ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,418 รายการ





ก่อร่างสร้างปราสพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย าทพิมายก่อร่างสร้างปราสาทพิมาย


โบราณสถานตึกรัตนธัชวัดท่าโพธิ์ วรวิหาร           ตั้งอยู่ในเขตตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนเทศบาลวัดท่าโพธิ์ ด้านหน้าโรงเรียนยังเหลือร่องรอยหลักฐาน คือ ซากอุโบสถ ก่อด้วยอิฐ ภายในมีพระพุทธรูปประธานปูนปั้น แสดงปางมารวิชัย ๑ องค์ และเศียรพระพุทธรูปศิลาทรายสมัยอยุธยา จำนวน ๓ เศียร ซึ่งคงเป็น “วัดท่าโพธิ์ (เดิม)” ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ (ครองราชย์พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒) เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ได้ย้ายไปสร้างวังใหม่ ในเขตกำแพงเมือง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช) และอุทิศที่ตั้งวังเดิมเป็นที่สร้างวัดท่าโพธิ์ (ใหม่) แทนของเดิมที่ปรักหักพัง ที่ตั้งบริเวณวัดท่าโพธิ์ (ใหม่) จึงเรียกกันว่า “ท่าวัง”   วัดท่าโพธิ์ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๐ มีชื่อทางราชการว่า “วัดท่าโพธิ์ วรวิหาร”           เมื่อครั้งพระรัตนธัชมุนี (พระมหาม่วง สิริรัตน์) เป็นเจ้าอาวาส ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ สร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ รวมทั้งก่อตั้งโรงเรียนสามัญ โรงเรียนช่างถม และสร้าง “ตึกรัตนธัช” เมื่อพ.ศ. ๒๔๕๙ โดยสร้างตามแบบจากรูปถ่ายบ้านพักของผู้สำเร็จราชการรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ลักษณะเป็นอาคารทรงตึก ๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูน มีมุขด้านหน้าเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างยุโรปและจีน            กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานตึกรัตนธัช วัดท่าโพธิ์ วรวิหาร ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 104 ตอนที่ 246 หน้า 8136 วันที่ 1 ธันวาคม 2530 เนื้อที่โบราณสถานประมาณ 1 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา     Rattanathat Building Wat Tha Pho Worawihan           Wat Tha Pho is located in Tha Wang Sub-district, Mueang Nakhon Si Thammarat District, Nakhon Si Thammarat Province. It is an ancient temple that was built in two periods. The first period, The Old Wat Tha Pho was built in Ayutthaya period. Currently, this area is the location of Wat Thapho Municipal School. In front of the school, there are remains, namely the brick Ubosot or the ordination hall which has a Buddha image in the attitude of Subduing Mara and the three sandstone Buddha heads in Ayutthaya art. The second period, in the reign of King Rama I, Chao Phraya Nakhon Si Thammarat (Phat) built a new palace in The City Wall which is the location of the current Nakhon Si Thammarat Provincial Hall. He dedicated the old palace to the temple, later called Wat Tha Pho instead of the old temple. The location of The New Wat Tha Pho was called "Tha Wang". Wat Tha Pho has been a third class Royal Temple with the official name "Wat Tha Pho Worawihan” since 1917.           Wat Tha Pho was prospered greatly during Phra Rattanathatmuni (Phra Maha Muang Sirirat) was the abbot. Many buildings were restored and constructed such as an Elementary School, a School for Niello craftsmen, and “Rattanathat Building. Rattanathat Building was built in 1916, based on the photograph of the residence of the governor of Penang, Malaysia. It is a double storey building, made of brick and mortar with a front porch that is a combination of European and Chinese architecture.           The Fine Arts Department announced the registration of Rattanathat Building, Wat Tha Pho Worawihan as a national monument and 1,520 squares - metres of national monument area in the Royal Gazette, Volume 104, Part 246, page 8136, dated  1st December 1987.      


***บรรณานุกรม***    กฎหมายตราสามดวง เล่ม 3 พระนคร  โรงพิมพ์คุรุสภา 2506



วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี   ที่ตั้ง           วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณมาแต่อดีต ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์กลางของเมืองโบราณสุพรรณบุรี ในท้องที่ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี สาระสำคัญ            วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นวัดที่สำคัญตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณบุรี ด้านทิศตะวันตก บริเวณศูนย์กลางเมืองโบราณสุพรรณบุรี ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ภายในวัดประกอบไปด้วยโบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ พระปรางค์ ซึ่งเป็นเจดีย์ประธานของวัดศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม จำนวน 2 องค์ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของพระปรางค์ อุโบสถ วิหารน้อย และซากเจดีย์รายจำนวน 2 องค์ บริเวณด้านทิศตะวันตกของพระปรางค์ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปหินทรายอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ภายในวิหารด้านหน้าพระปรางค์ ลักษณะทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมของพระปรางค์           พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุสุพรรณบุรี ก่อด้วยอิฐสอดิน ผิวด้านนอกฉาบปูนส่วนฐานทำเป็นชุดฐานบัวลูกฟัก สี่เหลี่ยมย่อมุมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 4 ชั้น รองรับองค์เรือนธาตุ ลักษณะมุมมีมุมประธานซึ่งมีขนาดใหญ่อยู่กลาง มุมย่อยซึ่งมีขนาดใหญ่อยู่กลาง มุมย่อยซึ่งมีขนาดเล็กกว่าขนาบทั้งสองข้าง           องค์เรือนธาตุสอบโค้งเข้าหาส่วนบน ย่อมุมรับกับส่วนฐาน มีมุมซุ้มจระนำทั้ง 4 ด้าน เฉพาะด้านทิศตะวันออกทำเป็นคูหา ประดิษฐานพระปรางค์จำลอง ผนังห้องคูหาทั้ง 3 ด้านฉาบปูนเรียบ เพดานบุด้วยแผ่นไม้กระดาน และมีบันไดขึ้นสู่คูหาเพียงด้านเดียว หน้าบันเรือนธาตุทำเป็นซุ้มลดซ้อนกัน 2 ชั้น ประดับลวดลายปูนปั้นเป็นรูปมกรและนาค บริเวณชั้นบัวรัดเกล้าปรากฏรูปเทพพนมระหว่างมกรและนาค บริเวณชั้นบัวรัดเกล้าปรากฏลวดลายปูนปั้นเป็นรูปอุบะและกลีบบัว อันเป็นแบบประเพณีนิยมสมัยอยุธยาตอนต้นสามารถเปรียบเทียบได้กับชั้นบัวรัดเกล้าที่พระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา           เหนือขึ้นไปเป็นชั้นเชิงบาตรครุฑแบก ยักษ์แบก แต่ปัจจุบันปรากฏเพียงปูนปั้นรูปยักษ์บริเวณมุมย่อยเท่านั้น นอกจากนี้บริเวณหน้ากระดานของวิมานชั้นแรกยังปรากฏลวดลายปูนปั้นเป็นรูปหงส์ รูปใบไม้ ในกระจกอีกด้วย           ส่วนยอดพระปรางค์ประกอบด้วยชั้นวิมานจำลองซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 7 ชั้น สอบโค้งเข้าหาปลาย บริเวณมุมและด้านประดับด้วยกลีบขนุนและซุ้มบันแถลง ยอดพระปรางค์ประดังด้วยนภศูล           เมื่อ พ.ศ. 2456 ในคราวขุดกรุพระปรางค์วัดนี้ได้พบจารึกลานทองหลายลานด้วยกัน ที่สำคัญคือ จารึกที่กล่าวถึงกษัตริย์สองพระองค์ที่ทรงสร้างและทรงซ่อมพระปรางค์องค์ดังกล่าวไว้ด้วย (จารึกหลักที่ 47) ) ซึ่งอายุของจารึกลานทองแผ่นนี้ นักภาษาโบราณหลายท่าน ( ก่องแก้ว วีรประจักษ์, เทิม มีเต็ม , อุไรศรี วรศะริน ) ให้ความเห็นว่า อักษรในจารึกลานทองแผ่นนี้เป็นรูปอักษรในราวพุทธศตวรรษที่ 24 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่เมื่อพิจารณาตามข้อความในจารึกและพระนามพระมหากษัตริย์แล้วจะเห็นว่าเป็นพระนามกษัตริย์ในสมัยอยุธยา ขัดกันกับรูปอักษรมาก ในขณะที่พิจารณาทางรูปแบบศิลปกรรมศิลปกรรมขององค์ปรางค์ก็เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยา จึงมีทางเป็นไปได้ว่า จารึกลานทอง หลักที่ 47 วัดพระศรีรัตนมหาธาตุนี้เป็นจารึกที่สร้างขึ้นใหม่ โดยใช้อักษรข้อความลอกเลียนแบบจารึกของเดิมซึ่งชำรุด           ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒-๒๕๔๓ ฝ่ายวิชาการ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้ดำเนินงานขุดค้นบริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พบว่าบริเวณดังกล่าวนี้ปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ในอดีตมาแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗



เมื่อโสมส่อง: Muea Som Song(I Never Dream)   เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๑๘           เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๑๘ ทรงพระราชนิพนธ์ในพุทธศักราช ๒๔๙๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ   ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงนิพนธ์คำร้องภาษาอังกฤษได้พระราชทานให้นำไปบรรเลงในงานรื่นเริงประจำปี ของสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ สโมสรสวนสราญรมย์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๗ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล       ณ อยุธยา แต่งคำร้องภาษาไทยถวาย   Royal composition Number 18           The eighteenth royal musical composition was written in 1954, with English lyrics by His Royal Highness Prince Chakrabhand Pensiri. It was granted to be peroformed at the annual fair of the American University Alumni Association under the Royal Patronage at Saranrom Club on Saturday, 23 January 1954. His Majesty later requested Thanpuying Somroj Swasdikul Na Ayudhya to compose the Thai lyrics for the tune.


25  พฤศจิกายน 2558 เวลา 07.30 น. กิจกรรม "จิบกาแฟ แชร์ความคิด" จังหวัดกำแพงเพชร ครั้งที่ 34 โดยกระทรวงมหาดไทย   โดยนายธานี  ธัญญาโภชน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร หัวน้าส่วนราชการจังหวัดกำแพงเพชรร่วมกิจกรรม  ณ  บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร


วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๘ สำนักศิลปากรที่ ๘ เชียงใหม่ ร่วมกับ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ จัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๘ ณ โรงเรียนโครงการหลวงแกน้อย ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ชมภาพกิจกรรมทั้งหมดได้ที่ --->


วัสดุ ดินเผา อายุสมัย สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สังคมเกษตรกรรม (ประมาณ 2,500–1,800 ปีมาแล้ว) สถานที่พบ พบที่แหล่งโบราณคดีบ้านสำโรง อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาชนะดินเผาทรงชาม ปากกว้าง ขอบปากเป็นแผ่นแบน ลำตัวสอบ ก้นลึกและมน เจาะรูที่ก้นจำนวน 7 รู ด้านนอกตกแต่งผิวด้วยลายเชือกทาบ ด้านในเรียบไม่มีลวดลาย


โครงการสำรวจเอกสารโบราณ วันอังคารที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ วัดเขาปินะ ตำบลนาวง อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง


Messenger