ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,754 รายการ


องค์ความรู้ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี เรื่อง หอไตรหนองขุหลุ ผู้เรียบเรียง : นางสาวนิตยา ลาภมาก นักศึกษาฝึกประสบการณ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม



 ท้าววสวัตตีมาร และเหล่าบริวาร จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องพุทธประวัติ ตอน"มารผจญ" ผนังด้านหลังองค์พระประธาน ภายในอุโบสถ วัดบางขนุน ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี



            กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญผู้สนใจร่วมโครงการนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี 2567 เรื่อง เอกสารล้ำค่าจารึกสยาม "กิจกรรม : อวดของสะสม วิทยากรโดย นายวีระ  โรจน์พจนรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม  นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ นักอักษรศาสตร์คุณวุฒิ กรมศิลปากร ดำเนินรายการโดย นายทัตพล  พูลสุวรรณ นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ในวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานตาม QR Code นี้ หรือลงทะเบียนผ่านลิงก์ https://forms.gle/UqQpFEy5sRvFzFtK9 รับจำนวนจำกัด 110 ท่าน สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่บัดนี้ หรือจนกว่าจะเต็ม  สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 2280 9828-32 ต่อ 112-113


ชื่อเรื่อง                                ธรรมดาสอนโลก (ธรรมดาสอนโลก)สพ.บ.                                  472/1ประเภทวัสดุมีเดีย                   คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                              พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                          30 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                พุทธศาสนา                                       บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดด่านช้าง ต.ด่านช้าง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี



            นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากรได้ดำเนินโครงการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เป็นโครงการต่อเนื่อง 5 ระยะ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2568 โดยซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารจัดแสดงและนิทรรศการถาวรให้มีความทันสมัย ด้วยเทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ที่น่าสนใจดึงดูดผู้เข้าชม และปรับปรุงข้อมูลการจัดแสดงให้เป็นปัจจุบัน มีมาตรฐานระดับสากล นำเสนอเรื่องราวของเมืองโบราณอู่ทองและวัฒนธรรมทวารวดีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ              นิทรรศการภายในนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองโบราณอู่ทองและพื้นที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กระทั่งเข้าสู่วัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในประเทศไทย จัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมที่มีคุณค่าทางวิชาการจำนวนมาก และเก็บรักษาโบราณวัตถุวัฒนธรรมทวารวดี  ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรมศิลปากร หนึ่งในไฮไลท์สำคัญ คือ การจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยม ธรรมจักร แท่น และเสา พบจากการขุดแต่งเจดีย์หมายเลข 11 เมืองโบราณอู่ทอง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 หรือประมาณ 1,300 – 1,400 ปีมาแล้ว ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงการประดิษฐานธรรมจักรที่สมบูรณ์ที่สุดที่พบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ทำให้สันนิษฐานได้ว่าในสมัยทวารวดี มีการสร้างธรรมจักรประดิษฐานบนเสา ตั้งอยู่ด้านหน้าศาสนสถาน ทั้งนี้ ห้องจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ประกอบด้วย             1. ทวารวดี ปฐมบทแห่งประวัติศาสตร์ไทย ห้องวีดีทัศน์บรรยายสรุปเรื่องเมืองโบราณอู่ทองและวัฒนธรรมทวารวดี กล่าวถึงการติดต่อกับดินแดนภายนอก ทำให้เกิดการรับอารยธรรมจากอินเดียเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การนับถือศาสนา การปกครองโดยระบบกษัตริย์ การสร้างงานศิลปกรรม และการใช้ตัวอักษรและภาษา              2. เมืองโบราณอู่ทอง : ศูนย์กลางแรกเริ่มของวัฒนธรรมทวารวดี จุดเชื่อมโยงเส้นทางการค้าในดินแดนสุวรรณภูมิ โบราณวัตถุสำคัญได้แก่ เหรียญโรมันจักรพรรดิวิคโตรินุส ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจากตะวันออกกลางประดับบนปูนปั้นสมัยทวารวดี เหรียญอาหรับ เครื่องถ้วยจีน และปูนปั้นรูปใบหน้าพ่อค้าชาวต่างชาติ และมีสื่อวีดีทัศน์ประกอบโมเดลภูมิประเทศ บอกเล่าเรื่องราวของเมืองโบราณอู่ทอง              3. โบราณคดีเมืองอู่ทอง: พ.ศ.2446 - ปัจจุบัน ศตวรรษสำคัญงานโบราณคดีในประเทศไทยจัดแสดงเรื่องงานโบราณคดีที่เมืองโบราณอู่ทอง ตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จตรวจราชการเมืองอู่ทองใน พ.ศ.2446 จนถึงการดำเนินงานทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากรในปัจจุบัน และจัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดแต่งโบราณสถานเมืองโบราณอู่ทองซึ่งมีทั้งเจดีย์และวิหารเนื่องในศาสนาพุทธ และศาสนสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู โบราณวัตถุชิ้นสำคัญ เช่น พระพุทธรูปปางแสดงธรรม สมัยทวารวดี จากเจดีย์หมายเลข 11                4. เจดีย์ วิหาร โบราณสถานทวารวดี: สถาปัตยกรรมแห่งศรัทธา ปฐมบทของพุทธศาสนาในดินแดนไทย จัดแสดงสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดี ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยแรกของประเทศไทย โบราณวัตถุสำคัญ เช่น อิฐฤกษ์ ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมวางฤกษ์เมื่อเริ่มสร้างศาสนสถาน และประติมากรรมปูนปั้นและดินเผาประดับศาสนสถาน               5. ลูกปัดและเครื่องประดับทองคำ: วัตถุล้ำค่า ความงามที่สะท้อนความรุ่งเรืองของเมืองโบราณอู่ทอง จัดแสดงลูกปัดและเครื่องประดับ ซึ่งพบบริเวณเมืองโบราณอู่ทองเป็นจำนวนมาก โบราณวัตถุสำคัญ เช่น ลูกปัดหินคาร์เนเลียนและอาเกต ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าจากอินเดีย เครื่องประดับทองคำ สมัยทวารวดี และแผ่นดินเผารูปบุคคลฟ้อนรำ แสดงถึงการสวมใส่เครื่องประดับของผู้คนในสมัยทวารวดี             6. ศาสนาและความเชื่อ: จากพุทธภูมิสู่สุวรรณภูมิ อรุณรุ่งแห่งยุคประวัติศาสตร์ไทย จัดแสดงเรื่องศาสนาและความเชื่อที่เมืองโบราณอู่ทอง สันนิษฐานว่ามีการนับถือศาสนาพุทธแบบเถรวาทเป็นหลัก โดยมีการนับถือศาสนาพุทธแบบมหายานร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานการนับถือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และพบโบราณวัตถุที่แสดงถึงความเชื่อท้องถิ่นที่พบเฉพาะในวัฒนธรรมทวารวดี ที่ยังไม่สามารถสรุปคติในการสร้างอย่างแน่ชัด โบราณวัตถุสำคัญ ได้แก่ แผ่นดินเผารูปพระภิกษุอุ้มบาตร จารึกคาถาเย ธฺมมา ซึ่งเป็นคาถาหัวใจสำคัญของศาสนาพุทธ พระพิมพ์ภาพพระสาวกมีจารึก เศียรพระพุทธรูปทองคำ เอกมุขลึงค์ ตุ๊กตารูปคนจูงลิง              พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เปิดให้บริการวันพุธ – อาทิตย์ วันหยุดราชการพิเศษและวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00 – 16.00 น. ค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท สอบถามเพิ่มเติมโทร 0 3555 1021






            หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก กาญจนบุรี ขอเชิญชวนน้อง ๆ ร่วมกิจกรรม "ดีไซเนอร์ตัวน้อย" ออกแบบเสื้อผ้าให้กับลอล่าและเดวิดในแบบที่ตัวเองชื่นชอบ กิจกรรมมีตลอดทั้งเดือนตุลาคม 2567 ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ และไม่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3451 3926 หรือทางเฟสบุ๊ก เพจ : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก กาญจนบุรี https://www.facebook.com/nlkanhanaburi


โบราณสถานวัดเขาเจดีย์          ตั้งอยู่บนยอดเขาเจดีย์ ในเขตหมู่ที่ ๗ บ้านบางสน ตำบลบางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ตามประวัติการสร้างเจดีย์มีเพียงเรื่องเล่าว่า เจ้าอ้ายพญาและเจ้ายี่พญา เดินทางมาจากกรุงศรีอยุธยาพร้อมทรัพย์สินเงินทองเพื่อไปร่วมสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ที่เมืองนครศรีธรรมราช ครั้นทราบว่าพระมหาธาตุเจดีย์สร้างเสร็จแล้ว จึงสำรวจหายอดเขาที่สวยงามแล้วสร้างพระเจดีย์ขึ้นไว้บนยอดเขา เรียกว่า “เขาเจดีย์” ต่อมาเจดีย์ถูกทิ้งร้างไปจนไม่มีผู้ใดทราบประวัติที่แน่ชัด จนกระทั่งพ.ศ. ๒๔๙๔ จึงเริ่มมีการพัฒนาเป็นวัดสืบมาจนปัจจุบัน           โบราณสถานสำคัญ ได้แก่ เจดีย์ทรงระฆัง ฐานล่างสุดเป็นลานประทักษิณล้อมรอบด้วยกำแพงประดับด้วยเสาหัวเม็ดทรงมัณฑ์ที่มุมทั้งสี่ บันไดทางขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออก ฐานเจดีย์เป็นฐานเขียงในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส  รองรับฐานย่อมุมไม้สิบสอง ลักษณะเป็นขาสิงห์แบบเรียบซ้อนกัน ๒ ชั้น รองรับฐานบัวคว่ำบัวหงาย ๒ ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นบัวปากระฆัง องค์ระฆังทรงกลมชะลูด มีบัลลังก์เป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายในผังแปดเหลี่ยม ต่อด้วยปล้องไฉนแบบเรียบและยอดบนสุดเป็นรูปดอกบัวตูม ที่ส่วนฐานด้านหน้าเจาะเป็นซุ้ม เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทราย รูปทรงของเจดีย์จัดเป็นศิลปะในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางห้ามญาตินามว่า “พระบูรพาบรรพต” และวิหารพระพุทธบาท ซึ่งสร้างเพิ่มเติมในปัจจุบัน          กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดเขาเจดีย์ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๒ ตอนพิเศษ ๓๙ ง หน้า ๘ วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ เนื้อที่โบราณสถานประมาณ ๕o ไร่ ๒ งาน ๒๗ ตารางวา   Wat Khao Chedi          Wat Khao Chedi is located on the top of the Chedi hill, Ban Bang Son, Bang Son Sub-district, Pathio District, Chumphon Province. The history of Wat Khao Chedi is mentioned in a folklore that Chao Ai Phaya and Chao Yi Phaya traveled from Ayutthaya with assets to build Phramahathat Chedi in Nakhon Si Thammarat. When they know that Phramahathat Chedi had been built, they surveyed to find a beautiful mountain peak and built a chedi called "Khao Chedi". Later it was abandoned. There have been a development in the temple since 1951.          The significant architectural heritage in Wat Khao Chedi is a bell-shaped chedi which the lowest base is square with a low wall and has a pillar at each corner that provided a space for clockwise walking meditation by worshippers. It has the stairway in the east. The base of the chedi is a plain square base, followed by two Than singh or lion pedestals with twelve redented cornered and two Than Bua or lotus pedestals above the pedestals is the relic chamber which is a bell-shaped. On top of the relic chamber is an octagonal lotus base, followed by Plong chanai or a series of ring-like mouldings and on the top is Bua or a lotus bud shape. There is a niche at the front base which used to enshrine a sandstone Buddha image. The shape of the chedi is in the late Ayutthaya period to the Rattanakosin period. Nearby, there are a Buddha image, which is in the attitude of persuading the relatives not to quarrel and called Phra Buraphabanphot, and Vihara Phra Phutthabat (The Buddha Footprints Pavillion) which were built later.          The Fine Arts Department announced the registration of Wat Khao Chedi as a national monument and 80,908 squares - metres of national monument area in the Royal Gazette, Volume 112, Special Part 39, page 8, dated 6th October 1995.    


ชื่อเรื่อง                     พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลาภพฤฒิยากร และการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับโรงเรียนจีนในประเทศไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการผู้แต่ง                       ณรงค์ พ่วงพิศประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   การศึกษาเลขหมู่                      379.959 ณ212พสถานที่พิมพ์               กรุงเทพฯสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์พระจันทร์ปีที่พิมพ์                    2517  ลักษณะวัสดุ               210  หน้าหัวเรื่อง                     หนังสืองานศพภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกพิมพ์ในงานพระราชเพลิงศพ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลาภพฤฒิยากร ณ พระเมรุหน้าพลับพลาอิศรายาภรณ์ วัดศิรินที่วาส 15 ธันวาคม 2517


black ribbon.