถุที่พบตั้งแต่จีนตอนใต้กระจายมาตามลำน้ำโขงจนถึงประเทศเวียดนาม กลองมโหระทึกที่เวียงหนองหล่มนี้มีที่มาว่าถูกพบจากการขุดลอกหนองเขียว ซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวียงหนองล่ม ใกล้กับโรงเรียนจันจว้าวิทยาคม แต่ทั้งนี้ประเด็นเรื่องช่วงเวลายังเป็นประเด็นที่ต้องมีการศึกษาถึงหลักฐานทางโบราณคดีประกอบอีกมาก มิสามารถนำช่วงเวลาตาม.     ในพื้นที่ประเทศไทย เรามักจะพบหลักฐานการก่อเกิดรัฐหรือบ้านเมือง ในช่วง 1,300 – 1,500 ปีก่อน (ราว พ.ศ.1000 – 1300) ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างปลายยุคเหล็กกับยุคประวัติศาสตร์ เช่นเมืองของอาณาจักรทวารวดีในแอ่งที่ราบภาคกลาง หรือเมืองหริภุญชัย ในพื้นที่ภาคเหนือ  ซึ่งทุกแห่งมีเงื่อนไขการก่อเกิดบ้านเมืองที่คล้ายคลึงกัน คือมีศาสนาเป็นองค์ประกอบ ดังนั้นปัจจัยที่ควรถูกหยิบยกมาเป็นข้อสังเกตและพิจารณาช่วงเวลาแห่งการเกิดหรือพัฒนาขึ้นสู่ความเป็นเมืองของโยนกนาคพันธ์อีกข้อ คือ การประดิษฐานของพระพุทธศาสนาในพื้นที่.     หลักฐานที่ปรากฏในตำนาน เกิดขึ้นหลังจากรัชกาลของสิงหนวัติ โดยเกิดในสมัยพระเจ้าอชุตราช กษัตริย์ลำดับที่ 3 แห่งโยนกนาคพันธ์ ในราว พ.ศ.100 หรือประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ตำนานกล่าวถึงการที่พระเจ้าอชุตราชได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากพระกัสสปเถระ แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุนั้นประดิษฐานบนดอยลูกหนึ่งที่เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนพื้นเมืองเดิม (พระธาตุดอยตุง) ถ้าพิจารณาตามลำดับเวลาในตำนาน ช่วงเวลาแห่งการสถาปนาพระธาตุอันเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนของการสถาปนาพระพุทธศาสนาในแอ่งที่ราบเชียงแสน เกิดขึ้นในต้นพุทธศตวรรษที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่สัมพันธ์กับบริบทระลอกการแผ่ขยายพระพุทธศาสนาจากอินเดียสู่พื้นที่ต่างๆ ซึ่งการแผ่ขยายของพุทธศาสนาเกิดขึ้นในห้วงเวลาหลังจากนั้น ๒ ระลอกคือพุทธศตวรรษที่ 3 – 5 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นสมัยหลังคุปตะที่ศาสนาเข้ามาพร้อมการขยายตัวทางการค้าจากมหาสมุทรอินเดีย ดังนั้นระยะเวลาในการพัฒนาขึ้นมาเป็นสังคมระดับเมืองของโยนกนาคพันธ์และการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแอ่งที่ราบเชียงแสน จึงควรเป็นเวลาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 4 - 12 ซึ่งความเป็นไปได้อาจอยู่ในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 12 ไปไม่มาก จากช่วงเวลาที่เทียบเคียงกับการประดิษฐานพระพุทธศาสนาและเกิดบ้านเมืองในพื้นที่อื่นๆของประเทศไทย ทั้งนี้มีข้อสังเกตประการหนึ่งว่า การเข้ามาของพุทธศาสนาในแอ่งที่ราบเชียงแสนอาจมีมาก่อน.     การประดิษฐานพระพุทธศาสนาบนดอยตุงเล็กน้อย โดยนัยยะที่ปรากฏในตำนานที่ว่า พระมเหสีของพระเจ้า อชุตราช คือ ธิดาที่เกิดจากนางกวางที่ไปกินปัสสาวะของฤาษี เนื้อหาตอนนี้อาจตีความถึงการผสมกลมกลืนทางความเชื่อของกลุ่มคนพื้นเมืองเดิมที่มีสัตว์เป็นตัวแทน (นางกวาง)  กับความเชื่อใหม่ที่อาจจะเป็นศาสนาพุทธที่ได้เริ่มแผ่ขยายมาตามปฏิสัมพันธ์ที่แอ่งที่ราบเชียงแสนมีต่อดินแดนภายนอก โดยตำนานให้ภาพแทนเป็นฤาษี (ช่วงเวลาดังกล่าวคนในพื้นที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับนักบวชในศาสนา ฤาษีจึงอาจเป็นคำเรียกของนักบวชในยุคแรก / ในแอ่งที่ราบลำพูน-เชียงใหม่ พบหลักฐานการเข้ามาของพระพุทธศาสนาในตำนานพระธาตุดอยคำที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดยักษ์ในพื้นที่ ซึ่งอาจหมายถึงกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตในแบบก่อนประวัติศาสตร์ ล้าหลัง ที่ตำนานให้ภาพแทนเป็นยักษ์ และนำไปสู่การก่อเกิดเมืองบริเวณเชิงดอยสุเทพโดยฤาษี ต่อมาจึงเกิดเมืองหริภุญชัยโดยมีฤาษีอีกตนเป็นผู้สร้าง พร้อมกับการเข้ามาของพระพุทธศาสนาจากที่ราบภาคกลาง ซึ่งช่วงเวลาตามตำนานอยู่ในราว พ.ศ. 1100 – 1204).     ในความเห็นของผู้เขียนเอง (ตามข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏ) ผู้เขียนขอตั้งเป็นข้อสันนิษฐานว่า การอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนเข้ามาของสิงหนวัติอาจเกิดขึ้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์ในช่วงใดช่วงหนึ่งของยุคเหล็ก (2,500 – 1,500 ปีมาแล้ว) โดยเป็นการอพยพเคลื่อนย้านจากจีนตอนใต้ลงมาเพื่อแสวงหาพื้นที่ทำกินและแหล่งทรัพยากรใหม่ รองรับการขยายตัวของสังคม ซึ่งในเวลานั้นอาจยังมิได้เป็นสังคมระดับเมือง (แต่เป็นชุมชนขนาดใหญ่) จนมีพัฒนาการก้าวสู่ความเป็นเมืองหลังจากที่มีการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในพื้นที่ ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงเวลา 1,300 – 1,500 ปีมาแล้ว (พุทธศตวรรษที่ 11 – 13)  อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานที่เป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าลงไปถึงช่วงเวลาก่อน พ.ศ.1088 ที่เมืองถล่มล่มจมลงเป็นหนองน้ำ โดยโบราณสถานที่สำรวจพบกำหนดอายุได้ในช่วงล้านนา ในพุทธศตวรรษที่ 19 - 22 (จากการกำหนดอายุเชิงเทียบกับโบราณวัตถุที่พบร่วมในแหล่ง).     นอกจากนี้เมื่อเราพิจารณาสภาพภูมิศาสตร์พื้นที่ของแอ่งที่ราบเชียงราย – เชียงแสน เราอาจเข้าใจประเด็นดังกล่าวนี้ได้กระจ่างชัดขึ้น เหนือจากแอ่งที่ราบเชียงแสนขึ้นไปทางทิศเหนือซึ่งปัจจุบันเป็นเขตพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหภาพเมียนมาร์ เป็นพื้นที่ภูเขากินบริเวณกว้าง ขวางผืนแผ่นดินเป็นแนวยาวก่อนที่จะพบพื้นที่ราบทางทิศเหนืออีกครั้งบริเวณตอนกลางของแอ่งที่ราบมณฑลยูนนาน แอ่งที่ราบเชียงแสนจึงถือเป็นแอ่งที่ราบผืนใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแอ่งที่ราบจีนตอนใต้ ดังนั้นเวียงหนองหล่ม ที่ตั้งอยู่บนแอ่งที่ราบเชียงแสน จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการรองรับการผลิตภาคเกษตรที่หล่อเลี้ยงประชากรและการขยายตัวของสังคมที่ผู้คนและสิงหนวติต้องการ                         ------------------------------------- อ้างอิง -ศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โบราณวัตถุและโบราณสถานในพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองล่ม. พิมพ์ครั้งที่๑. เชียงใหม่ ดอคคิวเมนทารี ดีไซน์ จำกัด. เชียงใหม่, ๒๕๕๒.ศิลปากร,กรม. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑, ๒๕๕๐.ศิลปากร,กรม. พงศาวดารโยนก. พิมพ์ครั้งที่๗. สำนักพิมพ์คลังวิทยา. กรุงเทพฯ, ๒๕๕๐. ศิลปากร,กรม. โครงการจัดทำแผนแม่บท การพัฒนาเมืองโบราณเชียงแสนให้เป็นมรดกโลก, ๒๕๕๐.


สมฺโพชฺฌงฺค (สติ-อุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺค)  ชบ.บ.52/1-5  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                มาเลยฺยสุตฺต (มาลัยหมื่น) สพ.บ.                                  318/1ข ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                               พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                           38 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56.7 ซม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                              บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับชาดทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.268/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 60 หน้า ; 4.5 x 57.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 117  (232-239) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม





พระเปิม พระเปิม เป็นหนึ่งในพระพิมพ์ดินเผาที่มีชื่อเสียงของเมืองลำพูน คำว่าเปิม ในภาษาท้องถิ่นภาคเหนือแปลว่า แบน พระเปิม ส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างราว ๒.๕- ๓ เซนติเมตร สูง ๔ เซนติเมตร คล้ายกับพระคงซึ่งเป็นพระพิมพ์แสดงปางมารวิชัย พระเศียรโล้น ไม่มีพระเกตุมาลา ครองจีวรห่มคลุมเรียบบางแนบพระวรกาย  ประทับนั่งขัดสมาธิเพชรบนฐานมีกลีบบัว รองรับด้วยแนวเส้นตรง ๒ - ๓ เส้น เหนือขึ้นไปเป็นซุ้มปรกโพธิ์ ลักษณะรูปแบบของพระเปิม จะแตกต่างไปจากพระคงคือ พระพักตร์จะชัดเจนกว่า และไม่มีเส้นประภาวลี หรือรัศมีรอบพระวรกาย มีชายสบงแผ่ออกมาเป็นรูปครึ่งวงกลมออกมาระหว่างพระเพลา ลักษณะการประทับนั่งแบบขัดสมาธิเพชรที่ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธรูปในศิลปะพุกามที่มีรูปแบบจากพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชรในศิลปะอินเดียแบบปาละและคุปตะที่ปรากฏในพระพุทธรูป และพระพิมพ์ชนิดอื่นๆในวัฒนธรรมหริภุญไชย กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ พระเปิม ข้อมูลส่วนใหญ่ต่างกล่าวว่าพบที่กรุวัดดอนแก้ว ปัจจุบันเป็นวัดร้างอยู่บริเวณทิศตะวันออกของวัดต้นแก้ว ตรงข้ามแม่น้ำกวง หน้าวัดพระธาตุหริภุญไชย ปรากฏในตำนานว่าเป็นที่พระนางจามเทวีให้สร้างขึ้น เรียกว่า วัดอรัญญิกรัมการาม ซึ่งพบโบราณวัตถุประเภทอื่นๆ เช่น ศิลาจารึก อักษรมอญโบราณ และพระพุทธรูปหินทรายศิลปะหริภุญไชย อ้างอิง บัณฑิต  เนียมทรัพย์. “พระพิมพ์ที่พบในจังหวัดลำพูน” สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๙.สุรพล ดำริห์กุล. ประวัติศาสตร์และศิลปะหริภุญไชย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๔๗           อัศวี ศรจิตติ. “พระพิมพ์สกุลลำพูน”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปบัณฑิต (โบราณคดี) คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร,๒๕๕๑.


ชุดองค์ความรู้ "นานาสาระ...คาม" ตอนที่ 3 เรื่อง "โบราณสถานวัดสุวรรณาวาส : 3 มรดกวัฒนธรรมล้ำค่า คู่หล้ากันทรวิชัย"            โบราณสถานวัดสุวรรณาวาส ตำบลโคกพระ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งภายในวัดมีมรดกวัฒนธรรมของชาติที่สำคัญ ถึง 3 รายการ ได้แก่ 1) สิมหลังเก่า 2) พระพุทธรูปมิ่งเมือง ที่สร้างขึ้นในวัฒนธรรมทวารวดี  สลักจากหินทรายก้อนเดียว เเละเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง 1 ใน 2 องค์ ของชาวกันทรวิชัย3) จารึกหินทรายสีแดง จารอักษรไทยน้อย ภาษาไทย-ภาษาบาลี  ซึ่งปัจจุบันเลือนรางลงมากแล้ว โดยโบราณสถานแห่งนี้จะมีข้อมูลทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์อย่างไรบ้างนั้น โปรดติดตามได้เลยครับ ...   เรียบเรียงนำเสนอโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา