ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,837 รายการ
เงินพดด้วง เป็นเงินตราที่ชาวไทผลิตขึ้นใช้ต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยการตัดโลหะเงินเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ได้น้ำหนักตามต้องการแล้วนำไปหลอมจากนั้นเทโลหะที่ละลายดีแล้วลงเบ้าไม้ที่แช่อยู่ในน้ำ จากนั้นนำมาทำให้งอโดยตอกแบ่งครึ่งด้วยสิ่วสองคม แล้วทุบปลายทั้งสองข้างเข้าหากันจนขดงอคล้ายตัวด้วง เงินพดด้วงที่ตีด้วยค้อนจนเข้ารูปแล้วจะถูกนำไปวางบนทั่งเหล็กหรือกระดูกขาช้าง เพื่อตอกประทับตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาลลงบนตัวเงิน เนื่องจากเงินพดด้วงเป็นเงินตราที่ใช้มาตราน้ำหนักเป็นมาตรฐานพิกัดราคา จึงไม่มีการระบุพิกัดราคาไว้บนตัวเงินเงินพดด้วงถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนในล้านนา จากการติดต่อค้าขายกับสุโขทัยและอยุธยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ยังคงมีการนำเงินพดด้วงมาใช้ในล้านนา เงินพดด้วงในสมัยรัตนโกสินทร์นี้มีตราจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน และมีตราอุณาโลม ครุฑ ปราสาทและมหามงกุฎประทับลงบนพดด้วง -----------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน -----------------------------------------------เอกสารอ้างอิง เงินตราล้านนา : นวรัตน์ เลขะกุล/ธนาคารแห่งประเทศไทย นพบุรีการพิมพ์ เชียงใหม่, ๒๕๕๕ เงินตราล้านนาและผ้าไท : ธนาคารแห่งประเทศไทย อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๔๓ เบี้ย บาท กษาปณ์ แบงค์ : นวรัตน์ เลขะกุล สนพ.สารคดี, ๒๕๔๗
องค์ความรู้ เรื่อง สะพานติณสูลานนท์ จัดทำข้อมูลโดย หอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
วัสดุในการก่อสร้างปราสาทสด๊กก๊อกธม • ไม้ เป็นวัสดุพื้นฐานที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารโดยทั่วไป ปราสาทเขมรมีการใช้ไม้มาทำเป็นประตู ฝ้าเพดาน และโครงสร้างหลังคา ปราสาทสด๊กก๊อกธมไม่พบหลักฐานที่เป็นไม้ อาจจะเกิดจากสภาพอากาศเป็นตัวแปรทำให้เสื่อมสภาพ แต่ก็มีการพบร่องเดือยบานประตู สันนิษฐานว่าบานประตูทำจากไม้ • กระเบื้องดินเผา จากการสำรวจปราสาทสด๊กก๊อกธมพบว่ามีการใช้กระเบื้องดินเผามามุงหลังคา • หินทราย เพราะเป็นวัสดุที่มีความมั่นคงแข็งแรง หาได้ง่าย สลักลวดลายง่าย และมีความงดงาม จึงได้รับความนิยมนำมาสร้างปราสาทขอมมากที่สุด การนำวัสดุประเภทหินมาใช้สร้างปราสาทนั้น ช่างขอมรู้จักมาแล้วตั้งแต่ในยุคแรกเริ่ม เช่นเดียวกับอิฐ แต่ในระยะแรก นำมาใช้ประกอบ เพื่อความมั่นคงแข็งแรง เช่น ทำเป็นส่วนฐานอาคาร เสา กรอบประตู ทับหลัง ปราสาทสด๊กก๊อกธมใช้หินทรายในการสร้างตัวอาคาร เป็นหลัก • ศิลาแลง เป็นวัสดุที่มีความคงทนและ แข็งแรง เมื่ออยู่ใต้ดินจะอ่อนตัวสามารถตัด เป็นรูปทรงที่ต้องการได้ง่าย แต่เมื่อสัมผัส กับอากาศแล้วจะแข็งตัว ไม่สามารถตกแต่งเป็นรูปทรงได้ ดังนั้น จึงนิยมใช้ศิลาแลงมาทำเป็นส่วนฐานของอาคาร เพราะสามารถรับ น้ำหนักได้ดี ปราสาทสด๊กก๊อกธมนั้นปรากฎเพียงมีการนำศิลาแลงมาก่อเป็นกำแพง ฐานและฉนวนทางเดิน -----------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : ปราสาทสด๊กก๊อกธม สำนักศิลปากรที่ ๕ https://www.facebook.com/104122911122606/posts/187544102780486/?extid=0&d=n-----------------------------------------------
วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑ เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่เดิมอีกทั้งยังเป็นวันเปลี่ยนปีนักษัตรด้วย ภายหลังเมื่อได้รับอิทธิพลของพราหมณ์จากอินเดียทำให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นเดือน ๕ จึงทำให้โหรเริ่มนับปีนักษัตรใหม่ที่เดือน ๕ ตามไปด้วยเช่นกัน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการประกาศให้วันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนจากการนับวันขึ้นปีใหม่ตามวัน เดือน ปี ของทั้งทางจันทรคติและสุริยคติที่ใช้ปะปนกันจนเกิดความสับสน จนกระทั่งภายหลังไทยได้ประกาศใช้วันขึ้นปีใหม่ตามแบบสากลที่ยึดเอาวันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ จึงทำให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับความเข้าใจในการเปลี่ยนปีนักษัตรตามไปด้วย ดังปรากฎภาพในบัตรอวยพรปีใหม่ตามสื่อออนไลน์ที่มีการใช้ภาพของปีนักษัตรใหม่มาใช้อวยพรกันในวันที่ ๑ มกราคม อย่างไรก็ดีปฏิทินหลวงพระราชทานยังคงกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑ เป็นวันขึ้นปีนักษัตรใหม่ ซึ่งนับเป็นร่องรอยหลักฐานสำคัญอันแสดงให้เห็นว่าวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑ เป็นวันขึ้นปีใหม่ และวันขึ้นนักษัตรใหม่ของไทยมาแต่เดิม
.........................................
ภาพ : ปฏิทินหลวง พุทธศักราช ๒๕๖๓ หน้า ๓๑
นายเอกลักษณ์ ลอยศักดิ์ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มประวัติศาสตร์ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
เลขทะเบียน : นพ.บ.115/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4.5 x 53 ซ.ม. : ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 65 (204-208) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : ธรรม 3 ไตร--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.147/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 90 (377-391) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺมปทฎกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.15/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ที่มาของโครงการ ผลจากการดำเนินงาน “โครงการสำรวจและปรับปรุงฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง” ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลาที่ผ่านมา พบว่าบริเวณอำเภอห้วยยอดเป็นแหล่งพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ โดยพบแหล่งโบราณคดีมากกว่า ๓๐ แหล่งและพบความต่อเนื่องของหลักฐาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ เรื่อยมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘ ซึ่งจากการดำเนินงานครั้งนั้น พบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าสนใจบริเวณ “กลุ่มแหล่งโบราณคดีเขานุ้ย - เขาคุรำ – เขาหัวพาน” ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง พบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น ชิ้นส่วนทองคำ ลูกเต๋าทำจากงาช้าง ลูกปัดทำจากหิน แก้ว ทอง ชิ้นส่วนเครื่องมือโลหะ เบ็ด เมล็ดข้าว ภาชนะดินเผาสามขา ชิ้นส่วนภาชนะดินเผารูปทรงต่างๆ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันทางชุมชนได้ร่วมกันจัดตั้งพิพิธภัณฑ์บ้านนาเปขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมโบราณวัตถุที่พบโดยชาวบ้านไว้ โดยในปีพ.ศ. ๒๕๖๓ ทางสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา ได้จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเข้าไปสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการโบราณคดีโดยการจัดทำป้ายนิทรรศการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์บ้านนาเป ดังนั้น เพื่อเป็นการเติมเต็มองค์ความรู้ทางด้านโบราณคดี และเป็นการอนุรักษ์ พัฒนาแหล่งโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากท่านประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากรและท่านอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร อนุมัติงบโครงการบูรณะโบราณสถานฉุกเฉินเร่งด่วนกรมศิลปากร ดำเนินการขุดค้นแหล่งโบราณคดีเขาคุรำโดยทำการศึกษาและเก็บข้อมูลทางด้านโบราณคดีอย่างเป็นระบบ ซึ่งผลที่ได้จากการศึกษา นอกจากจะเป็นประโยชน์ในวงการวิชาการแล้ว ยังสามารถนำไปต่อยอดในการหาแนวทางในการอนุรักษ์ พัฒนา และการบริหารจัดการแหล่งโบราณคดีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก่อให้เกิดการอนุรักษ์และรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน กิจกรรมของโครงการ ๑. ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีเขาคุรำ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ในวันที่ ๑๔ มกราคม - ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๔ ๒. จัดทำฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่พบภาชนะดินเผาสามขาในภาคใต้ ทั้งนี้ ทางสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา ต้องขอขอบพระคุณ พระอาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโมหรือพระครูรัตนสิกขการ เจ้าอาวาสวัดในเตา ลุงไพโรจน์ จงจิตร์ อดีตกำนันตำบลเขากอบ กำนันดำรงศักดิ์ วรรณบวร กำนันตำบลเขากอบ ผู้ใหญ่สุริยนต์ ทองศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๑๒ สจ.กิตติเดช วรรรณบวร หน่วยงานอบต.เขากอบ และชาวบ้านชุมชนบ้านนาเปทุกท่านที่สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา ทั้งนี้ ทางสำนัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินงานในครั้งนี้จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการช่วยกันอนุรักษ์รักษามรดกทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/1353302101674616?notif_id=1610699837950484¬if_t=page_post_reaction&ref=notif-----------------------------------------------------
เมืองศรีมโหสถ ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นเมืองโบราณที่มีพัฒนาการตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๘ หรือราว ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง ติดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ศรีมโหสถจึงเป็นทั้งเมืองท่าการค้าที่ติดต่อกับดินแดนโพ้นทะเล ศูนย์กลางการคมนาคมของบ้านเมืองตอนในของแผ่นดิน และเมืองชายฝั่งทะเลใกล้เคียง เมืองโบราณแห่งนี้จึงมีความหลากหลายในด้านศิลปวัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนา ที่เดินทางมาพร้อมกับผู้คนจากต่างแดน ด้วยพัฒนาการบ้านเมืองที่ยาวนาน จึงปรากฏการสร้างศาสนสถานทับซ้อนกันอยู่หลายสมัย อีกทั้งยังพบพระพุทธรูป รูปเคารพต่างๆ รวมถึงวัตถุและสินค้าจากต่างแดน สะท้อนถึงความมั่งคั่ง และเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองในช่วงเวลานั้น ผังเมืองศรีมโหสถ เมืองศรีมโหสถเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ มีแผนผังของเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมค่อนข้างรี ขอบมุมทั้ง ๔ โค้งมน มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ ตัวเมืองตั้งอยู่ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ – ตะวันตกเฉียงใต้ ขนาดของเมืองกว้าง ๗๐๐ เมตร ยาว ๑,๕๕๐ เมตร ตอนกลางของเมืองมีคูน้ำชื่อ “คูลูกศร” คั่นแบ่งตัวเมืองเป็น ๒ ส่วน เพื่อประโยชน์ทางการคมนาคม และการกักเก็บน้ำภายในตัวเมือง พบโบราณสถานทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นจำนวนมาก โบราณวัตถุสำคัญ ของเมืองศรีมโหสถ เช่น • พระคเณศ ศิลปะทวารวดี ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ • พระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓- ๑๔ • พระพุทธรูปปางตรัสรู้ ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๔- ๑๕ • จารึกกรอบคันฉ่องและจารึกเชิงเทียน ศิลปะเขมรในประเทศไทย พุทธศตวรรษที่ ๑๘ --------------------------------------------------------------ผู้เรียบเรียง : นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี --------------------------------------------------------------อ้างอิง : - กรมศิลปากร. “นำชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี”กรุงเทพฯ, ๒๕๔๒. - กรมศิลปากร. “โบราณคดีเมืองศรีมโหสถ” กรุงเทพฯ, ๒๕๔๘. - กรมศิลปากร. “ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เมืองศรีมโหสถ”กรุงเทพฯ, ๒๕๓๕.
ตั้งแต่อดีตชาวจีนที่อพยพมายังสยามถือว่าเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพาณิชย์กันเลยทีเดียว เพราะชาวจีนมาความชำนาญในการค้าขาย มองเห็นช่องทางธุรกิจการค้าหากำไรได้อย่างดี อีกทั้งสามัคคีและรักพวกพ้อง ชาวจีนในสยาม มีกล่าวถึงแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แต่ผู้เขียนขอเริ่มกล่าวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ที่มีเอกสารอ้างอิงได้เขียนไว้ว่า...การค้าทางทะเลเช่นเดียวกับการค้าขายในประเทศที่เกือบจะตกอยู่ใต้การควบคุมของชาวจีนโดยสิ้นเชิง...ชาวจีนที่อพยพมาสู่สยามในระยะนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะว่าราชสำนักสยามได้ปฏิบัติต่อชาวจีนเป็นอย่างดีเป็นพิเศษ... ชาวจีนเหล่านี้ได้มาพัฒนาเกษตรกรรมเพื่อการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพริกไทยและอ้อย... เนื่องจากเมืองจันทบุรี เป็นเมืองท่ามาแต่โบราณ ชาวจีนจึงมาตั้งถิ่นฐานบริเวณหุบเขาของจันทบุรี(เขาสระบาป:ผู้เขียน) พร้อมทั้งปลูกพริกไทยเพื่อเป็นสินค้าออก และปลูกอ้อย เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสุรา และทำน้ำตาลทราย เพื่อส่งออกเช่นกัน ช่วงนั้นไร่อ้อยที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่จันทบุรีและฉะเชิงเทรา นอกจากนั้นยังบันทึกว่า ...ชาวจีนที่ทำการเกษตรส่วนใหญ่ของเมืองจันทบุรีเป็นจีนแต้จิ๋ว... นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ชาวจีนได้มาตั้งถิ่นฐานในสยาม จวบจนทุกวันนี้ สิ่งยังพบได้ในชาวจีนคือการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น เช่นในวันตรุษจีน ชาวจีนต้องมีการ"จุดประทัด"ซึ่งเป็นคติความเชื่อของชาวจีนว่าเพื่อปัดเป่าความชั่วร้ายนั่นเอง ในเอกสารจดหมายเหตุ ชุดมณฑลจันทบุรี ช่วงพ.ศ.2470 พ.ศ.2472 และ พ.ศ.2473 พบการประกาศเรื่องการจุดประทัดในช่วงตรุษจีนว่าอนุญาตให้จุดได้แต่ต้องหาของมาครอบไม่ให้เปลวไฟกระเด็นไปในที่ต่างๆอาจเกิดอันตรายและป้องกันอัคคีภัย จากเอกสารจดหมายเหตุชุดนี้อาจจะเหมือนมีข้อมูลเพียงเล็กน้อย แต่ในมุมมองของผู้เขียนมองว่าหน่วยงานราชการในสมัยนั้นได้ให้ความสำคัญและให้เกียรติกับชาวจีนเสมอกับชาวไทยนั่นเอง เนื่องในวันตรุษจีนปีนี้ ในฐานะที่ผู้เขียนเองก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนคนหนึ่ง(บรรพบุรุษแซ่ลี้)จึงขออวยพรให้ทุกท่านและครอบครัวมีความสุขสมปรารถนาทุกประการนะคะ ---------------------------------------------------------ผู้เขียน : นางสุมลฑริกาญจณ์ มายะรังษี นักจดหมายเหตุชำนาญการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี---------------------------------------------------------อ้างอิง หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี. (13)มท1.1/37 เอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดมณฑลจันทบุรี. เรื่องส่งประกาศจุดประทัดในลัทธิตรุสจีน (18 มกราคม 2470) หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี. (13)มท1.1/53 เอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดมณฑลจันทบุรี. เรื่องประกาศจุดประทัดในวันตรุสจีนประจำ พ.ศ. 2472 (28 มกราคม 2472) หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี. (13)มท1.1/59 เอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดมณฑลจันทบุรี. เรื่องประกาศจุดประทัดในวันตรุษจีน ประจำ พ.ศ. 2473 (11 กุมภาพันธ์ 2473) สารสิน วีระผล. (2548). จิ้มก้องและกำไรการค้าไทย-จีน. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย.