ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,523 รายการ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมกิจกรรม Museum Sharing Day : พิพิธภัณฑ์ปันสุข ครั้งที่ 1 ในตอน "ส.ค.ส. ส่งความสุข" เรียนรู้ความเป็นมาของ ส.ค.ส. และทำ workshop ส.ค.ส. ทำมือ จากผ้าขะม้าเมืองราชบุรี ในวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป
--------------------------------------------
กติกาการเข้าร่วม : นำของขวัญ (ราคาไม่ต่ำกว่า 30 บาท) หรือของเล่น (ของใหม่ หรือของเก่าที่สะอาด สภาพดี) มาแลกรับบัตรเข้าร่วมกิจกรรม
--------------------------------------------
ทั้งนี้ ของขวัญ/ของเล่น จะนำส่งต่อให้แก่นักเรียนที่ขาดแคลนในโครงการพิพิธภัณฑ์สัญจรของพิพิธภัณฑ์ต่อไป
ชื่อพระพุทธรูป พระประธานในอุโบสถวัดพระรูป
สถานที่ประดิษฐาน อุโบสถ วัดพระรูป ต.ช่องสะแก อ.เมือง จ.เพชรบุรี
ประวัติ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ พระอธิการผ่อนปัญญาธโร ได้ดําริจะสร้างพระประธานใหม่แทนองค์เดิมที่ปั้นด้วยอิฐและปูน ซึ่งน่าจะถูกสร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือ สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งเกิดการชํารุดมากและถูกซ่อมมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นท่านพระครูจึงได้ให้ช่างและพระสงฆ์ในวัดช่วยกันรื้อและมีดําริจะหล่อพระประธานองค์ใหม่ ในขณะที่กําลังใช้ชะแลงงัดที่เศียรพระนั้นได้พบกับพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งบรรจุอยู่ในพระโมลีของพระประธานเดิม ดังนั้นในวัดพระรูปจึงมีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ด้วย
ในส่วนของพระประธานองค์ใหม่นี้มีการหล่อขึ้นที่วัดเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๙ ตรงกับขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ เวลา ๐๗.๓๐ น. พระประธานจะมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หล่อด้วยโลหะต่าง ๆ โดยการบริจาคของชาวบ้านทั้งทอง นาก เงิน และโลหะต่าง ๆ ตามศรัทธา ขนาดหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว และสูง ๗ ศอกพระประธานองค์นี้ออกแบบให้เหมือนพระพุทธชินราชแบบที่งามที่สุดในประเทศไทย ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก
หลังจากการทําพิธีหล่อพระประธานครั้งนี้ โลหะต่าง ๆ ที่ชาวบ้านนํามาบริจาค ยังเหลืออยู่อีกมากมาย ท่านพระครูผ่อนจึงได้ให้ช่างหล่อพระโมคัลลานะ พระสารีบุตร และพระพุทธรูปปางประทานพรอีก ๓ องค์ เพื่อมาประดิษฐานไว้ในอุโบสถ เมื่อเสร็จการหล่อพระที่วัด และส่งไปขัดที่โรงหล่อที่บ้านช่างหล่อธนบุรี วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๐๐ ได้จัดขบวนแห่พระกลับมายังวัดพระรูป และมีพิธีบรรจุและประดิษฐาน ในพระอุโบสถในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๐๐ และฉลองสมโภชตามสมควร และถือว่าเป็นปีที่ดีในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ ด้วย
ชื่อเรื่อง สพ.ส.60 สวดมนต์ต่างๆประเภทวัสดุ/มีเดีย สมุดไทยดำISBN/ISSN -หมวดหมู่ ธรรมคดีลักษณะวัสดุ 122; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง สวดมนต์ต่างๆ ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก ประวัติวัดดอนบุบผา ต.บ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 16 ส.ค..2538
ชื่อเรือสองลำนี้มาจากคำภาษาสันสกฤต มีความหมายดังนี้ อสุรวายุภักษ์ แปลว่า “อสูรผู้มีลมเป็นอาหาร” อสุรปักษี แปลว่า “อสูรผู้เป็นนก” หัวเรือของเรือทั้งสองลำมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือมีร่างกายเป็นนก มีหัวหรือหน้าเป็นยักษ์
ชื่อเรือสองลำนี้มาจากคำภาษาสันสกฤต มีความหมายดังนี้ อสุรวายุภักษ์ แปลว่า “อสูรผู้มีลมเป็นอาหาร” อสุรปักษี แปลว่า “อสูรผู้เป็นนก” หัวเรือของเรือทั้งสองลำมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือมีร่างกายเป็นนก มีหัวหรือหน้าเป็นยักษ์ (ไทยเรามักเรียก อสูร ว่า ยักษ์) ลงรักปิดทองประดับกระจก รูปอสุรวายุภักษ์ ใส่เสื้อสีม่วง มือและเท้าเป็นสีคราม ส่วนรูปอสุรปักษี ใส่เสื้อด้านหน้าสีม่วง ด้านหลังสีเขียว มือและเท้าเป็นสีเขียว
เรือทั้งสองลำนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พุทธศักราช 2325 - 2352) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (พุทธศักราช 2394 - 2411) เรืออสุรปักษี ใช้ชื่อว่า อสุรปักษีสมุทร หรือ อสุรปักษา บูรณะในพุทธศักราช 2508 ดำเนินการโดยความร่วมมือกัน
ระหว่างกองทัพเรือกับกรมศิลปากร
เรือแต่ละลำมีความยาว 31 เมตร กว้าง 2.03 เมตร ลึกถึงท้องเรือ 62 เซนติเมตร มีกำลังพลประกอบด้วยฝีพาย 40 คน นายเรือ 1 คน นายท้าย 2 คน คนถือธงท้าย 1 คน พลสัญญาณ 1 คน คนกระทุ้งเส้า (ให้จังหวะ) 2 คน และคนตีกลองชนะ 10 คน
ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/royalbarges
ส่งเสริมการอ่านผ่าน Facebook กับหอสมุดแห่งชาติชลบุรี
เรื่อง มองโลกอย่างผู้ชนะ แล้วชีวิตที่ดีก็จะเป็นของคุณ
ศรี นคร. มองโลกอย่างผู้ชนะ แล้วชีวิตที่ดีก็จะเป็นของคุณ. กรุงเทพฯ: เติมเต็มใจ, 2552.
ห้องหนังสือทั่วไป 2 เลขเรียกหนังสือ 158 ศ175ม
ชีวิต คือ การต่อสู้ เริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก เมื่อเด็กทารกแผดเสียงร้องจ้านั่นคือสัญญาณของการต่อสู้และการใช้ชีวิต เมื่อเติบโตขึ้นการเดินทางของชีวิตก็จะนำพาให้ต้องเผชิญกับการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ อาจจะมีล้ม มีแพ้ และมีชนะ แต่นั่นก็ทำให้ได้เรียนรู้ความหมายของชีวิต และไม่มีชัยชนะใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า การเอาชนะใจตนเอง
มองโลกอย่างผู้ชนะ แล้วชีวิตที่ดีก็จะเป็นของคุณ เล่มนี้ ผู้เขียนพาเราไปพบกับ แง่มุมและข้อคิดสำหรับคนที่ต้องการชัยชนะอย่างแท้จริง ซึ่งในที่นี้หมายถึงการเอาชนะใจตนเองและสร้างทัศนคติที่ดีให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ ทุกคนต้องการเป็นผู้ชนะและสามารถก้าวไปสู่จุดนั้นได้ โดยมองชัยชนะให้เป็นจุดมุ่งหมายอันท้าทาย ที่จะต้องพัฒนาตนเองทั้งด้านความสามารถ ความพยายาม ไหวพริบ และความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพื่อที่จะก้าวไปให้ถึง ซึ่งจุดมุ่งหมายในชีวิตนอกจากเรื่องการงานและการเงินแล้ว ควรจะมีสิ่งอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เช่น ครอบครัว มิตรภาพ และสุขภาพร่างกาย โดยจุดมุ่งหมายทั้ง 2 ส่วนควรจะส่งเสริมซึ่งกันและกัน แต่อย่างไรก็ตามกับดักสำคัญของชีวิต คือ ความคิดของบุคคลรอบข้างที่มักจะส่งผลต่อความมั่นใจของเรา ทำให้หลายคนติดอยู่ในกับดักแห่งอารมณ์นี้จนเกิดเป็นความรู้สึกไม่พึงพอใจในตนเอง รู้สึกด้อยค่ากว่าผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้จะนำไปสู่การสูญเสียความมั่นใจ และอาจทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาตนเองไปอย่างน่าเสียดาย ฉะนั้นการสร้างความมั่นใจในตนเองให้เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้คุณก้าวเดินต่อไป อีกทั้งเป็นสิ่งตอกย้ำว่าคุณเองก็สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนอื่นๆ สามารถทำเรื่องผิดพลาดและล้มเหลวได้ไม่ต่างกัน โดยความผิดพลาดที่ต้องเจอไม่ได้ทำให้ชีวิตจบสิ้นลง แต่เราจะได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์จากสิ่งเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เกิดการมองชีวิตด้วยทัศนคติเชิงเหตุผลมากขึ้น หากจะแปลความอย่างง่าย ทัศนคติก็คือทางเลือกในการมองสิ่งต่างๆ และเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัว ขึ้นอยู่กับว่าจะมองในเชิงสร้างสรรค์ หรือมองในแง่ลบ โดยทัศนคติที่ดีจะทำให้เกิดความรู้สึกเคารพตนเอง ส่งผลดีไปถึงบุคคลรอบข้าง และสร้างความมั่นใจว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออก ผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติชลบุรี (วันอังคาร – วันเสาร์ เวลา 09.00 - 17.00 น.)
ปรางค์กู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
เป็นปรางค์ 3 หลัง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ปรางค์หลังทิศเหนือ เป็นปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงจนถึงกลางองค์ จากนั้นจึงใช้อิฐก่อไปจนถึงส่วนยอด ปรางค์หลังทิศใต้และหลังกลางเป็นปรางค์ก่อด้วยอิฐขัดเรียบ ปรางค์ทั้ง 3 หลัง ใช้ศิลาทรายเป็นส่วนประกอบ ส่วนบริเวณทับหลัง กรอบประตู และเสาประดับกรอบประตู ลักษณะแผนผังของฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ย่อมุมเฉพาะด้านหน้า โดยมีบันไดทางขึ้นตรงกึ่งกลางฐานตั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งตรงกันกับประตูทางเข้าปรางค์องค์กลาง สำหรับปรางค์ทั้ง 3 หลังนั้นมีประตูทางเข้าเพียงด้านเดียว ส่วนอีก 3 ด้านทำเป็นประตูหลอก ส่วนชั้นหลังคาก็จำลองรูปแบบลดหลั่นกันขึ้นไป
โบราณสถานวัดน้ำรอบ
ตั้งอยู่ที่หมู่ ๑ บ้านน้ำรอบ ตำบลน้ำรอบ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
วัดน้ำรอบ เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา พร้อมกันกับวัดถ้ำสิงขร และวัดเขาพระอานนท์ มีตำนานกล่าวว่า ในอดีตมีลูกสาวชาวบ้านน้ำรอบนางหนึ่งได้เป็นพระสนมในพระเจ้าแผ่นดิน พี่ชายมีความปรารถนาที่จะพบน้องสาวจึงบวชเป็นพระไปศึกษาบาลีในเมืองหลวงจนสำเร็จเปรียญ และต่อมาได้รับนิมนต์เข้าไปรับสลากภัตในพระราชวัง ทำให้ได้พบกับพระสนมผู้เป็นน้องสาว พระสนมกราบบังคมทูลให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบ จึงโปรดให้สร้างวัดขึ้น ๓ วัดคือ วัดถ้ำสิงขร วัดน้ำรอบ และวัดเขาพระอานนท์
สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ อุโบสถ สร้างด้วยไม้ตำเสา เป็นอาคารทรงไทยหลังคาจั่วมีช่อฟ้าใบระกาและปีกนกรองรับ ๒ ชั้น หลังคาแอ่นโค้งคล้ายท้องสำเภาผนังโบสถ์เป็นผนังเตี้ย ก่ออิฐฉาบปูนตำ อิฐก่อขึ้นมาจากพื้น ไม่มีฐานบัวรองรับเหมือนโบสถ์ทั่วไป สันนิษฐานว่าของเดิมอาจเป็นไม้ทั้งหลัง
ภายในอุโบสถปรากฏงานศิลปกรรมท้องถิ่นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวรัชกาลที่ ๓ นอกจากนี้ยังพบเจดีย์ราย ก่ออิฐอีก ๒ องค์ ตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถทางทิศตะวันออก และฐานเจดีย์ก่ออิฐ ย่อมุมไม้สิบสองขนาดเล็ก เหลือเพียงส่วนฐานกับตอนล่างขององค์ระฆัง อยู่ทางด้านทิศเหนือของอุโบสถ
ส่วนโบราณวัตถุที่พบ ได้แก่ พระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืนปางห้ามญาติ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร สำริด พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรสำริดลงรักปิดทอง และศิลาจารึก ทำจากหินชนวนเป็นจารึกอักษรไทย ภาษาไทย จารึกใน พ.ศ. ๒๓๙๑ สันนิษฐานว่าเป็นเนื้อความย่อจากเอกสารกัลปนา วัดน้ำรอบ
อายุสมัย : สมัยอยุธยา - สมัยรัตนโกสินทร์
โบราณสถานวัดน้ำรอบ ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๔ ตอนพิเศษ ๘๐ ง หน้า ๕ วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๐ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๘๑ ตารางวา
จัดทำโดย
นางสาวเพ็ญณิกา เตี้ยพานิช นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพสาขาวิชาการจัดการทางวัฒนธรรม
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : จัดระเบียบการจราจรที่อุตรดิตถ์ -- ในเอกสารจดหมายเหตุชุด กรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 กระทรวงมหาดไทย ได้ปรากฏบทความจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวถึงการควบคุมและจัดระเบียบการจราจรในจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อเกือบร้อยปีก่อนเอาไว้ดังนี้ บทความชื่อ “บรรณาธิการบรรทึก” ในหนังสือพิมพ์ไทยเขษมรวมข่าว ฉบับวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2472 ได้กล่าวถึงการ “ควบคุมรถยนตร์” หรือการจัดระเบียบการจราจรในจังหวัดอุตรดิตถ์ซึ่งผู้เป็นบรรณาธิการได้ประสบพบเจอมา โดยระบุว่า ในการควบคุมรถโดยสารนั้น รถโดยสารซึ่งบรรทุกผู้โดยสารแล้วและจอดอยู่หน้าคันอื่นจะต้องออกรถก่อน รถคันหลังจะแซงออกก่อนไม่ได้แม้จะบรรทุกผู้โดยสารเต็มก่อนคันหน้าก็ตาม และรถโดยสารจะต้องจอดให้เป็นที่เป็นทาง ไม่ยื้อแย่งผู้โดยสารกัน ส่วนการควบคุมการสัญจรทางรถยนต์ โดยเฉพาะบนถนนสายไปวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ในกรณีที่รถกำลังจะแล่นสวนกันในระยะ 1 เส้น (40 เมตร) รถที่มาจากวัดพระแท่นศิลาอาสน์ต้องหยุดนิ่ง และรถที่จะไปวัดต้องแล่นสวนไปช้าๆ เมื่อพ้นระยะสวนกันแล้วจึงจะใช้ความเร็วปกติได้ นอกจากนี้ยังกล่าวชื่นชมว่าการควบคุมรถยนต์ในงานเทศกาลนั้นไม่มีที่ใดจัดได้เรียบร้อยและมีความปลอดภัยเท่ากับจังหวัดอุตรดิตถ์ นี่คือตัวอย่างของการจัดระเบียบการจราจรของหัวเมืองต่างจังหวัดในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งเริ่มมีผู้ใช้รถยนต์มากขึ้น สอดคล้องกับการที่จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดแรกในมณฑลพิษณุโลกที่มีประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติรถยนต์ ร.ศ. 128 ด้วยให้เหตุผลว่ามีผู้นิยมใช้รถยนต์รับจ้างส่งคนโดยสารและสินค้าในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์มากขึ้นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าบทความที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุนี้อาจมีเนื้อความที่ขาดหายไปโดยเฉพาะช่วงต้นของบทความ จึงทำให้ไม่สามารถทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการจัดระเบียบการจราจรในจังหวัดอุตรดิตถ์ในสมัยนั้นได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)เอกสารอ้างอิง: 1. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 7 กระทรวงมหาดไทย ร.7 ม 26.5 ก/35 เรื่อง จังหวัดอุตรดิตถ์ [ 12 มิ.ย. 2471 – 7 มี.ค. 2472 ].2. "ประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติรถยนตร์ ในจังหวัดอุตรดิตถ์ มณฑลพิษณุโลก." (2468) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 42, ตอน ก (24 มกราคม): 264 - 265.#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ
ที่ระลึกในพิธีเปิด หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
ผู้แต่ง : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร
ต้นฉบับอยู่ที่ : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี (ห้องจันทบุรี)
สำนักพิมพ์ : บริษัท อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ จำกัด
ปีที่พิมพ์ : 2533
รูปแบบ : PDF
ภาษา : ไทย
เลขทะเบียน : น. 39 บ. 12434 จบ. (ร)
เลขหมู่ : ท. 027.5593 จ247ท
สาระสังเขป : หนังสือจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในพิธีเปิดหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2533 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งและประวัติการก่อสร้างหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก รวมถึงประวัติและภูมิศาสตร์เมืองจันทบุรี วิถีชีวิต ภาษา ชนพื้นเมือง และเรื่องน่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับเมืองจันทบุรี
ชื่อเรื่อง กมฺมวาจาวิธิ (บอกมานัต บอกวัตร)สพ.บ. 483/1หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลีหัวเรื่อง พุทธศาสนา ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 24 หน้า : กว้าง 4.2 ซม. ยาว 55.8 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดด่านช้าง ต.ด่านช้าง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ในการพระราชพิธีสงกรานต์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
รหัสเอกสาร ภ หจภ ศธ ๑.๑/๔๐
ชื่อเรื่อง นิราศลอนดอนผู้แต่ง ราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย), หม่อมประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ภูมิศาสตร์และการท่องเที่ยวเลขหมู่ 914.21 ร438นสถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์คุรุสภาปีที่พิมพ์ 2504ลักษณะวัสดุ 246 หน้า หัวเรื่อง อังกฤษ -- ภูมิประเทศและการท่องเที่ยว อังกฤษ -- ความเป็นอยู่และประเพณี/นิราศภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเนื้อหาภายในกล่าวถึง สมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีราชทูตไทยเดินทางไปเจริญพระราชไมตรีในยุโรปหลายครั้ง โดยครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ลักษณะคำประพันธ์เป็นร้อยแก้วและนิราศ ซึ่งเรื่องราวจะพรรณนาตั้งแต่เริ่มออกจากกรุงเทพฯไปยังสิงคโปร์, เมืองไคโร, เกาะมอลตา, เมืองปอร์ดสมัท และสู่จุดหมายปลายทางที่เมืองลอนดอน
สนง.ศึกษาธิการจังหวัดนครนายก จ.นครนายก (เวลา 13.00 น.) จำนวน 65 คน
เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ลพบุรีพิพิธภัณฑสถาน หรือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ในปัจจุบัน ขอเชิญทุกท่านพบกับกิจกรรม "Twilight at the Museum" นำชมพิพิธภัณฑ์ยามเย็น นิทรรศการ Black & White Palace เมื่อครั้ง...วังนี้สี "ขาวดำ" นิทรรศการ Homecoming โบราณวัตถุคืนถิ่น อาคารจัดแสดงและโบราณสถานในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ในวันเสาร์ที่ 12 และวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2567 เวลา 17.30 - 19.00 น. รับจำกัดจำนวน 20 ท่าน/วัน เท่านั้น ผู้สนใจร่วมกิจกรรมสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://forms.gle/Htwo7sKZcLtWnajr6 หรือแสกน QR Code บนโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าชมตามปกติ ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท ติดตามข้อมูลข่าวสารรายละเอียดกิจกรรม ได้ที่ Facebook พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ : King Narai National Museum สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3641 1458