ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,403 รายการ
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.20/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
+++++ เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง (ตอนที่ ๒) +++++
----- เมืองโบราณฟ้าแดดสงยางเริ่มต้นการอนุรักษ์มาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๘๑ และได้มีการดำเนินงานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ การขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดี รวมถึงการบูรณะและปรับสภาพภูมิทัศน์
----- พุทธศักราช ๒๔๘๑ พระพาหิรัชต์พิบูล ข้าราชการสรรพากรจังหวัดนครราชสีมา ได้เข้าไปสำรวจและถ่ายภาพใบเสมา รวมทั้งพระพุทธรูปและโบราณสถาน ส่งให้นายฟรานซิส เฮนรีไกส์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นอธิบดีกรมสรรพากร และเป็นกรรมการบริหารของสยามสมาคม พระพาหิรัชต์พิบูลได้บันทึกเรื่องตำนานเมืองและร่างแผนผังของเมืองโดยสังเขป พร้อมกับรายงานว่ามีใบเสมาปักเป็นแถวและเป็นวงกลม รวมทั้งใบเสมาที่ชาวบ้านช่วยกันนำมารวมไว้ที่เมืองโบราณระหว่างปี พุทธศักราช ๒๔๗๘ - ๒๔๗๙ ประมาณ ๒,๐๐๐ แผ่น
----- พุทธศักราช ๒๔๙๗ นายอิริค ไชเดนฟาเดน ซึ่งเคยรับราชการเป็นพันตรีแห่งกองทัพไทย เขียนบทความเกี่ยวกับเมืองโบราณแห่งนี้ลงพิมพ์ในวารสารวิชาทางการเมือง เรียกชื่อเมืองนี้ว่าเมืองกนกนคร และได้กล่าวถึงแผนผังของเมืองและรูปสลักใบเสมา ตลอดจนได้กล่าวว่าเมืองโบราณแห่งนี้เป็นเมืองสมัยทวารวดี
----- พุทธศักราช ๒๔๙๙ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิส ดิศกุล นำเสนอการศึกษาใบเสมาที่เมืองฟ้าแดดสงยางในวารสารทางวิชาการว่า สามารถแบ่งกลุ่มใบเสมาตามลักษณะของการสลักภาพเล่าเรื่องออกเป็น ๓ กลุ่ม และได้กำหนดอายุของใบเสมาที่เมืองฟ้าแดดสงยางว่า มีอายุไม่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕
พุทธศักราช ๒๕๐๖ กรมศิลปากร โดย นายมานิต วัลลิโภดม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งภัณฑารักษ์เอก และนายจำรัส เกียรติก้อง ช่างศิลปกรรมเอก หัวหน้าแผนกสำรวจและคณะ ได้ทำการสำรวจทำแผนผังและบันทึกภาพ
----- พุทธศักราช ๒๕๐๙ ศาสตราจารย์บวรเซอนิเยร์ แห่งมหาวิทยาลัยเซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส ได้เดินทางมาสำรวจเมืองฟ้าแดดสงยางและให้ความเห็นว่า เมืองฟ้าแดดสงยางยังมีโบราณสถานที่สมบูรณ์อยู่อีกจำนวนมากควรที่จะทำการสำรวจขุดแต่ง เพื่อศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานทางโบราณคดีสมัยทวารวดีต่อไปก่อนที่จะถูกทำลายเสียหายไปจนหมดสิ้น และในปีเดียวกัน อธิบดีกรมศิลปากรกับคณะได้เดินทางไปสำรวจโบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยาง และมีบัญชาให้หน่วยศิลปากรที่ ๗ ขอนแก่น ทำการสำรวจและขุดแต่งโบราณสถานภายในเมืองฟ้าแดดสงยาง
----- พุทธศักราช ๒๕๑๐ หน่วยศิลปากรที่ ๗ ขอนแก่น โดยนายหวัน แจ่มวิมล พร้อมด้วยคณะ ได้ทำการ ขุดแต่งโบราณสถานภายในเมืองฟ้าแดดสงยาง จำนวน ๙ แห่ง
----- พุทธศักราช ๒๕๑๑ หน่วยศิลปากรที่ ๗ ขอนแก่น ทำการขุดแต่งต่อจากปี ๒๕๑๐ จำนวน ๕ แห่ง รวมที่ทำการขุดแต่งทั้งหมดเป็น ๑๔ แห่ง นำไปสู่ข้อสรุปว่า เมืองฟ้าแดดสงยาง เคยเป็นชุมชนโบราณในวัฒนธรรมทวารวดีช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ และอยู่ในช่วงสมัยอยุธยาราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๓ โดยการสร้างเจดีย์แบบอยุธยาซ้อนทับเจดีย์แบบทวารวดีหลายแห่ง ที่เห็นได้ชัดคือ พระธาตุยาคู ซึ่งฐานล่างสุดเป็นฐานแบบทวารวดี ถัดขึ้นมาเป็นฐานแบบอยุธยา และบนสุดเป็นเจดีย์ทรงเรียวสูงแบบรัตนโกสินทร์
----- พุทธศักราช ๒๕๒๒ กรมชลประทานได้ขุดรื้อดินดำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือ เพื่อนำดินไปถมคัดคลองน้ำชลประทาน มีความยาวประมาณ ๔๐ เมตร แล้วสร้างคลองส่งน้ำจากเขื่อนลำปาวตัดผ่าน ทำให้คูเมืองกำแพงเมืองขาดหายไปส่วนหนึ่ง
----- พุทธศักราช ๒๕๒๖ หน่วยศิลปากรที่ ๗ ขอนแก่น ได้รับงบประมาณดำเนินการบูรณะเสริมความมั่นคงพระธาตุยาคูในส่วนที่เป็นฐานแปดเหลี่ยมและตัวองค์พระธาตุจนแล้วเสร็จ
----- พุทธศักราช ๒๕๓๓ หน่วยศิลปากรที่ ๗ ขอนแก่น ได้รับงบประมาณจากโครงการฟื้นฟูและบูรณะโบราณสถานเพื่อพัฒนาในเขตพื้นที่อีสานเขียว ได้ทำการขุดลอกคูเมืองฟ้าแดดสงยางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่ชาวบ้านเรียกว่า หนองบัวยาว มีขนาดความกว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๔๘๐ เมตร พร้อมทั้งถมดินเสริมกำแพงเมืองชั้นนอกและชั้นในโดยมีความกว้าง ๖ เมตร สูง ๒ เมตร
----- พุทธศักราช ๒๕๓๔ หน่วยศิลปากรที่ ๗ ขอนแก่น ได้รับงบประมาณจัดสรรโครงการอีสานเขียว ดำเนินการขุดลอกคูเมืองเป็นระยะทาง ๒,๗๕๐ เมตร มีความกว้าง ๓๐ เมตร และปรับปรุงกำแพงเมืองชั้นใน กว้าง ๖ เมตร สูง ๒ เมตร ยาวตลอดรอบกำแพงเมือง พร้อมทั้งปลูกหญ้าพื้นเมืองและต้นไม้ตามแนวกำแพงเมือง รวมทั้งได้นำเนินงานด้านโบราณคดีโดยการขุดค้นและออกแบบเพื่อบูรณะโบราณสถานจำนวน ๑๐ แห่ง และได้บูรณะโบราณสถานหมายเลข ๓๐๒ ที่เรียกว่า โนนวัดสูง
----- ในปีเดียวกัน กรมศิลปากรได้ขอความร่วมมือคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ภายใต้การนำของศาสตราจารย์ ดร.ผาสุข อินทราวุธ เพื่อทำการขุดค้นหาคำตอบเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่และความสัมพันธ์กับชุมชนโบราณอื่น ๆ โดยเน้นไปยังจุดที่เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งทำการขุดค้น ๕ หลุม ขนาดหลุมละ ๔ x ๔ เมตร โดยหลุมที่ ๑, ๒ และ ๓ ขุดบริเวณโนนเมืองเก่า หลุมที่ ๔ ขุดบริเวณนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่เรียกว่า โนนฟ้าแดด หลุมที่ ๕ ขุดค้นบริเวณดอนงิ้วซึ่งอยู่ใกล้กับคูเมืองชั้นในด้านทิศตะวันตก และยังทำการขุดหลุมทดสอบขนาด ๒ x ๒ เมตร อีกจำนวน ๔ หลุม ภายในเมืองฟ้าแดดสงยาง
----- พุทธศักราช ๒๕๓๗ ได้รับงบประมาณปรับปรุงกำแพงเมืองชั้นนอก อันเนื่องมาจากได้รับความเสียหายจากอุทกภัย โดยทำการถมบดอัดดินลูกรังหน้า ๐.๐๓ เมตร กว้าง ๖ เมตร มีความยาวทั้งสิ้น ๒,๑๐๐ เมตร
----- พุทธศักราช ๒๕๓๙ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ ๘ อุบลราชธานี ได้รับงบประมาณเพื่อพัฒนาปรับปรุงกำแพงเมืองชั้นในต่อจากปี ๒๕๓๗ ซึ่งได้รับความเสียหายจากอุทกภัยเช่นเดียวกัน โดยทำการบดถมอัดดินลูกรังหนา ๐.๐๓ เมตร กว้าง ๖ เมตร ยาว ๒,๖๐๐ เมตร
----- ในปีเดียวกันได้รับงบประมาณดำเนินการขุดแต่งบูรณะเสริมความมั่นคงโบราณสถานพระธาตุยาคู (หมายเลข ๑๐๑) และเจดีย์บริวาร (หมายเลข ๑๐๒, ๑๐๓ และ ๑๐๔) รวมทั้งได้ดำเนินการขุดแต่งบูรณะเสริมความมั่นคงโบราณสถานโนนฟ้าแดด (หมายเลข ๗) โบราณสถานกลุ่มโนนศาลา (หมายเลข ๘๐๑ และ ๘๐๒)
----- พุทธศักราช ๒๕๔๑ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ ๘ อุบลราชธานี ได้รับงบประมาณบูรณะเสริมความมั่นคงโบราณสถานหมายเลข ๔, ๙ และ ๘๐๓
----- พุทธศักราช ๒๕๕๔ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ ร้อยเอ็ด ร่วมกับ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำการศึกษาเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง และจัดทำแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองฟ้าแดดสงยาง
----- ปัจจุบันชุมชนท้องถิ่นได้เข้ามาใช้ประโยชน์เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ในรูปแบบแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมส่งผลให้เป็นที่รู้จักของสาธารณชนมากยิ่งขึ้น แนวทางการพัฒนาเพื่อประโยชน์ของชุมชนท้องถิ่นและการอนุรักษ์โบราณสถานให้คงคุณค่าอย่างสมดุล ยังคงต้องถอดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันต่อไป
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
------------------------------------------------------------------------
+++ อ้างอิงจาก +++
--- จังหวัดกาฬสินธุ์. แผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองฟ้าแดดสงยาง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๔.
--- ผาสุข อินทราวุธ และคณะ. รายงานการขุดค้นเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์. ม.ป.ท. : ม.ป.ป., ๒๕๓๔. (เอกสารอัดสำเนา)
--- หวัน แจ่มวิมล. รายงานการสำรวจและขุดแต่งโบราณสถาน โบราณวัตถุ เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์. กรมศิลปากร : หน่วยศิลปากรที่ ๗ ขอนแก่น, ๒๕๑๑. (เอกสารอัดสำเนา)
ข้อมูล : นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ
นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยความคืบหน้าโครงการอนุรักษ์ซ่อมแซมบานไม้ ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่น พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ได้ดำเนินการถอดบานไม้แล้ว จำนวน ๒๗ ชิ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการอบกำจัดแมลง โดยมีการประชุมทางไกลร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่น ทุกเดือน สืบเนื่องจากประตูและหน้าต่างภายในพระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ประดับ ด้วยบานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่น ซึ่งเป็นงานสั่งทำเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๐๘ ปัจจุบันได้เสื่อมสภาพ พื้นผิวรักและเปลือกหอย แตก หลุดร่อน เสียหาย แมลงกัดกินเนื้อไม้ ผิวหน้าชิ้นงานมีความสกปรก หมองคล้ำจากยางรักที่ทาเคลือบไว้เป็นเวลานานจากการซ่อมแซมในอดีต และบางชิ้นงานสูญหายไป วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรมศิลปากร โดยสำนักช่างสิบหมู่ และกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จึงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์งานประดับมุกศิลปะญี่ปุ่น จากสถาบันวิจัยมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (Tokyo National Research Institute for Cultural Properties: TNRICP) ดำเนินโครงการอนุรักษ์ซ่อมแซมบานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่น พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร โดยใช้พื้นที่ภายในวัดราชประดิษฐ์ เป็นห้องปฏิบัติการอนุรักษ์ ระยะเวลา ๕ ปี เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ – ๒๕๖๘ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ได้เริ่มดำเนินการถอดบานไม้ตามแผนงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยบานไม้ที่ถูกถอดลงในปีนี้ มีทั้งหมด ๒๗ ชิ้น จากประตูหน้า ๑ บาน (๓ ชิ้น) และหน้าต่าง ๔ บาน จากนั้นได้ดำเนินขั้นตอนต่าง ๆ ประกอบด้วย ผนึกพื้นผิวชั่วคราวด้วยกระดาษสาบางและกาวแป้ง เพื่อลดโอกาสเกิดความเสียหายระหว่างการถอดและชิ้นงานที่ยังไม่ถูกถอดลง การกำหนดรหัสชิ้นงานแต่ละชิ้น ด้วยสัญลักษณ์อักษรย่อภาษาอังกฤษและตัวเลขเพื่อใช้สื่อสารให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันกับทางญี่ปุ่น การสแกนค้นหาตำแหน่งน็อตโลหะที่ซ่อนอยู่ภายในชิ้นงาน แล้วถอดน็อตนำชิ้นงานลง บรรจุลงกล่องที่ออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมตามมาตรฐานงานพิพิธภัณฑ์ จากนั้นทำการถ่ายภาพก่อนอนุรักษ์ชิ้นงานแต่ละชิ้น โดยเน้นในบริเวณที่เกิดการชำรุด เสื่อมสภาพ ทั้งด้านหน้าและหลัง แล้วจึงตรวจสอบสภาพอย่างละเอียดทำทะเบียน จัดทำแผนผังการเสื่อมสภาพ เก็บตัวอย่างแมลงที่พบ การทดสอบและดำเนินการอบกำจัดแมลงภายใต้สภาวะไร้ออกซิเจนด้วยก๊าซไนโตรเจนเป็นระยะเวลาประมาณ ๑ เดือน รวมถึงทดสอบตัวทำละลายที่จะใช้ในการอนุรักษ์กับยางรักญี่ปุ่น ขณะนี้ชิ้นงานที่ถูกถอดลงทั้งหมดอยู่ระหว่างขั้นตอนการอบกำจัดแมลง และในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 นี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญจาก TNRICP ประเทศญี่ปุ่น ไม่สามารถเดินทางมาร่วมดำเนินการอนุรักษ์ตามแผนงานเดิม จึงได้จัดให้มีการประชุมทางไกลเดือนละ ๑ ครั้ง เพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการดำเนินการอนุรักษ์ โครงการอนุรักษ์ซ่อมแซมบานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่นฯ มีเป้าหมายอนุรักษ์ซ่อมแซมบานไม้ ประดับมุกและแผ่นไม้ประดับรักลายนูน ในส่วนที่ชำรุดและเสื่อมสภาพ จำนวน ๙๔ แผ่น โดยคงรูปแบบลวดลายลักษณะเดิม ส่วนใดที่หลุดล่วงไปแล้วจะไม่เติมให้เต็ม ดำเนินงานส่วนของพื้นให้เป็นพื้นรักสีดำอันเกิดจากยางรักเท่านั้น เพื่ออนุรักษ์ซ่อมแซมบานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่น ให้เกิดความมั่นคง แข็งแรง และรักษางานประดับมุกศิลปะญี่ปุ่นในประเทศไทยให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไปในอนาคต และให้คณะช่างที่ปฏิบัติงานซ่อมแซมได้เรียนรู้ ฝึกฝน เพิ่มพูนทักษะฝีมือทางด้านงานประดับมุกศิลปะญี่ปุ่น เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ศิลปวัตถุชิ้นสำคัญในหน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป
ภาพสลักหน้าบัน ของปราสาทประธาน ด้านทิศใต้ สลักภาพบุคคลนั่งชันเข่า ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเทพปกปักรักษาดูแลปราสาท อยู่เหนือหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัย พรรณพฤกษา เป็นทรงพุ่ม ล้อมรอบบุคคล ซึ่ง มีองค์ประกอบภาพคล้ายกับภาพสลักหน้าบัน ของปราสาทประธาน ด้านทิศเหนือ โดยสภาพปัจจุบันมีบางส่วนได้รับความเสียหาย บริเวณใต้หน้าบัน ปรากฏ ทับหลัง สลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันออก เช่นเดียวกับ ทับหลังของปราสาทประธานด้านทิศตะวันออก โดยองค์ประกอบภาพสลัก ประกอบด้วยพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียร อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว เหนือหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัย มีใบไม้ตั้งขึ้นและตกลง แถวด้านบนสลักเป็นรูปสัตว์ ช้าง กระรอก หมู ลิงและวัว ซึ่งมีสภาพลบเลือน ความพิเศษของภาพสลัก ปราสาทประธาน ด้านทิศใต้นี้ อยู่ด้านบนเหนือทับหลัง สลักภาพสัตว์ ฟากหนึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย อย่าง จระเข้ และแร้งกินซากสัตว์ อีกฟากหนึ่ง เป็นม้า ลูกม้าและลิง ซึ่งไม่พบในด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือ การปรากฏ ภาพสลัก พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เทพประจำทิศตะวันออก บนทับหลังทั้งด้านทิศตะวันออก และทิศใต้ นั้น จึงสันนิษฐานว่า ปราสาทบ้านพลวงให้ความสำคัญกับการเคารพนับถือบูชาพระอินทร์ ในฐานะเทพประจำทิศตะวันออก และเทพเจ้าแห่งฟ้า-ฝน เป็นพิเศษ สำหรับภาพสลักหน้าบัน และกรอบทับหลัง ปราสาทประธานด้านทิศตะวันตกนั้น ไม่ปรากฏ หรือพบลวดลายสลักใดๆ พบเพียงพื้นผิวของหินทรายที่มีร่องรอยการโกลนลวดลายไว้เท่านั้น ----------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา-------------------------------------------------------
กรมศิลปากรปรับโฉมใหม่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติแห่งแรกในประเทศไทย ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ “วัฒนธรรมบ้านเก่า” กลุ่มวัฒนธรรมสมัยหินใหม่ ทางภาคตะวันตกของประเทศไทย ที่เป็นจุดเริ่มต้นของงานโบราณคดีอย่างสากลเป็นครั้งแรกของประเทศไทย กรมศิลปากรได้ดำเนินโครงการพัฒนาและ เพิ่มศักยภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติศูนย์ศึกษาวัฒนธรรมบ้านเก่า รวมถึงองค์ความรู้ด้านโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่มีความถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน และเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน ทั้งรูปแบบอาคารที่สะดุดตา โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลุมขุดค้นทางโบราณคดีเป็นทรงสี่เหลี่ยมสื่อถึงการพบโบราณวัตถุที่แทรกอยู่ในชั้นดิน ภูมิทัศน์ที่เปิดให้สัมผัสบรรยากาศภูมิประเทศเพื่อให้เข้าใจถึงการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยบนพื้นที่แหล่งโบราณคดีจริง รวมไปถึงนิทรรศการภายในที่ตั้งใจให้เป็นพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุด การจัดแสดงนิทรรศการมีเนื้อหาเน้นเกี่ยวกับวัฒนธรรมบ้านเก่าและแหล่งโบราณคดีอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง “วัฒนธรรมบ้านเก่า” หมายถึงกลุ่มวัฒนธรรมสมัยหินใหม่ทางภาคตะวันตกของประเทศไทย ที่ผู้คนตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่ตามที่ราบ หรือเชิงเขาไม่ไกลจากลำน้ำ ดำรงชีวิตด้วยการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และล่าสัตว์ รู้จักทำขวานหินขัดและมีภาชนะดินเผาที่หลากหลาย มีภาชนะรูปทรงเด่นคือหม้อสามขา ภาชนะทรงพาน ภาชนะมีคอและเชิงสูง และภาชนะทรงถาดก้นลึก กำหนดอายุราว ๓,๕๐๐ – ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว และมีความสัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดีร่วมสมัยทางภาคใต้ของประเทศไทยและทางตอนเหนือของมาเลเซีย โดยมีการจัดแสดงการขุดค้นและหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านเก่า เช่น โครงกระดูก เครื่องมือหินขัด เครื่องประดับ ภาชนะดินเผาที่เรียกว่า “หม้อสามขา” เอกลักษณ์ของวัฒนธรรมบ้านเก่า จัดแสดงเครื่องมือหินจำลอง จำนวน ๘ ชิ้นที่พบโดย ดร. เอช อาร์ ฟาน เฮเกเรน นักโบราณคดีชาวดัตช์ที่ถูกจับเป็นเชลยและถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟที่จังหวัดกาญจนบุรีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยโดยเฉพาะที่บ้านเก่าได้รับความสนใจจากนักโบราณคดีทั้งนักโบราณคดีไทยและต่างประเทศเข้ามาขุดค้นอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนมีการตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ เครื่องมือหินทั้ง ๘ ชิ้นปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พีบอดี มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กรมศิลปากรกำลังประสานเพื่อนำกลับมาจัดแสดงด้วย นอกจากผู้ชมจะได้เข้าชมการจัดแสดงนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังสามารถเยี่ยมชมหลุมขุดค้นทางโบราณคดีที่โรงเรียนวัดท่าโป๊ะ ซึ่งตั้งอยู่ข้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า โดยมีการขุดพบโครงกระดูกจำนวนมาก และกรมศิลปากรยังมีการขุดค้นและดำเนินงานทางโบราณคดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์บ้านเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประจำแหล่งที่อยู่ในพื้นที่แหล่งโบราณคดีจริง ดังนั้นองค์ประกอบทุกอย่างจึงมีความสำคัญ กรมศิลปากรจึงปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจถึงลักษณะภูมิประเทศของบ้านเก่า เนื่องจากบ้านเก่าเป็นวัฒนธรรมยุคหินใหม่ที่อยู่ในสังคมเกษตรกรรมเริ่มเข้าตั้งถิ่นฐานในที่ราบเพื่อการเพาะปลูก ดังนั้นในพื้นที่ด้านหลังพิพิธภัณฑ์จะมีทางเดินชมธรรมชาติที่เห็นถึงแหล่งน้ำด้วย สำหรับแผนงานต่อไป กรมศิลปากรมีโครงการจัดตั้งศูนย์ศึกษาวัฒนธรรมบ้านเก่าขึ้น ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า เพื่อเป็นสถานที่ศึกษา วิจัย ของนักวิชาการด้านโบราณคดี ทำให้ความรู้ทางวิชาการโบราณคดีวัฒนธรรมบ้านเก่าดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และสามารถเชื่อมโยงความรู้ด้านงานโบราณคดีกับองค์ความรู้ด้านต่างๆ เข้าด้วยกันแบบสหวิชาการ และเมื่อรวมถึงอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ที่อยู่ใกล้กัน จะเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีได้เป็นอย่างดี
ชื่อเรื่อง วินยธรสิกฺขาปท...(สิกขาบท)
สพ.บ. 300/3ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 56 หน้า กว้าง 4.9 ซ.ม. ยาว 55 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา พระวินัยปิฎก
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง ธมฺมสฺสวนานิสํสกถา (อานิสงส์ฟังธรรม)
สพ.บ. 349/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
ชบ.บ.47/1-2
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.223/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 112 (170-179) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : สักกราชหลวง --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม