ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 45,839 รายการ
เรื่องเล่าจากหอสมุดแห่งชาติ “หีบพระสมุดกรมราชเลขานุการในพระองค์” ที่ปรากฏการใช้งาน ณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เมื่อคราวย้ายหอพระสมุดวชิรญาณ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษก มาตั้งอยู่ ณ ตึกถาวรวัตถุ และทรงพระราชทานนามว่า “หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” นั้น ปรากฏสิ่งของเครื่องใช้ ซึ่งตกทอดมาตั้งแต่ครั้งเป็นหอพระสมุด วชิรญาณ ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง โดยยังปรากฏและใช้งานมาจนถึงปัจจุบันนอกเหนือจากหนังสือตัวเขียน หนังสือตัวพิมพ์ ตู้พระธรรม ตู้หนังสือ โต๊ะและเก้าอี้ นั้น ยังมีหีบไม้สัก ขนาดใหญ่ จำนวน ๕ ใบ ที่ปรากฏการใช้งาน ณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าได้มาจากแหล่งใด จากการสันนิษฐานโดยหลักฐานที่ปรากฏบนหีบ คือ แผ่นทองเหลืองที่พบเพียงแผ่นเดียวจากหีบจำนวน ๕ ใบ ซึ่งมีการสลักอักษรโดยการนำพยัญชนะและสระมาไว้ในบรรทัดเดียวกัน ความเป็นไปได้ของหีบทั้งห้าใบนี้ อาจจะเป็น “อักษรอริยกะ” ซึ่งเป็นอักษรที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้นเมื่อครั้งทรงผนวช และอีกความเป็นไปได้ คือ อักษรที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้น โดยทรงบัญญัติเป็นระเบียบวิธีเขียนหนังสือไทยแบบใหม่ ดังปรากฏในพระบรมราชาธิบายว่าด้วยเรื่อง “วิธีใหม่สำหรับใช้สระและเขียนหนังสือไทย” เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๐ แต่เนื่องด้วยบนแผ่นทองเหลืองสลักคำว่า “หีบพระสมุดกรมราชเลขานุการในพระองค์” ซึ่งจากการค้นคว้าพบว่า กรมราชเลขาธิการหรือออฟฟิศไปรเวตสิเกรตารีหลวง ตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๓ ตรงกับในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีเป็นพระองค์แรก จึงเป็นไปไม่ได้ที่แผ่นทองเหลืองที่ปรากฏจะเป็นอักษรอริยกะ ประเด็นสำคัญคือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคิดรูปสระและวิธีการเขียนหนังสือไทยแบบใหม่ขึ้น โดยการนำพยัญชนะและสระมาไว้ในบรรทัดเดียวกันเช่นเดียวกับอักษรอริยกะ ซึ่งเขียนได้สวยงามเป็นระเบียบ ไม่กำกวม อ่านง่าย ทำให้เข้าใจในภาษาได้ถูกต้อง ทั้งนี้ในรัชสมัยของพระองค์ท่านได้มีการปรับปรุงส่วนราชการต่างๆ ในกระทรวงวังขึ้น ๒๐ กรม แต่ยังไม่ปรากฎชื่อกรมราชเลขานุการในพระองค์ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อกระทรวงวังเป็น ศาลาว่าการกระทรวงวัง และมีการแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑๐ กรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งกระทวงและกรม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ซึ่งหนึ่งใน ๑๐ กรม ที่ปรากฏนามคือ กรมราชเลขานุการในพระองค์ ดังนั้นจากหลักฐานทั้งหมดดังที่กล่าวในข้างต้น หีบพระสมุดของกรมราชเลขานุการในพระองค์ ทั้งห้าใบนั้น สันนิษฐานว่าถูกจัดทำขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๗๖ และสลักอักษรลงบนแผ่นทองเหลืองตามระเบียบวิธีเขียนหนังสือไทยแบบใหม่ ในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบัน “หีบพระสมุดกรมราชเลขานุการในพระองค์” จัดแสดง ณ บริเวณโถงกลางห้องหนังสือประเทศไทย ราชกิจจานุเบกษา และหนังสือนานาชาติ อาคาร ๑ ชั้น ๓ และหากผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลที่ชัดเจนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดกันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ ภาพแผ่นทองเหลืองสลักคำว่า “หีบพระสมุดกรมราชเลขานุการในพระองค์” ภาพหีบพระสมุดกรมราชเลขานุการในพระองค์ -----------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล: นางสาวรวิวรรณ พุฒซ้อน บรรณารักษ์ชำนาญการ กลุ่มบริการทรัพยากรสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ -----------------------------------------------บรรณานุกรม จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. จากลายสือไทยสู่อักษรไทย. กรุงทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๑. ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานหอพระสมุด หอพระมณเฑียรธรรม หอวชิรญาณ หอพุทธสาสนสังคหะ แลหอสมุดสำหรับพระนคร. พระนคร: อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๑๒. พระบรมราชาธิบายพระบาสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว : วิธีใหม่สำหรับใช้สระและเขียนหนังสือไทย. พระนคร: โรงพิมพ์ไทยเขษม, ๒๔๙๓. “พระราชบัญญัติจัดตั้งกระทรวงและกรม พุทธศักราช ๒๔๗๖” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๐ (๑๒ พ.ค. ๒๔๗๖) ๑๗๗. แม้นมาส ชวลิต. ประวัติหอสมุดแห่งชาติ. พระนคร: กรมศิลปากร, ๒๕๐๙.
หายไปรวบรวมข้อมูลทางโบราณคดีซะหลายวัน วันนี้แอดมินกลับมาตามสัญญาที่เคยบอกว่าจะมาเล่าให้ทุกคนฟังถึงผลการขุดทางโบราณคดีของบ้านเขียว (อาคารป่าไม้ ภาคแพร่) ค่ะ อาจจะดูเป็นวิชาการซักนิด แต่ถ้าคิดซะว่ากำลังดูนิยายสืบสวนอยู่ละรับรองเข้าใจได้ๆไม่ยาก และสนุกไม่แพ้กันเลยนะคะ แต่วันนี้ตกลงกันก่อนว่าเราจะลองสมมุติตัวเองเป็นนักสืบดู.....ไม่ได้สืบหาฆาตกรที่ไหน แต่เราจะสืบอดีตไปพร้อมๆกันค่ะ
การขุดทางโบราณคดีครั้งนี้เรามีเป้าหมายเพื่อหาพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงของอาคารว่ามีรูปแบบดั้งเดิมและมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับการวิเคราะห์ทางสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบไม้ส่วนต่างๆของอาคารที่คัดแยกไว้
เราได้ทำการขุดตรวจเป็นร่องยาวผ่ากลางอาคารทั้งแนวกว้างและแนวยาว โดยหลุมขุดของเราจะผ่าให้คร่อมแนวฐานเสาเพื่อจะได้เห็นร่องรอยการสร้างฐานรากอาคาร จากการขุดทางโบราณคดีเราพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า อาคารในสมัยแรกสุดที่สร้างมีขนาดเล็กกว่าที่เห็นในปัจจุบัน อาจเป็นอาคารชั้นเดียว เนื่องจากพบบันไดทางขึ้นเพียง 2 ขั้นบันได อาคารมีมุขยื่นออกมาด้านหน้าไม่มากนัก (ยื่นออกมาทางทิศเหนือ) เนื่องจากพบฐานเสาที่รับหลังคามุข ๒ ช่วงเสา ตัวอาคารมีปีกอาคารขยายออกไปทั้งด้านซ้ายและขวา (ตะวันออกและตะวันตก) (แผนผังคล้ายตัว T ที่มีฐานสั้น) อาคารเดิมน่าจะมีระบบฐานรับน้ำหนักเป็นฐานก่ออิฐและมีไม้เป็นเสาหรือคานรับด้านบนที่เป็นพื้นภายในและตัวอาคาร
ทั้งนี้จากชั้นดินขุดตรวจในพื้นที่อาคารเราพบความน่าสนใจคือ เราพบชั้นดินตะกอนทรายแม่น้ำทับถมบนฐานเสาเป็นความหนาประมาณ 20-30 เซนติเมตร และพบหลักฐานที่สัมพันธ์กันคือ การก่อผนังอิฐปิดพื้นที่ระหว่างฐานเสาแต่ละต้น (นึกถึงภาพประมาณว่าถ้าเรามีบ้านเป็นเสา ใต้ถุนโล่ง พื้นที่ระหว่างเสาจะถูกก่ออิฐเชื่อมต่อปิดทึบทั้งหมด) รวมถึงพบดินถมที่อยู่เหนือจากชั้นตะกอนทรายน้ำท่วม เมื่อประมวลเข้าด้วยกันจึงบอกเล่าเรื่องราวได้ว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่ง พื้นที่เคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยน้ำได้พัดพาตะกอนทรายมาทับถมพื้นที่เป็นจำนวนมาก ผู้ใช้งานอาคารจึงดำเนินการ 2 สิ่งพร้อมกัน คือ ทำการก่อผนังอิฐรอบเชื่อมต่อรอบฐานเสา และทำการถมปรับดินภายในอาคารให้สูงขึ้นแล้วทำการปูอิฐปิดพื้นด้านบนที่เป็นพื้นใช้งานภายในอาคาร ซึ่งน่าจะมีเหตุผลมาจากการพยายามยกอาคารให้สูงขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วม ซึ่งการดำเนินการนี้ยังอยู่ในรูปแบบแผนผังเดิมของอาคาร ทั้งนี้หลักฐานในบริเวณที่ใกล้กันพบหลักฐานสำคัญอีกประการ คือ บริเวณฐานอาคารที่เคยเป็นฐานเสาเดิม มีฐานเสาซีเมนต์ที่มีการเสริมเหล็กทับลงไปบนฐานเสาเดิม (ในบริเวณฐานเสาเดิมที่ตั้งอยู่รอบอาคารและกลางอาคารพบลักษณะการนำฐานเสาใหม่ทับลงบนฐานเสาเดิมในทุกจุด) ซึ่งหลักฐานดังกล่าวสัมพันธ์กับการขยายปีกด้านขวาและซ้ายของอาคารออกไปอีก 1 ห้อง จึงสรุปได้ว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ได้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมอาคาร โดยสร้างปีกด้านซ้ายและขวาของอาคารเพิ่มและได้เปลี่ยนระบบการรับน้ำหนักของเสาเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เป็นภาพถ่ายเก่า 2 ชิ้นประกอบ คือ ภาพถ่ายทางอากาศของวิลเลียม ฮันท์ ในปี 2487 และภาพถ่ายเก่าบริเวณด้านหน้าอาคาร ปี 2498 ที่พบผังอาคารสอดคล้องกับที่ได้กล่าวมานี้ จึงสรุปโดยคร่าวๆได้ว่า ผังอาคารและระบบรับน้ำหนักในลักษณะดังกล่าว เป็นการทำขึ้นเพื่อรองรับการเป็นอาคาร 2 ชั้น ซึ่งมีมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2487 เป็นอย่างน้อย
ชื่อเรื่อง เทศนาวิภังค์-มหาปัฏฐานสพ.บ. 195/2ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า : กว้าง 4.4 ซ.ม. ยาว 54.9 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.80/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 58 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 50 (78-93) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.150/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 4.5 x 57 ซ.ม. : ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 92 (404-407) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ตำราหมอดู ชบ.ส. ๖๒เจ้าอาวาสวัดราษฏร์สามัคคี ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.26/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
วันมาฆบูชา
มาฆบูชา ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือเดือน ๓ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ถ้าปีใดมีเดือนอธิกาส คือ มีเดือน ๘ สองหน จะเลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน ๓ หลัง (วันเพ็ญเดือน ๔)
ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือ เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมกันถึง ๔ ประการ จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" เหตุการณ์นั้น คือ
๑.ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
๒.พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้มีการนัดหมาย
๓.พระภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญษ ๖
๔.พระภิกษุทั้งหมดเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง
พระพุทธเจ้าได้แสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่ที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ วิธีการ ๖ ดังนี้
- หลักการ ๓ คือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการทำจิตใจให้ผ่องใสเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง
-อุดมการณ์๔ คือ ความอดทน ความไม่เบียดเบียน ความสงบ และนิพพาน
-วิธีการ๖ คือ การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้ายใคร สำรวมในปาติโมกข์ รู้จักประมาณ อยู่ในสถานที่ที่สงัด และฝึกหัดจิตใจให้สงบ
ภาพ: ภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านทิศเหนือ ภายในพระวิหารวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน เป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งปางมารวิชัยในซุ้มเรือนแก้ว ขนาบข้างด้วยพระสาวกด้านละสององค์
ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๗ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๕ (ต่อ) – ๗๗) ปราบเงี้ยว ตอนที่ ๑
พ่อค้าฮอลันดาสมัยพระเจ้าทรงธรรม ปราสาททองประวัติศาสตร์ยูนนาน และทางไมตรีกับจีน.
พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๑๓. ๒๕๘ หน้า
เป็นหนังสือที่ให้สมเด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า มีรับสั่งให้กรรมการหอสมุดวิชรญาณรวบรวมขึ้น เพื่อทรงบำเพ็ญพระกุศลในงานศพหม่อมเจ้าดนัยวรนุช ท.จ. เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๑ ด้วยเห็นว่าในสมัยนั้นมีผู้คนสนใจในงานด้านโบราณคดี เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยฟูฮีเข้ามาสู่ประเทศจีนด้วยการบุกรุกแคว้นเชนสี และถูกขัดขวางเกิดการสู้รบกันขึ้น ยูนนาน มีชื่อเดิมหลายชื่อ เช่น เทียนกัวะ ซนาอี้ ยีเจียว กัวะ และ ไปซีกัวะ ในพ.ศ. ๕๘๖ ยูนนานเป็นที่รู้จักในนามว่าเกียนนิงกัว
พิมพ์เป็นธรรมบรรณาการในงานปลงศพ นายเซ็ง เห-มาคม ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๓
จิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ วัดภูมินทร์ เขียนขึ้นในราวปีพุทธศักราช ๒๔๑๐-๒๔๑๗ ในสมัยพระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน (ในช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕) เขียนด้วยเทคนิคสีฝุ่นบนรองพื้นดินสอพอง มีความสวยงาม และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแต่งกาย วิถีชิวิต ภาพเขียนบ่งบอกถึงวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน เขียนเล่าเรื่องราว ๓ เรื่องหลักๆ พื้นที่ส่วนใหญ่เขียนเรื่อง "คัทธนกุมารชาดก"หนึ่งในปัญญาสชาดก (ชาดกนอกนิบาต) กล่าวถึงพระโพธิสัตว์คัทธนกุมารผู้ทรงมีพลังเปรียบดังพญาช้างสาร สร้างคุณงามความดี และความกตัญญูรู้คุณ เรื่องที่สองเขียนเรื่อง"เนมิราชชาดก"ชาดกชาติที่ ๔ หนึ่งในทศชาติชาดก เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์พระเนมิราช บำเพ็ญอธิษฐานบารมี เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องพุทธประวัติ นอกจากนี้ยังมีภาพบุคคลที่มีขนาดเท่าจริง ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะจิตรกรรมแห่งนี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในจิตรกรรม ได้แก่ ภาพปู่ม่านย่าม่าน (ปู่ใช้เรียกแทนผู้ชาย ย่าใช้เรียกแทนผู้หญิง ม่านเรียกชาวพม่า) เป็นภาพหญิงชายแต่งกายแบบพม่า แสดงท่าทางกระซิบกัน หรือที่รู้จักกันใน"ภาพกระซิบรัก" ซึ่งเป็นภาพที่มีความโดดเด่น และนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีภาพบุคคลชายหญิงแต่งกายเหมือนชนชั้นสูงอีกด้วย เรามาดูการจัดวางภาพเพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ ภายในพระอุโบสถกัน วัดภูมินทร์ ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่านภาพแสดง : หนุ่มสาวชาวเมืองอินทรปัต (เรื่องราว คัทธนกุมารชาดก) (ผนังทางด้านทิศเหนือ)ภาพแสดง : บรรยากาศเมืองอินทรปัต มีท่าเทียบเรือสินค้าจากชาวยุโรป (ผนังทางด้านทิศเหนือ ด้านขวามือล่าง)ภาพแสดง : (ผนังทางด้านทิศเหนือ ) ผนังเริ่มต้นเรื่องราว “คัทธนกุมาร” จาก “ผนังซ้ายมือล่าง” กำเนิดพระโพธิสัตว์คัทธนกุมาร (ผนังตอนกลาง) คัทธนกุมารออกผจญภัยตามหาพระบิดาและได้พบพระสหายทั้งสอง "นายไม้ไผ้ร้อยกอและนายเกวียนร้อยเล่ม" (ผนังขวามือล่าง) คัทธนพร้อมพระสหายทั้งสามเดินทางผ่านเมืองอินทรปัต (ผนังส่วนบน) ตรงกลางผนังเป็นภาพพระพุทธเจ้าและพระสาวก ซ้าย-ขวา เป็นภาพการศึกษาเล่าเรียน / พระธรรมวินัยภาพแสดง : ผนังทิศตะวันออก "ผนังซ้ายมือ" คัทธนพร้อมพระสหายได้พบนางกองสี และปราบ"งูยักษ์"ช่วยเหลือชุบชีวิตเจ้าเมือง และชาวเมืองขวางทะบุรีที่ถูกงูยักษ์กิน ให้ฟื้นคืนชีพกลับมามีชีวิตดังเดิม ด้วยของวิเศษไม้เท้าและพิณ และให้พระสหายนายไม้ไผ่ ร้อยกอดูแลเมือง "ผนังขวามือ" คัทธนพร้อมพระสหายได้พบนางคำสิง และปราบ"นกยักษ์"ช่วยเหลือชุบชีวิตเจ้าเมือง และชาวเมืองชวาทะวดีที่ถูกนกยักษ์กิน ให้ฟื้นคืนชีพกลับมามีชีวิตดังเดิม ด้วยของวิเศษไม้เท้าและพิณ และให้นายเกวียนร้อยเล่ม ดูแลเมือง "ผนังส่วนบน" ตรงกลางผนังเขียนภาพพระพุทธเจ้าและพระสาวก ซ้ายมือเขียนภาพบุคคล ขวามือเขียนภาพเสือภาพแสดง : ผนังด้านทิศใต้ "ผนังซ้ายมือล่าง" เมืองจำปาทบุรี คัทธนได้อภิเสกสมรสกับนางสีดา จากการได้ช่วยเหลือให้ นางสีดารอดพ้นจากนางยักษ์จับกิน มีโอรส ชื่อ คัทธจัน(โอรสองค์ที่ ๒)/ผนังข้างประตูด้าน ซ้ายมือ เขียนภาพบุคคลสตรีในชุดพื้นเมือง "ผนังขวาล่าง" บน: เจ้าเมืองจำปาทบุรี เสด็จออกล่าสัตว์ นางยักษ์จะกินพระองค์ และได้ขอชีวิตจากนางยักษ์ โดยจะนำชาวเมืองมาให้นางยักษกินแทนตน /กลาง: คัทธน ช่วยเหลือนางสีดาจากนางยักษ์ /ล่าง: คัทธนเดินทางมาที่เมืองจำปาทบุรี ได้พักอาศัยอยู่กับหญิงชราและต่อมาได้ "นางสีไว" เป็นภรรยา มีโอรส ชื่อ คัทธเนตร(โอรสองค์ที่ ๑) /ผนังข้างประตูด้านขวามือ เขียนภาพบุคคลบุรุษในชุดพื้นเมือง "ผนังกลางตอนกลาง" เป็นภาพการสู้รบกันระหว่างคัทธจันกับคัทธเนตร สองพี่น้องต่างพระมารดา เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ และของวิเศษ "ผนังส่วนบน"ตรงกลางผนังเป็นภาพพระพุทธเจ้าและพระสาวก ซ้าย-ขวา เป็นภาพการศึกษาเล่าเรียน/พระธรนมวินัย ภาพแสดง : ผนังทิศตะวันตก "ผนังตอนล่าง" เขียนเรื่องพระเนมิราชชาดก (ชาดกที่ ๔ ในทศชาติชาดก) "อธิฐานบารมี" พระเนมิราชเสด็จสวรรค์ชั้น"ดาวดึงส์" และ"นรกภูมิ" /ผนังข้างประตูด้านซ้ายมือเขียนภาพบุคคล"ปู่ม่าน-ย่าม่าน" "ผนังตอนบน" เขียนเรื่องพุทธประวัติ ตอน เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาพแสดง : พระอุโบสถ-------------------------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย : นางสาวกรอุมา นุตะศรินทร์ นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการพิเศษ และนายสมัคร ทองสันท์ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส กองโบราณคดี