ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,823 รายการ

          ตั้งแต่อดีตชาวจีนที่อพยพมายังสยามถือว่าเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพาณิชย์กันเลยทีเดียว เพราะชาวจีนมาความชำนาญในการค้าขาย มองเห็นช่องทางธุรกิจการค้าหากำไรได้อย่างดี อีกทั้งสามัคคีและรักพวกพ้อง           ชาวจีนในสยาม มีกล่าวถึงแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แต่ผู้เขียนขอเริ่มกล่าวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ที่มีเอกสารอ้างอิงได้เขียนไว้ว่า...การค้าทางทะเลเช่นเดียวกับการค้าขายในประเทศที่เกือบจะตกอยู่ใต้การควบคุมของชาวจีนโดยสิ้นเชิง...ชาวจีนที่อพยพมาสู่สยามในระยะนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะว่าราชสำนักสยามได้ปฏิบัติต่อชาวจีนเป็นอย่างดีเป็นพิเศษ...           ชาวจีนเหล่านี้ได้มาพัฒนาเกษตรกรรมเพื่อการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพริกไทยและอ้อย... เนื่องจากเมืองจันทบุรี เป็นเมืองท่ามาแต่โบราณ ชาวจีนจึงมาตั้งถิ่นฐานบริเวณหุบเขาของจันทบุรี(เขาสระบาป:ผู้เขียน) พร้อมทั้งปลูกพริกไทยเพื่อเป็นสินค้าออก และปลูกอ้อย เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสุรา และทำน้ำตาลทราย เพื่อส่งออกเช่นกัน ช่วงนั้นไร่อ้อยที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่จันทบุรีและฉะเชิงเทรา นอกจากนั้นยังบันทึกว่า ...ชาวจีนที่ทำการเกษตรส่วนใหญ่ของเมืองจันทบุรีเป็นจีนแต้จิ๋ว...           นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ชาวจีนได้มาตั้งถิ่นฐานในสยาม จวบจนทุกวันนี้ สิ่งยังพบได้ในชาวจีนคือการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น เช่นในวันตรุษจีน ชาวจีนต้องมีการ"จุดประทัด"ซึ่งเป็นคติความเชื่อของชาวจีนว่าเพื่อปัดเป่าความชั่วร้ายนั่นเอง           ในเอกสารจดหมายเหตุ ชุดมณฑลจันทบุรี ช่วงพ.ศ.2470 พ.ศ.2472 และ พ.ศ.2473 พบการประกาศเรื่องการจุดประทัดในช่วงตรุษจีนว่าอนุญาตให้จุดได้แต่ต้องหาของมาครอบไม่ให้เปลวไฟกระเด็นไปในที่ต่างๆอาจเกิดอันตรายและป้องกันอัคคีภัย          จากเอกสารจดหมายเหตุชุดนี้อาจจะเหมือนมีข้อมูลเพียงเล็กน้อย แต่ในมุมมองของผู้เขียนมองว่าหน่วยงานราชการในสมัยนั้นได้ให้ความสำคัญและให้เกียรติกับชาวจีนเสมอกับชาวไทยนั่นเอง เนื่องในวันตรุษจีนปีนี้ ในฐานะที่ผู้เขียนเองก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนคนหนึ่ง(บรรพบุรุษแซ่ลี้)จึงขออวยพรให้ทุกท่านและครอบครัวมีความสุขสมปรารถนาทุกประการนะคะ ---------------------------------------------------------ผู้เขียน : นางสุมลฑริกาญจณ์ มายะรังษี นักจดหมายเหตุชำนาญการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี---------------------------------------------------------อ้างอิง หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี. (13)มท1.1/37 เอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดมณฑลจันทบุรี. เรื่องส่งประกาศจุดประทัดในลัทธิตรุสจีน (18 มกราคม 2470) หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี. (13)มท1.1/53 เอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดมณฑลจันทบุรี. เรื่องประกาศจุดประทัดในวันตรุสจีนประจำ พ.ศ. 2472 (28 มกราคม 2472) หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี. (13)มท1.1/59 เอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดมณฑลจันทบุรี. เรื่องประกาศจุดประทัดในวันตรุษจีน ประจำ พ.ศ. 2473 (11 กุมภาพันธ์ 2473) สารสิน วีระผล. (2548). จิ้มก้องและกำไรการค้าไทย-จีน. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย.


     มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๐๗ วันประสูติเสด็จอธิบดี      พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี หรือที่เรียกกันว่า เสด็จอธิบดี ทรงเป็นอธิบดีหญิงพระองค์แรกของสยาม มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๖๘ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๐๗ มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดาเดียวกัน ๔ พระองค์ ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าแดง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเขียว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน และสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี      ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ประพาสทวีปยุโรป และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน พระองค์เจ้านภาพรประภาทรงได้รับตำแหน่งอธิบดีกรมโขลน ขึ้นอยู่ในสังกัดกระทรวงวัง ซึ่งชาววังพากันเรียกว่า “เสด็จอธิบดี”      เสด็จอธิบดีนอกจากจะทรงบังคับว่าราชการฝ่ายในแล้ว ยังได้ทรงทำหน้าพระอภิบาลพระราชโอรสพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา คือ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา      ในรัชกาลที่ ๖ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ยังทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีบัญชาราชการฝ่ายในทั่วไป และในตอนปลายรัชสมัยทรงรับหน้าที่เป็นผู้แทนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลในวาระสำคัญต่างๆ ในฐานะพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ และในรัชกาลนี้ทรงได้รับเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ ๑ เป็นพระเกียรติยศ      ในรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ได้ทรงปฏิบัติราชการแผ่นดินในตำแหน่งอธิบดีบัญชาราชการฝ่ายในสืบมาถึง ๓ รัชกาล เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ให้ทรงกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี และยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ และเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ ๑ เป็นพระเกียรติยศ      ภายหลังการเปลี่ยนการปกครอง เมื่อพุทธศักราช ๒๕๗๕ เสด็จอธิบดี ได้ตามเสด็จสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระนัดดา ไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย จนถึงพุทธศักราช ๒๔๘๙ จึงเสด็จกลับประเทศไทยพร้อมพระญาติในราชสกุลบริพัตร      ในพุทธศักราช ๒๔๙๓ เมื่อคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๙  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี ในฐานะที่เป็นพระบรมวงศ์ฝ่ายในที่มีพระชันษามาก พระองค์พร้อมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี พระขนิษฐา เป็นผู้ลาดพระที่ถวายในคราวนั้นด้วย      ครั้นเสด็จกลับมาเมืองไทยแล้ว ทรงประทับที่วังสวนผักกาด ต่อมาเมื่อมีพระชันษาสูงขึ้น รัชกาลที่ ๙  มีรับสั่งให้สร้างตำหนักเล็กอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อเสด็จอธิบดีจะได้ไปประทับและพระองค์ก็เสด็จไปประทับอยู่ที่นั้นตราบสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๑ สิริพระชันษา ๙๔ ปี   ภาพ : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี


          นอกจาก กู่บ้านกุดยาง แล้ว ในเขตพื้นที่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ ยังพบร่องรอยหลักฐานการมีอยู่ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมรอีกหลายแห่ง อาทิ โบราณสถานปรางค์บ้านตาล โบราณสถานสบน้ำมัน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของกู่บ้านหัวสระ ห่างไปประมาณ 4 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร          ร่องรอยของกู่บ้านกุดยาง ปรากฏให้เห็นเฉพาะส่วนฐานของสิ่งก่อสร้าง จากหลักฐานพบว่า กู่บ้านหัวสระ มีปราสาทประธานหลังเดียว หันด้านหน้าไปทางตะวันออก ก่อสร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย ส่วนฐานชั้นล่างสุดถูกฝังจมอยู่ใต้ดินทั้งหมด ไม่เห็นรูปทรงที่ชัดเจนและไม่สามารถตรวจสอบขนาดความกว้าง – ความยาวได้ บนผิวดินพบร่องรอยของหินทรายสีแดงที่วางเรียงเป็นกรอบส่วนฐานของชั้นเรือนธาตุของปราสาท แผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม ขนาดกว้าง – ยาว ด้านละประมาณ 4.30 เมตร ทางด้านตะวันออกที่ตำแหน่งประตูทางเข้า พบร่องรอยของหินกรอบประตูและเสาประดับกรอบประตู ทั้ง 2 ข้าง นอกจากนี้ที่ทางด้านตะวันออก ยังพบหลักฐานหินทรายสีแดงวางเรียงเป็นกรอบฐานของห้องมุข ขนาดกว้าง 2.50 เมตร ยื่นออกมากจากฐานของปราสาท ระยะ 1.50 เมตร เหนือจากส่วนฐานขึ้นไปซึ่งตามรูปแบบแล้วจะเป็นส่วนเรือนธาตุและชั้นยอดของปราสาท พังทลายลงหมดแล้ว           ด้านทิศตะวันออกของกู่บ้านหัวสระ ระยะทางประมาณ 140 เมตร ปรากฏบารายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 150 เมตร ยาว 220 เมตร ปัจจุบันได้รับการขุดลอกและปรับปรุงแล้ว มีการใช้ประโยชน์ในการเก็บกักน้ำ จากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่พบและวัสดุที่นำมาใช้สร้างปราสาท จึงสันนิษฐานว่ากู่บ้านหัวสระมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18             นอกจาก กู่บ้านกุดยาง แล้ว ในเขตพื้นที่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ ยังพบร่องรอยหลักฐานการมีอยู่ของปราสาทในวัฒนธรรมเขมรอีกหลายแห่ง อาทิ โบราณสถานปรางค์บ้านตาล โบราณสถานสบน้ำมัน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของกู่บ้านหัวสระ ห่างไปประมาณ ๔ กิโลเมตร และ ๑๐ กิโลเมตร --------------------------------------------------------------ข้อมูลโดย นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา--------------------------------------------------------------



ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 13. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2509.          ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 13 นี้ รวมเรื่องราวต่างๆ ไว้ 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องตำนานวังหน้า เทศนาบวรราชประวัติ และเรื่องพระนามเจ้านายในพระราชวังบวร


          หอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญชวนร่วมกิจกรรมประกวดภาพถ่าย "แต่งชุดไทยชมตู้ลายทอง" เพื่อลุ้นรับ "หนังสือตู้ลายทอง ภาค ๑ (สมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี)" จำนวน ๑๐ รางวัล เพียงถ่ายภาพตัวท่านในชุดไทยย้อนยุคกับตู้ลายทองที่จัดแสดงภายในนิทรรศการตู้ลายทอง และนิทรรศการเหรียญที่ระลึกในสมัยรัชกาลที่ ๕ ณ อาคารถาวรวัตถุ (ตึกแดง) กติกาในการร่วมประกวด มีดังต่อไปนี้           -เป็นบุคคลทั่วไป ไม่จำจัดเพศ อายุ           -ผู้เข้าประกวดต้องกด Like แฟนเพจของหอสมุดแห่งชาติและส่งผลงานด้วยการโพสต์รูปจำนวน ๑ ภาพ บนหน้าบัญชีเฟซบุ๊กของท่าน พร้อมระบุชื่อ-สกุล ตามด้วย #แต่งชุดไทยชมตู้ลายทอง #หอสมุดแห่งชาติ #กรมศิลปากร พร้อมเปิดโพสต์นั้นให้เป็นสาธารณะ จากนั้น Capture โพสต์ภาพถ่ายที่จะส่งเข้าประกวด และนำมา comment ในโพสต์นี้ เพื่อยืนยันการเข้าร่วมประกวด            -ภาพที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นภาพของตัวท่านแต่งกายด้วยชุดไทยย้อนยุค ถ่ายกับตู้ลายทองที่จัดแสดงภายในนิทรรศการตู้ลายทอง และนิทรรศการเหรียญที่ระลึกในสมัยรัชกาลที่ ๕ ณ อาคารถาวรวัตถุ (ตึกแดง) โดยโพสต์เพียง ๑ ภาพ ต่อ ๑ โพสต์ ต่อ ๑ บัญชี           -ภาพที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นภาพต้นฉบับและต้องไม่ปรากฏลายน้ำ เครดิตภาพ ตัวอักษรหรือกราฟิกใด ๆ บนภาพถ่าย และห้ามเว้นขอบภาพเป็นสีขาว และ/หรือสีใด ๆ           -ภาพที่ส่งเข้าประกวดห้ามเปลี่ยนแปลงและต่อเติมภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้เกินจากความเป็นจริง แต่สามารถตกแต่งด้วยคอมพิวเตอร์ได้บ้าง เช่น การปรับสี และแสง เพื่อให้ภาพถ่ายมีความสมบูรณ์มากขึ้น           -ส่งผลงานเข้าประกวดได้ ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔           -ผลตัดสินการประกวดภาพถ่ายจะประกาศภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๔            -ผู้ที่ได้รับรางวัลสามารถดูผลการประกวดได้จากเฟซบุ๊กแฟนเพจของหอสมุดแห่งชาติ โดยหอสมุดแห่งชาติจะทำการติดต่อท่านผ่านทาง Inbox ภายหลังประกาศผลแล้ว           -เกณฑ์การตัดสิน/การให้คะแนน จะพิจารณาจากคำตัดสินของคณะกรรมการจากกรมศิลปากร จำนวน ๕ ท่าน           -การตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด           ผู้สนใจร่วมกิจกรรมประกวดภาพถ่าย "แต่งชุดไทยชมตู้ลายทอง" สามารถสอบถาม หรือ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ เฟสบุ๊กแฟนเพจ : National Library of Thailand ตามลิ้งนี้  www.facebook.com


       ชื่อผลงาน: จิตรกรรมประกอบโคลงพระราชพงศาวดาร      ศิลปิน: ไม่ปรากฏนาม      เทคนิค: จิตรกรรมสีฝุ่นบนแผ่นไม้      ขนาด: กว้าง 70 ซม. สูง 48 ซม.      อายุสมัย: รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 พุทธศักราช 2430      รายละเอียดเพิ่มเติม: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการประกวดแต่งโคลงประกอบพระราชพงศาวดาร และเขียนภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ประกอบโคลง ในงานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ พุทธศักราช 2430 งานจิตรกรรมชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเด่นของภาพชุดโคลงพงศาวดาร ซึ่งถ่ายทอดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตอน เพลิงไหม้พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องจากเหตุฟ้าผ่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) เมื่อพุทธศักราช 2332        Title: illustrated chronicle painting with poetry      Artist: anonymous      Technique: tempera on wooden panel      Size: 70 × 48 cm.      Period: Rattanakosin era, 1887 in the reign of King Chulalongkorn (Rama V)      Detail: His Majesty King Chulalongkorn (Rama V) ordered to ran a painting competition as illustrations for the royal Thai chronicle, in a memorable event upon the royal cremation ceremony for His Majesty’s child in 1887. One of these paintings which considered a remarkable piece, depicted a historical event of a fire incident at Amarindara Bishek Throne Hall in The Royal Grand Palace complex as an effect of a lightning strike, occurred in 1789 in the reign of Somdej Phra Puttha Yodfah (King Rama I).


ชื่อเรื่อง                     สทฺทนีติ (สิททาวิมาลา)สพ.บ.                       281/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               38 หน้า : กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 58.6 ซ.ม. หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                                        บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                บทสวดมนต์ (มหาสมัยสูตร) สพ.บ.                                  331/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           38 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา—บทสวดมนต์                                          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี



เลขทะเบียน : นพ.บ.182/5กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  38 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 104 (101-109) ผูก 5ก (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันธ์ขันธ์ --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)  ชบ.บ.88ก/1-13  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (มทฺรี-นครกัณฑ์)  ชบ.บ.106ข/1-11ก เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.346/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 26 หน้า ; 4.5 x 57.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 134  (370-377) ผูก 1ก (2565)หัวเรื่อง : นิพฺพานสุตฺต (นิพพานสูตร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          โบราณสถานบนเขาดีสลัก (วัดเขาดีสลัก) ตั้งอยู่ในตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี อยู่ห่างจากเมืองโบราณอู่ทองไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๑ กิโลเมตร บนเขาดีสลักเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญ ดังนี้           ๑. เจดีย์ทรงระฆัง ตั้งอยู่บนยอดเขา ปัจจุบันพังทลายเหลือแต่ส่วนฐานซึ่งได้รับการบูรณะแล้ว รูปแบบของเจดีย์องค์นี้ เป็นเจดีย์ทรงระฆังก่ออิฐสอปูน ตั้งอยู่บนลานหินในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลานหินนี้ก่อด้วยหินปูนธรรมชาติเพื่อปรับพื้นที่ก่อนการสร้างเจดีย์ มีบันไดขนาดใหญ่ทางด้านทิศตะวันออก และบันไดขนาดเล็กทางด้านทิศตะวันตก การปรับพื้นที่ด้วยหินธรรมชาติพบอยู่ทั่วไปสำหรับการสร้างศาสนสถานบนภูเขา ในพื้นที่ใกล้เคียงพบการก่อหินปูนปรับพื้นที่ในลักษณะเดียวกันนี้ ได้แก่ เจดีย์บนเขาทำเทียมใกล้เมืองโบราณอู่ทอง และโบราณสถานบนยอดเขาวงศ์ วัดเขาวงศ์ ตำบลพลับพลาไชย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี           การกำหนดอายุเจดีย์องค์นี้จากรูปแบบของส่วนฐาน ซึ่งประกอบด้วย ฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย ในผังสี่เหลี่ยมรองรับฐานบัวคว่ำบัวหงายในผังกลม อันเป็นรูปแบบของเจดีย์ทรงระฆังในศิลปะอยุธยา ทำให้สันนิษฐานได้ว่าส่วนที่หักหายไปน่าจะประกอบด้วย มาลัยเถา องค์ระฆัง บัลลังก์ ก้านฉัตร ปล้องไฉน และปลียอด ตามลำดับ รูปแบบดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับเจดีย์บนเขาทำเทียม จึงสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒ (ประมาณ ๔๐๐ – ๕๐๐ ปีมาแล้ว)           อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินงานทางโบราณคดีพบว่า เจดีย์องค์นี้ก่อด้วยอิฐสมัยอยุธยาแทรกด้วยอิฐสมัยทวารวดีเล็กน้อย จึงอาจเป็นไปได้ว่า เดิมเคยเป็นที่ตั้งของเจดีย์สมัยทวารวดีที่ถูกซ่อมแซมในสมัยอยุธยาจนไม่เหลือรูปแบบดั้งเดิม หรืออาจเป็นเจดีย์สมัยอยุธยาที่นำอิฐสมัยทวารวดีจากพื้นที่ใกล้เคียงมาใช้ในการก่อสร้างก็เป็นได้           ๒. รอยพระพุทธบาท ประดิษฐานอยู่ในมณฑปบริเวณไหล่เขา สลักจากหินทรายเป็นประติมากรรมแบบนูนต่ำ ไม่ใช่รอยพระพุทธบาทที่สลักเป็นหลุมลึกลงไปแบบรอยเท้ากดประทับ ดังนั้น รอยพระพุทธบาทนี้จึงไม่มีเรื่องราวหรือตำนานว่าด้วยการเสด็จมาประทับของพระพุทธเจ้า แต่เป็นรอยพระพุทธบาทที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งจัดเป็นอุเทสิกเจดีย์รูปแบบหนึ่ง           สำหรับลวดลายที่ปรากฏบนรอยพระพุทธบาท ได้แก่ ลายมงคล ๑๐๘ ประการ ในกรอบวงกลมเต็มฝ่าพระบาท นักวิชาการส่วนใหญ่สันนิษฐานว่าเป็นรอยพระพุทธบาทศิลปะทวารวดีตอนปลาย ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรโบราณ กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗            ทั้งนี้ จากรูปแบบการสลักลายในกรอบวงกลมเต็มฝ่าพระบาท ชวนให้นึกถึงการจัดวางลายในกรอบตารางของรอยพระพุทธบาทในศิลปะสุโขทัย - อยุธยา ซึ่งเมื่อพิจารณาจากระบบการจัดวางลายมงคล รูปแบบของลายในกรอบวงกลม และลายกระหนกที่นิ้วพระบาท เป็นรูปแบบของรอยพระพุทธบาทในศิลปะอยุธยา ซึ่งอาจจะสร้างขึ้นพร้อมกับเจดีย์บนยอดเขาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒ ก็เป็นได้           หลักฐานทางศิลปกรรมที่หลงเหลืออยู่บนเขาดีสลัก แสดงให้เห็นว่า ภูเขาแห่งนี้มีความสำคัญอย่างมากในสมัยอยุธยา เนื่องจากมีการสร้างเจดีย์บนยอดเขา รอยพระพุทธบาท และยังพบพระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยาอีกจำนวนหนึ่ง อนึ่ง การสร้างเจดีย์บนยอดเขา นอกจากจะทำหน้าที่เป็นหมุดหมาย (Land Mark) ของการเดินทางระหว่างบ้านเมืองหรือชุมชนแล้ว ยังเป็นหมุดหมายที่แสดงความเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากภูเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทด้วย   บรรณานุกรม กรมศิลปากร. "วัดเขาดีสลัก", ฐานข้อมูลระบบภูมิสารสนเทศแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของกรมศิลปากร เข้าถึงจาก http://gis.finearts.go.th/fineart/ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ กรมศิลปากร. โบราณวิทยาเรื่องเมืองอู่ทอง. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร, ๒๕๒๙. นันทนา ชุติวงศ์. รอยพระพุทธบาทในศิลปะเอเซียใต้และเอเชียอาคเนย์. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๓๓. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. เจดีย์ในประเทศไทย รูปแบบ พัฒนาการและพลังศรัทธา. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๐. สันติ เล็กสุขุม, ศิลปะอยุธยา: งานช่างหลวงแห่งแผ่นดิน, กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๑๕๔๒.


black ribbon.