ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ


ชื่อเรื่อง : ยุทธภัยและความเป็นชาติโดยแท้จริง ชื่อผู้แต่ง : พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จ ปีที่พิมพ์ : 2517 สถานที่พิมพ์ : - สำนักพิมพ์ : - จำนวนหน้า : 34 หน้า สาระสังเขป : ประวัติโดยย่อนางฉลวย สมบูรณ์ และเรื่องยุทธภัยและความเป็นชาติโดยแท้จริงนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น โดยทรงใช้พระนามแฝงว่า "อัศวพาหู" เป็นบทความร้อยแก้วสำหรับตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทย ในระหว่าง พ.ศ. 2457-2461 ซึ่งอยู่ในระหว่าง มหา-สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุทธภัย คือ ความเดือดร้อนและเสียหายอันบังเกิดขึ้นเพราะการรบนั้น มีเป็นอเนกประการ ทั้งเป็นภัยอันมิได้เลือกหน้าบุคคล ถ้าแม้สงครามมาติดเมืองใดเข้าแล้ว บรรดาผู้ที่ตั้งเคหสถานอาศัยอยู่ในเมืองนั้น ย่อมจะพากันพลอยเดือดร้อนไปด้วยกันทั่วหน้า


        กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ขอเชิญชมนิทรรศการ “ศิลป์ นิยาม : ความรัก ความงาม ความสุข” นิทรรศการพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ 133 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ระหว่างวันที่ 15 - 25 กันยายน 2568 ณ อาคารนิทรรศการ 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร         นิทรรศการฯ เชิญให้ผู้ชมร่วมค้นหาและดื่มด่ำกับนิยามของ “ศิลปะ” ผ่าน 3 มุมมองอันเป็นนิยามศิลปะของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย ได้แก่ “ความรัก” ที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ “ความงาม” ที่ศิลปะได้ถ่ายทอด และ “ความสุข” ที่มอบคืนให้ผู้คน พร้อมนวัตกรรมการจัดแสดงโฮโลแกรมอาจารย์ศิลป์ ที่จะทำให้เรื่องราวกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งนี้ ในวันที่ 15 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นวันศิลป์ พีระศรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ขอเชิญร่วมรำลึกและวางดอกไม้สักการะอัฐิแด่ ”ครูฝรั่ง“ ผู้วางรากฐานทางด้านศิลปะของไทย ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.00 น.          ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี หรือชื่อเดิมว่า นายคอร์ราโด เฟโรจี (Corrado Feroci) เป็นชาวอิตาเลียน เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2435 ณ ตําบลซานตาจิโอวานี นครฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี สําเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาศิลปะชั้นสูงแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) มีพระประสงค์ต้องการบุคลากรที่เชี่ยวชาญในด้านศิลปะตะวันตกเพื่อเข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นในแผ่นดินไทยและทําการฝึกสอนช่างไทยให้มีความสามารถในการสร้างงานประติมากรรมแบบตะวันตก ทางรัฐบาลอิตาลีจึงส่งคุณวุฒิและผลงานของศาสตราจารย์คอร์ราโด เฟโรจี ให้สยามพิจารณา ด้วยเหตุนี้ศาสตราจารย์คอร์ราโด จึงเดินทางสู่แผ่นดินสยาม เพื่อเข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นประจํากรมศิลปากร กระทรวงวัง เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2466 และได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์สอนวิชาช่างปั้นหล่อ แผนกศิลปากรสถานแห่งราชบัณฑิตยสภา ในปี พ.ศ. 2469 ผลงานการสร้างสรรค์ประติมากรรมและอนุสาวรีย์ชิ้นสําคัญ เช่น พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ที่เสียสละและอุทิศตนเพื่องานศิลปะของไทย โดยเป็นผู้ที่ทําให้วงการศิลปะของไทยเริ่มต้นเข้าสู่รูปแบบที่เป็นสากล ด้วยการนําความรู้ทางด้านศิลปะตามหลักวิชาการแบบตะวันตกมาเป็นแนวทางในการวางรากฐานการศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยทางด้านศิลปะแห่งแรกของประเทศไทย นับว่าเป็นผู้บุกเบิกการสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมสมัยใหม่ ศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทยอย่างแท้จริง จนได้รับการยกย่องว่า “บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย”         ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการฯ ระหว่างวันที่ 15 - 25 กันยายน 2568 เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร) เวลา 09.00 - 16.00 น. ณ อาคารนิทรรศการ 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 240 บาท


                       ส่องอักษรดูสาระ นำเสนอและเผยแพร่เกร็ดความรู้ต่าง ๆ จากคำศัพท์และองค์ความรู้ที่น่าสนใจในเอกสารโบราณที่มีอยู่ ณ ห้องอีสานศึกษา ของหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา สำหรับวันนี้ นักภาษาโบราณขอพาไปส่องข้อความบนปกคัมภีร์ใบลานเมื่อ 100 ปีก่อน !!! เนื้อหามีดังนี้                        ก่อนที่เราจะไปส่องข้อความบนปกคัมภีร์ใบลานเมื่อ 100 ปีก่อน ขออธิบายข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเอกสารโบราณประเภทหนังสือใบลานหรือคัมภีร์ใบลานเพื่อสร้างความเข้าใจของผู้อ่านก่อนเข้าสู่ประตูห้องอีสานศึกษา                        หนังสือใบลาน หรือ คัมภีร์ใบลาน คือ เอกสารโบราณประเภทหนึ่งที่บันทึกสรรพวิชาการต่าง ๆ ลงบนใบของต้นลาน เนื้อหาที่บันทึกเกี่ยวกับทางโลก เช่น วรรณกรรมพื้นบ้าน ตำรายา โดยทั่วไปเรียกว่า หนังสือใบลาน หากเนื้อหาที่บันทึกเกี่ยวกับทางธรรม เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จึงเรียกว่า คัมภีร์ใบลาน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักนิยมเรียกเหมารวมทั้งหมดว่า คัมภีร์ใบลาน                        กรรมวิธีการบันทึกตัวอักษรลงบนใบลานนั้น หากใช้เหล็กจารบันทึกตัวอักษร เรียกว่า การจาร อักษรที่ถูกบันทึก เรียก เส้นจาร หากใช้ปากกาคอแร้งหรือปากกาปากไก่จุ่มหมึกบันทึกตัวอักษร เรียกว่า การชุบ อักษรที่ถูกบันทึก เรียก เส้นชุบ/เส้นชุบหมึก ซึ่งในปัจจุบันมีเส้นพิมพ์ที่จัดทำขึ้นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มักพบเห็นได้จากร้านค้าที่ขายเครื่องสังฆภัณฑ์หรือทางออนไลน์                        ข้อความที่ระบุบนปกใบลานนั้นถือเป็นหลักฐานสำคัญและมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาและที่มาของเอกสารโบราณ โดยเฉพาะกับนักภาษาโบราณและผู้ที่มีความสนใจในด้านเอกสารโบราณ เมื่อออกสำรวจหรือพบเอกสารโบราณหากบนปกของเอกสารโบราณได้ระบุชื่อเรื่อง ชื่อผู้สร้าง หรือปีที่สร้าง จะทำให้การทำงานของนักภาษาโบราณสะดวกและรวดเร็วขึ้น และง่ายต่อการศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาภายในเรื่อง อีกทั้งการระบุชื่อผู้สร้าง ชื่อเรื่อง ปีที่สร้าง หรือวัตถุประสงค์ในการสร้างนั้น ล้วนสะท้อนและแสดงถึงวัฒนธรรมในยุคนั้น ๆ ผ่านตัวอักษร ได้เห็นวิวัฒนาการของตัวอักษรและภาษาที่ใช้ในแต่ละยุคสมัย ความเชื่อ ความศรัทธาของผู้สร้าง                        องค์ประกอบของปกใบลานแต่ละหมายเลข คือ                        1 = ชื่อผู้สร้าง                        2 = วัตถุประสงค์ของผู้สร้าง                        3 = สิ่งที่ผู้สร้างปรารถนา                        4 = ที่อยู่ผู้สร้าง                        5 = ปีที่สร้าง                        6 = ชื่อเรื่อง                        โดยส่วนใหญ่ข้อความที่ระบุบนปกหนังสือใบลานหรือคัมภีร์ใบลานนั้น มักระบุเพียงแค่ชื่อเรื่อง มีจำนวนน้อยที่จะระบุชื่อผู้สร้าง ปีที่สร้าง หรือวัตถุประสงค์ในการสร้าง ซึ่งคัมภีร์ใบลานเรื่อง อานิสงส์บรรพชาผูกนี้ถือเป็นอีกหนึ่งผูกที่ระบุข้อความบนปกได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ทราบที่มาของเอกสาร โดยระบุชื่อบุคคล(ชื่อผู้สร้าง) ชื่อสถานที่ วัตถุประสงค์ในการสร้าง สิ่งที่ผู้สร้างปรารถนา ปีที่สร้าง และชื่อเรื่อง ซึ่งเอกสารโบราณภายในห้องอีสานศึกษานั้นยังมีผูกอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งที่ปรากฏชื่อผู้สร้าง ปีที่สร้าง และชื่อเรื่อง มีทั้งผู้สร้างที่เป็นบุคคลสำคัญ ได้แก่ท่านพญาปลัด คุณผู้หญิงโม และบุคคลทั่วไป และแม้จะเป็นบุคคลสำคัญหรือไม่สำคัญ บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียง แต่สำหรับนักภาษาโบราณเอกสารทุกเล่มทุกฉบับทุกผูกที่ท่านได้สร้างไว้นั้นเปรียบเสมือนครูอาจารย์ที่ได้ถ่ายทอดสรรพวิชาการความรู้ต่าง ๆ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ ได้สืบทอดสรรพวิชาการเหล่านั้นจากรุ่นสู่รุ่นเพื่ออนุรักษ์และคงอยู่สืบต่อไป                        หากท่านใดสนใจศึกษาเพิ่มเติม เรียนเชิญได้ที่ห้องอีสานศึกษา ชั้น 2 หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา ค่ะ   บรรณานุกรม • “อานิสงส์บรรพชา” หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา.  หนังสือใบลาน 1 ผูก. อักษรขอม-ไทย.  ภาษาบาลี – ไทย.  เส้นจาร.  ฉบับทองทึบ.  พ.ศ.๒468. เลขที่ นม.บ.180/2. • สำนักหอสมุดแห่งชาติ.  คู่มือสำรวจ จัดหา รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศเอกสารโบราณ ประเภทคัมภีร์ใบลานและหนังสือสมุดไทย.  พิมพ์ครั้งที่ 2.  กรุงเทพฯ: สำนักหอสมุดแห่งชาติ, 2563.   เรียบเรียงโดย นางสาวกุลริศา รัชตะวุฒิ นักภาษาโบราณ กราฟิกโดย นายพีรยุทธ กษิติบดินทร์ชัย บรรณารักษ์ปฏิบัติการ


ชื่อวัตถุ  ธรรมจักร ศิลปะ  ทวารวดี พุทธศตวรรษที่  ๑๓ – ๑๔ ขนาด  เส้นผ่านศูนย์กลาง ๘๐ ซ.ม. วัสดุ  หินทราย ขุดค้นพบที่  แหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง ตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี  จังหวัดสิงห์บุรี สถานที่เก็บรักษา ห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ลักษณะ ประติมากรรมรูปวงล้อ มี ๑๒ ซี่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกของพระพุทธเจ้า โดยทรงแสดงธรรมเทศนาให้แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน     เปรียบเหมือนวงล้อราชรถของพระมหาราชาที่ขับเคลื่อนไปในทุกๆที่ เช่นเดียวกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกเผยแพร่ดุจวงล้อธรรมที่เคลื่อนไป พระธรรมเทศนาในครั้งนี้จึงถูกเรียกว่า “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ชื่อวัตถุ  พระพุทธรูปยืนปางประทานธรรม (ปางวิตรรกมุทรา) ศิลปะ  ทวารวดี พุทธศตวรรษที่  ๑๓ – ๑๔ ขนาด สูงรวมฐาน ๘๐ ซ.ม.กว้าง ๑๙ ซ.ม. วัสดุ  หินเขียว ขุดค้นพบที่  แหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง ตำบลห้วยชัน  อำเภออินทร์บุรี  จังหวัดสิงห์บุรี สถานที่เก็บรักษาห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ลักษณะ เป็นประติมากรรมที่ยังทำไม่แล้วเสร็จ ที่เห็นชัดกว่าส่วนอื่น คือ  พระพักตร์รูปไข่ พระเนตรเหลืบมองต่ำ ครองจีวรห่มคลุม พระหัตถ์สองข้างสลักติดกับพระวรกายชิดกัน พระหัตถ์ยกขึ้นสูงเสมอพระอุระ ถึงแม้จะยังสลักไม่เสร็จ แต่ก็เห็นร่องรอยว่ากระทำปางประทานธรรม  พระเศียรและพระอุษณีษะยังมีลักษณะเป็นโกลน ชื่อวัตถุ  พระศรีอริยเมตไตรย ศิลปะ  รัตนโกสินทร์ ขนาด ตักกว้าง ๖๗.๕ ซ.ม. สูง ๗๔ ซ.ม. สูงพร้อมฐาน ๘๙ ซ.ม. วัสดุ  ทองเหลือง สถานที่เก็บรักษาห้องจัดแสดงอัฐบริขาร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ลักษณะ           ประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์แสดงธรรม ประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานดอกบัว พระหัตถ์ขวาวางคว่ำเหนือพระชานุ พระหัตถ์ซ้ายวางเหนือพระเพลาถือด้ามตาลปัตรแบบแว่นแก้วบังพระพักตร์ พัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ กลางตาลปัตรเป็นช่องโปร่ง มีคติเรื่องราวที่มาการสร้างตามพระไตรปิฎก คัมภีร์ และวรรณกรรมทางศาสนาที่ว่าพระศรีอริยเมตไตรยเป็นพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีคอยช่วยเหลือสัตว์โลก บรรลุถึงพุทธภูมิอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตรอเวลาที่จะเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลกตรัสรู้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในอนาคต ชื่อวัตถุ  เทวรูปฟ้อนรำ (ส่วนยอดของเสาธง) ศิลปะ  ลพบุรี ขนาด สูง ๑๒.๘ ซ.ม. วัสดุ  สำริด สถานที่เก็บรักษาห้องจัดแสดงอัฐบริขาร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ชื่อวัตถุ             พระพุทธเจ้าเข้านิพพาน ศิลปะ               รัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ๒๕ ขนาด               กว้าง ๘.๗ ซ.ม. ยาว๒๐ ซ.ม. สูงพร้อมฐาน ๑๙.๕ ซ.ม. วัสดุ                 ทองเหลือง สถานที่เก็บรักษาห้องจัดแสดงอัฐบริขาร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ลักษณะ           ประติมากรรมรูปหีบศพ ตั้งบนฐานสูงมีพระพุทธบาทยื่นออกมาออกมาจากหีบพระศพ    มักประกอบไปด้วยรูปภิกษุสาวก แสดงการสักการบูชาหรืออยู่ในอากัปกิริยาต่างๆกัน ๓ – ๔ รูป มีคติเรื่องราวที่มาการสร้างตาม มหาปรินิพพานสูตรในคัมภีร์ทีฆนิกายมหาวรรค เมื่อครั้งที่พระมหากัสสปเถระ ได้ทำการสักการะบูชาพระบรมศพของพระพุทธเจ้า ตั้งอธิษฐานขอให้พระบาททั้งสองของพระบรมศาสดาเคลื่อนจากหีบรองรับหัตถ์ทั้งสอง พระบาททั้งสองออกมาปรากฏอยู่ภายนอกเมื่อพระมหาเถระถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าพร้อมทั้งภิกษุบริวารและมหาชนได้ถวายนมัสการพระบาทยุคลทั้งสิ้นแล้ว พระบาททั้งสองก็กลับคืนเข้าสู่หีบพระศพดังเดิมเป็นอัศจรรย์ ชื่อวัตถุ  พัดรอง  (งานพระราชพิธีเฉลิมพระสุพรรณบัฎ พระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ พระอรรคชายา รวม ๘ พระองค์) ศิลปะ  รัตโกสินทร์    ขนาดกว้าง ๔๐.๓ ซ.ม.  ยาว ๔๗.๒  ซ.ม. ด้ามยาว ๕๒.๖ ซ.ม. วัสดุ  ผ้า ด้ามไม้ สถานที่เก็บรักษาห้องจัดแสดงอัฐบริขาร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ลักษณะ เป็นพัดหน้านาง ทำด้วยผ้ากำมยี่สีแดง ตรงกลางปักดิ้นทองและไหมสี รูปพระเกี้ยว ๘ องค์ ล้อมด้วยดาว ด้านล่างปักอักษร ๑๒๕๐ บนริบบิ้น ด้านหลังเป็นผ้าสีชมพู ปักอักษรพระนามทั้ง ๘ องค์ นมพัดรูปพุ่มข้าวบิณฑ์ งาแกะสลักด้ามไม้ประดับมุก สันงากลึง เป็นงานปักของงานที่ระลึกเฉลิมพระสุพรรณบัฎเจ้านาย ๘ พระองค์ ซึ่งใส่อยู่ในกรอบรูป เข้าใจว่าเป็นงานต้นแบบที่ส่งมาถวายรัชกาลที่ ๕ เพื่อทอดพระเนตรก่อนการสั่งทำ พัดรองงานเฉลิมพระสุพรรณบัฎพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอและพระอรรคชายาเธอรวม ๘ พระองค์ เมื่อ จ.ศ.๑๒๕๐ (พ.ศ. ๒๔๓๑) คือ                   ๑. พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร                    ๒. พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร                    ๓. พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าเยาวมาลย์นฤมล                    ๔. พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้านภาจรจำรัสศรี                    ๕. พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนนภาดารา                    ๖. พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้านิภานภดล                    ๗. พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค                    ๘. พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวีลภิรมย์ ชื่อวัตถุ  พัดรอง พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ศิลปะ  รัตโกสินทร์    ขนาดกว้าง ๓๖.๕ ซ.ม.  ยาว ๔๑ ซ.ม. ด้ามยาว ๕๒ ซ.ม. วัสดุ  ผ้า ด้ามไม้สันทองเหลือง สถานที่เก็บรักษาห้องจัดแสดงอัฐบริขาร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี ลักษณะ เป็นพัดหน้านาง ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ ตรงกลางปักไหมรูปช้างไอราพต (ช้าง ๓ เศียร) ทูนวชิรปราสาท ขนาบด้วยเทวดา เชิญอภิรุมชุมสาย ช้างไอราพตนั้นยืนบนแท่นเหนือปุยเมฆ นมพัดเป็นสีเหลือง รูปกลมขอบหยักประดับมุกและแกะข้อความว่า “งานบรมราชาภิเษกสมโภช ร.ศ.๑๓๐” ด้ามไม้ประดับมุก สันทองเหลือง (พัดรองที่ระลึกงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๕๔ (ร.ศ.๑๓๐) เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว ได้ทรงประกอบงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชอย่างสมพระเกียรติ เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔)


พิพิธิภัณฑสถานแห่งชาติเสมือนจริง นครศรีธรรมราช : www.virtualmuseum.finearts.go.th/nakhonsithammarat     การจัดตั้งประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เริ่มต้นจากการที่หน่วยศิลปากรที่ 8 กรมศิลปากร สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 11 นครศรีธรรมราช(ปัจจุบันคือสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลโบราณสถานในเขตภาคใต้ตอนบนในปี พุทธศักราช 2507 ดำเนินการขุดแต่งบูรณะเจดีย์ยักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชระหว่างปี พุทธศักราช 2509 ถึง พุทธศักราช 2510 ได้โบราณวัตถุเป็นจำนวนมากแต่ไม่มีสถานที่เก็บรักษานอกจากนั้นยังมีโบราณวัตถุที่ได้จากกการสำรวจขุดค้นในท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต รวม 7 จังหวัด     รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของการเก็บรวบรวมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุต่าง ๆ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ไว้ในที่แห่งเดียวกันและจัดตั้งแสดงตามหลักสากลเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การศึกษาค้นคว้าของนักเรียนักศึกษาและบรรดาผู้สนใจจึงอนุมัติงบประมาณให้กรมศิลปากรจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช     เมื่อปี พุทธศักราช 2513 โดยมีบริษัทพาณิชย์การไม้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง การก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จในปี พุทธศักราช 2517 ใช้งบประมาณเป็นเงิน 2,100,000 บาท ค่าจัดทำรั้วและถนนเป็นเงิน 500,000  บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเป็นเงิน 2,600,000 (สองล้านหกแสนบาทถ้วน) สถาปนิกผู้ออกแบบคือ นายไพรัช ชุติกุล นายช่างพิเศษกองสถาปัตยกรรมผู้จัดแสดงโบราณวัตถุศิลปวัตถุ คือ นางจิรา จงกล ภัณฑารักษ์เอก นางสาวณัฏฐภัทร นาวิกชีวิน ภัณฑารักษ์ตรี นายเอกจารี พลกร ช่างตรี และนายอิทธิ ศาสตร์วิเศษวงษาช่างศิลปะตรีกองโบราณคดีกรมศิลปากร     เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดากิติวัฒนาดุลยโสภาคย์ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี)ทรงประกอบพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราชนับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในภูมิภาคแห่งที่ 6 ที่ทรงประกอบพิธีเปิด (แห่งแรกคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินี้เป็นพิพิธภัณฑสถานประเภทศิลปะโบราณคดี     ปีพุทธศักราช 2539 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ต่อเติมในส่วนที่ 2 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 11,800,000 บาท ก่อสร้างโดยบริษัทดำรงก่อสร้างวิศวจำกัดแล้วเสร็จสิ้นในปีพุทธศักราช 2540 ใช้เป็นอาคารสำนักงานอาคารอเนกประสงค์จัดแสดงนิทรรศการพิเศษและกิจกรรมต่างๆ     ปีพุทธศักราช 2543 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารคลังพิพิธภัณฑ์ ค.ส.ล. 2 ชั้น พื้นที่ประมาณ 260 ตารางเมตร 1 หลังและอาคารจัดแสดงโบราณวัตถุกลางแจ้ง ค.ส.ล. ชั้นเดียวพื้นที่ประมาณ 144 ตารางเมตร 1 หลังด้วยเงินงบประมาณ 3,596,000 บาท (สามล้านห้าแสนเก้าหมื่นหกพันบาทถ้วน) ก่อสร้างโดยบริษัทมงคลวิทย์จำกัด     ปีพุทธศักราช 2552 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้รับงบประมาณ (เงินเหลือ - จ่าย) ปรับปรุงทาสีอาคารเป็นเงิน 1,320,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนสองหมื่นบาทถ้วน) โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดวรรัตน์ค้าไม้     ปีพุทธศักราช 2553 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้รับเงินงบประมาณเพื่อจัดทำแผนแม่บทการจัดแสดงนิทรรศการถาวรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เป็นเงิน 450,000 บาท โดยบริษัทซิต้านีออนดิสเพลส์แอนด์คอนสตั๊คชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด     ปีพุทธศักราช 2554 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้รับงบประมาณโครงการปรับปรุงการจัดนิทรรศการถาวรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ห้องก่อนประวัติศาสตร์เป็นเงิน 3,990,000 บาท (สามล้านเก้าแสนบาทถ้วน) โดยบริษัทเซียมเวิร์คจำกัด     ปีพุทธศักราช 2556 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้รับงบประมาณปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการถาวรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ห้องศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นเงิน 5,780,000 บาท (ห้าล้านเจ็ดแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) โดยบริษัทเซียมเวิร์คจำกัดปีพุทธศักราช 2558 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้รับงบประมาณปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการถาวรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ห้องศาสนาพุทธเป็นเงิน 15,000,000 บาท โดยบริษัทเซียมเวอร์คสจำกัด     ปีพุทธศักราช 2558 พิพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราชได้รับงบประมาณปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการถาวรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ห้องศาสนาพุทธ เป็นเงิน 15,000,000 บาท โดยบริษัท เซียมเวอร์คส จำกัด     ปีพุทธศักราช 2559 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้รับงบประมาณปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการถาวรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ห้องประณีตศิลป์ห้องพระรัตนธัชมุนีห้องบรรยายสรุปพร้อมติดตั้งเครื่องปรับอากาศเป็นเงิน 14,489,947 บาท (สิบสี่ล้านสี่แสนแปดหมื่นเก้าพันเก้าร้อยสี่สิบเจ็ดบาทถ้วน) โดยบริษัทเซียมเวอร์คสจำกัด  





สำนัก 13


พบเครื่องถ้วยชามลายน้ำทอง มีพระบรมฉายาลักษณ์ ร.5 ที่กาน้ำ และจาน ไม่ทราบว่ามีจริงหรือไม่ เนื่องจากไม่เคยเห็นในหนังสือ รวมทั้งภาพใน Internet ขอทราบรายละเอียดด้วยครับ



          เป็นหนังสือรวบรวมสุภาษิตของสุนทรภู่ โดยคัดจากนิราศต่างๆ เช่น นิราศพระบาท นิราศอิเหนา นิราศพระแท่นดงรัง และจากวรรณคดีที่เป็นบทประพันธ์ของสุนทรภู่ ซึ่งให้ข้อคิดและคติเตือนใจ เช่น           "อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก            สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย"                        หรือ           "การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ            ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน"           (จากเรื่องพระอภัยมณี)


***บรรณานุกรม***  นางกุลทรัพย์  เกษแม่นกิจ บทกวีนิราศตามคลองบางกอกน้อยถึงบางใหญ่  กรมศิลปากรจัดพิมพ์เป็นคู่มือทัศนศึกษา โครงการประกาศเกียรติคุณครูภาษาไทยดีเด่น 15 พฤศจิกายน 2529 กรุงเทพฯ  ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสหประชาพาณิชย์ 2529


***บรรณานุกรม*** หนังสือหายาก พระธรรมสิริชัย.  นิบาตชาดก วีสตินิบาต พิมพ์เป็นที่ระลึกคล้ายวันเกิด 22 มีนาคม 2505.  พระนคร : โรงพิมพ์อาศรมอักษร, ๒๕๐๕.


black ribbon.