ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,404 รายการ
โบราณสถานเจดีย์ (ร้าง) ข้างตลาด
โบราณสถานเจดีย์ (ร้าง) ข้างตลาด ตั้งอยู่ที่บ้านเวียงคุก ตำบลเวียงคุก อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ไม่ปรากฏประวัติหรือตำนานการก่อสร้างแต่อย่างใด โบราณสถานเจดีย์ (ร้าง) ข้างตลาด เป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปกรรมล้านนา ก่อด้วยอิฐ ประกอบด้วย ชั้นฐานเขียงซ้อนลดหลั่นกันในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ถัดขึ้นมาเป็นชั้นเรือนธาตุอยู่ในผังย่อมุมไม้ยี่สิบ และองค์ระฆังในผังแปดเหลี่ยม เหนือบัลลังก์ขึ้นไปเป็นส่วนยอดของเจดีย์ ที่มีลักษณะเป็นยอดกรวยแหลมคั่นด้วยลูกแก้วทรงกลมรี ส่วนปลียอดหักหาย กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ - ๒๔ ในสมัยวัฒนธรรมล้านช้าง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ สำนักศิลปากรที่ ๙ ขอนแก่น ได้ขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานเจดีย์ (ร้าง) ข้างตลาด พบร่องรอยการฉาบปูนที่ส่วนเรือนธาตุ ๒ ครั้ง ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะมีการบูรณปฏิสังขรณ์มาแล้วอย่างน้อย ๑ ครั้ง กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน และกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘ ตอนพิเศษ ๒๙ ง วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๔ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๘๕.๕ ตารางวา
The Stupa Near the Market,Ban Wiang Khuk
The stupa is located at Ban Wiang Khuk Klang, Wiang Khuk Sub-district, Mueang Nong Khai District, Nong Khai Province. None of it past or history is existed. This structure was built as castle-shaped in Lanna style, using brick materials. It is supported by plain bases which narrow down its size at each higher floor. The indented-corner body was topped with an octagon-shaped relic chamber. The top part start from Banlang pedestal which carried a cone shaped pillar. The tip part is missing, only an orb was left on the cone. The stupa can be dated back to 18th - 19th century CE, in the period of Lan Xang Kingdom. The excavation was managed by the 8th Regional Office of The Fine Arts Department, Khon Kaen in 2004. Traces of newer painting at the body suggested that this stupa has been restored in the past before at least once. The stupa has been registered and published in the Government Gazette, Volume 118, Special Edition 29, on March 26, 2001. The area of ancient monument is 342 square meters.
ชื่อเรื่อง : 600 ปีติโลกราชกับมิติทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ล้านนาในยุคปัจจุบัน ผู้แต่ง : สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปีที่พิมพ์ : 2552 สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องในวโรกาสครบรอบ 60 ปี พระประสูติของพระญาติโลกราช ที่เป็นกษัตริย์ลำดับที่ 10 ของราชวงศ์มังราย ตลอดรัชสมัยของพระองค์ได้ขยายอาณาเขตไปทั่วทุกทิศ ทั้งยังรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรือง ด้วยการปฏิสังขรณ์วัดเจดีย์หลวง ทรงสร้างวัดป่าแดงมหาวิหาร และเพื่อรำลึกถึงพระราชกรณีย์กิจของพระองค์ปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้อยู่เย็นเป็นสุข เสริมสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักรล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ล้านนาในยุคปัจจุบันขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ณ หอประชุมอาคารรวมวิจัย และบัณฑิตศึกษา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
***บรรณานุกรม***
กรมศิลปากร
เอกสารของเฮนรี่ เบอร์นี่ เล่ม2 ตอน1 นางสาวิตรี สุวรรณสถิตย์ แปล กรมศิลปากรพิมพ์ พ.ศ. 2518
กรุงเทพฯ
โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว
2518
Blues for Uthit : เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 46
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 46
ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ นายอุทิตต์ ทินกร ณ อยุธยา นักดนตรีวงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ ที่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พุทธศักราช 2522 และได้พระราชทานให้วงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ นำออกบรรเลงครั้งแรกทางสถานีวิทยุ อ.ส.วันศุกร์ เมื่อวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พุทธศักราช2522
Royal Composition Number 46
The forty-sixth royal musical composition was written as a memorial to Mr. Uthit Tinakorn Na Ayudhya, a musician of the Aw Saw Wan Suk Band who passed away on 6 August 1979. It was given to the Aw Saw Wan Suk Band to be performed for the first time on Aw Saw Radio on Friday, 10 August 1979.
วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๓.๐๐ น. ที่ห้องดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นผู้บรรยายในการเสวนาทางวิชาการเรื่อง "ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์" โดยมี ที่ปรึกษา รมว.วธ. ผู้ช่วย รมว.วธ. เลขานุการ รมว.วธ. รองอธิบดีกรมศิลปากร นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ พระสงฆ์ นักวิชาการ หน่วยงานราชการ ประชาชน ร่วมรับฟังการบรรยาย
ราชบัลลังก์ ย่อมเป็นที่ปรารถนาของคนที่มีวาสนาอาจไขว่คว้าได้ถึง แม้จะต้องเข่นฆ่ากันระหว่างพี่กับน้อง พ่อกับลูก ก็เคยมีมาแล้วในอดีต
แต่ก็มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งของกรุงศรีอยุธยา แม้จะขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องตามราชประเพณี แต่เมื่อทรงทราบว่า มีคนอื่นอยากได้จนตัวสั่น ก็ยอมสละให้แต่โดยดีขณะที่ครองราชบัลลังก์มาได้เพียง ๑๐ วัน ด้วยมีพระราชประสงค์จะหาความสงบสุขทางใจมากกว่าพระราชอำนาจบนราชบัลลังก์
อนุสรณ์สถานปลีกวิเวกของพระองค์ ก็ยังคงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ มีชื่อว่า “พระตำหนักคำหยาด” ที่ใกล้วัดคำหยาด ในอำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง
ส่วนพระมหากษัตริย์ที่สละราชบัลลังก์มาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่ ก็คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ ๔ หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในพระนาม “พระเจ้าอุทุมพร” กษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ รองสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าอุทุมพรเป็นราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตอนที่พระราชชนนีทรงครรภ์นั้น พระราชบิดาทรงพระสุบินว่ามีผู้ถวายดอกมะเดื่อให้ จึงพระราชทานพระนามว่า เจ้าฟ้าอุทุมพรราชกุมาร แต่เรียกกันทั่วไปว่า “เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ”
เมื่อตำแหน่งรัชทายาทว่างลง เนื่องจาก “เจ้าฟ้ากุ้ง” หรือ “เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ ราชโอรสองค์โตต้องพระราชอาญาถึงสิ้นพระชนม์ ขุนนางข้าราชการทูลขอให้ทรงสถาปนาเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิตขึ้นเป็นรัชทายาทแทน แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรกลับขอให้สถาปนาพระเชษฐา กรมหลวงอนุรักษ์มนตรี หรือ เจ้าฟ้าเอกทัศน์ ขึ้นเป็นรัชทายาท แต่พระราชบิดาไม่ทรงยินยอม รับสั่งว่า
“กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติเสียหาย เห็นแต่กรมขุนพรพินิตกอปรด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม สมควรจะดำรงเศวตฉัตรครองสมบัติรักษาแผ่นดินสืบไปได้ เหมือนดังคำปรึกษาด้วยท้าวพระยามุขมนตรีทั้งปวง”
จึงมีพระราชโองการให้เจ้าฟ้าเอกทัศน์ออกผนวช และสถาปนาเจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นเป็นมหาอุปราช
ในปี พ.ศ.๒๓๐๑ พระเจ้าอยู่หัวประชวรหนัก รับสั่งให้พระราชโอรสที่มีบทบาทสำคัญเข้าเฝ้า ตรัสมอบสมบัติให้เจ้าฟ้าอุทุมพร และให้คนอื่นๆถวายสัตย์ยอมเป็นข้าทูลละออง เจ้าฟ้าเอกทัศน์ทราบข่าวก็รีบลาผนวชกลับมาอยู่วัง รอขึ้นครองราชย์แทน ด้วยถือว่าพระองค์เป็นพระราชโอรสที่อาวุโสที่สุด
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคต ขุนนางข้าราชการก็อัญเชิญเจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติตามพระบรมราชโองการ แต่เจ้าฟ้าเอกทัศน์กลับเสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ซึ่งเป็นที่ประทับของกษัตริย์
เจ้าฟ้าอุทุมพรเห็นว่าพระเชษฐาอยากครองราชย์เต็มที่ เลยสละราชสมบัติให้หลังจากครองราชย์ได้เพียง ๑๐ วัน แล้วเสด็จออกผนวชที่วัดประดู่
เจ้าฟ้าเอกทัศน์ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือ พระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ แต่รู้จักกันทั่วไปในนาม พระเจ้าเอกทัศน์ หรือ “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาที่เสียเมืองแก่พม่าอย่างยับเยิน
เจ้าฟ้าเอกทัศน์บริหารราชการแผ่นดินตามที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศคาดไว้ไม่มีผิด ข้าราชการสอพลอได้ดิบได้ดี ขุนนางกลุ่มหนึ่งจึงไปเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าอุทุมพรขอให้สึกออกมากอบกู้บ้านเมืองก่อนที่จะล่มสลาย เจ้าฟ้าพระภิกษุรับสั่งว่า
“รูปเป็นสมณะ จะคิดอ่านการแผ่นดินนั้นไม่ควร ท่านทั้งปวงเห็นควรประการใดก็ตามแต่จะคิดกัน”
ผู้เข้าเฝ้าตีความเอาเองว่าทรงเอาด้วย จึงไปเริ่มดำเนินการ แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรกลับเกรงว่าเมื่อทำการสำเร็จแล้วผู้ก่อการอาจจับทั้งพระเชษฐาและพระองค์สำเร็จโทษ ขึ้นครองราชย์เสียเอง จึงนำความไปทูลเจ้าฟ้าเอกทัศน์ ผู้ก่อการทั้งหมดเลยถูกจับ แต่โทษประหารนั้นเจ้าฟ้าอุทุมพรทูลขอไว้ เลยต้องโทษเพียงจองจำ
ในปี พ.ศ.๒๓๐๒ พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ยกทัพมาตีไทย ตีหัวเมืองได้ตลอดจนมาถึงกรุงศรีอยุธยา ขุนนางข้าราชการเห็นว่าพระเจ้าเอกทัศน์รักษาบ้านเมืองไว้ไม่ได้แน่ จึงทูลขอให้เจ้าฟ้าอุทุมพรลาผนวชมาช่วยรักษาพระนคร พระเจ้าเอกทัศน์ก็ยอม เพราะจนปัญญาไม่รู้ว่าจะสั่งสู้พม่าได้อย่างไร เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงลาผนวชมาบัญชาการรบ พอดีพระเจ้าอลองพญาถูกปืนใหญ่ของตัวเองระเบิด ประชวรหนักจนต้องเลิกทัพกลับไป และสิ้นพระชนม์เมื่อออกไปพ้นด่านเมืองตาก
เมื่อเสร็จศึกพม่า พระเจ้าเอกทัศน์ก็แสดงความไม่ต้องการพระอนุชาอีก ค่ำวันหนึ่งเจ้าฟ้าอุทุมพรเข้าเฝ้าถวายข้อราชการตามปกติ พระเจ้าเอกทัศน์รับสั่งให้เข้าเฝ้าถึงในพระที่ แต่ทรงถอดดาบพาดไว้บนพระเพลา เจ้าฟ้าอุทุมพรก็รู้ความหมายว่าพระเชษฐาไม่ไว้วางพระทัย จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งไปทรงผนวชที่วัดโพธิ์ทองคำหยาด และไปประทับที่พระตำหนักคำหยาด ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศผู้เป็นพระราชบิดาสร้างไว้เป็นที่ประทับแรมเมื่อเสด็จประพาสเมืองอ่างทอง ราษฎรจึงพากันขนานพระนามพระองค์ว่า “ขุนหลวงหาวัด”
ในปี พ.ศ.๒๓๐๗ พระเจ้ามังระ พระโอรสของพระเจ้าอลองพญา ส่งเนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก พระเจ้าเอกทัศน์รับสั่งให้นิมนต์พระราชาคณะเข้ามาอยู่เสียในกำแพงพระนครเพื่อความปลอดภัย พระภิกษุเจ้าฟ้าอุทุมพรก็เสด็จมาด้วย ขุนนางข้าราชการจึงทูลขอให้ลาผนวชมาช่วยป้องกันพระนคร แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรเข็ดเสียแล้ว แม้ราษฎรจะเขียนหนังสือใส่บาตรจนเต็มตอนออกบิณฑบาตรก็ไม่ยอม จนปี พ.ศ.๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาก็แตกเสียเมืองแก่พม่า พระเจ้าเอกทัศน์หนีไปได้ แต่ก็ต้องสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารขณะไปหลบซ่อนพม่า
เนเมียวสีหบดีได้กวาดต้อนชาวกรุงศรีอยุธยารวมทั้งพระภิกษุเจ้าฟ้าอุทุมพรไปพม่า พระเจ้ามังระให้คนไทยที่ถูกกวาดต้อนไปลำดับเรื่องราวในพงศาวดารไทยจดบันทึกไว้ ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๙๒ อังกฤษยึดพม่าได้ พบหนังสือเล่มนี้อยู่ในหอหลวงพระราชวังมัณฑเล มีชื่อว่า “คำให้การของขุนหลวงหาวัด” จึงนำไปไว้ในหอสมุดเมืองร่างกุ้ง ต่อมาหอวชิรญาณได้ขอคัดลอกมาแปลเป็นภาษาไทย แต่เห็นว่าเป็นคำให้การของคนไทยที่ถูกกวาดต้อนไปหลายคน ไม่ใช่เจ้าฟ้าอุทุมพรเพียงพระองค์เดียว จึงเรียกชื่อเสียใหม่ว่า “คำให้การของชาวกรุงเก่า”
พระเจ้าอุทุมพร กษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ ของกรุงศรีอยุธยา ไม่มีโอกาสได้กลับมาแผ่นดินบ้านเกิด คงสวรรคตที่ประเทศพม่า
ปัจจุบัน “พระตำหนักคำหยาด” ซึ่งถูกทอดทิ้งให้รกร้างมาเป็นเวลานานเหลือแต่เพียงผนังอิฐ ๔ ด้าน ประตูและหน้าต่างมีลักษณะโค้งยอดแหลม เหมือนสถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เป็นอนุสรณ์ให้นึกถึง “ขุนหลวงหาวัด” ซึ่งน้อยนักที่จะมีผู้ไม่ปรารถนาในพระราชบัลลังก์เช่นพระองค์
เรื่องย่อการโพนช้าง (คล้องช้าง) ของชาวกวยจังหวัดสุรินทร์
เรียบเรียงโดย กฤตพล (เชียงนวง) ศาลางาม เลขานุการกรมช้างไทย
(เอกสารประกอบการบรรยายขอขึ้นทะเบียนมรดกแห่งชาติ ณ โรงแรมสุนีย์แกรด์ จ.อุบลราชธานี)
พบเครื่องถ้วยชามลายน้ำทอง มีพระบรมฉายาลักษณ์ ร.5 ที่กาน้ำ และจาน
ไม่ทราบว่ามีจริงหรือไม่ เนื่องจากไม่เคยเห็นในหนังสือ รวมทั้งภาพใน Internet
ขอทราบรายละเอียดด้วยครับ
วัสดุ ดินเผา
แบบศิลปะ ศิลปะเขมรในประเทศไทย
อายุสมัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 17-18
สถานที่พบ ขุดได้บริเวณ ปรางค์กู่ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด โรงเรียนชุมชนบ้านยางกู่ มอบให้เมื่อ พ.ศ.2538
ไหทรงกลมเป็นกระเปาะคล้ายผลน้ำเต้า ขอบปากแคบ ส่วนบนทำเป็นหน้าคน มีคิ้วเป็นรูปปีกกาต่อกับจมูก ตาเป็นรูปวงรี จมูกโด่ง ปากหนา ปากบนทำเป็นขีดเรียงกันคล้ายหนวด มีเครายาว หูยาว ลำตัวป่อง กลางลำตัวมีเส้นโค้งบรรจบกัน ส่วนล่างสอบ เคลือบสีน้ำตาลเข้ม
"ลำ" สามารถมองออกได้ในสองลักษณะเพื่อหาความหมายคือ แสดงออกเป็นกิริยา หมายถึงการขับร้อง คือ การนำเอาเรื่องราวในวรรณคดีมาขับร้องเป็น บทกลอนทำนองทีเป็นภาษาอีสาน แสดงออกเป็นคำนาม หมายถึง ชื่อเรื่องของการขับร้องหรือการแสดงที่เป็นเรื่องราว"หมอลำ" หมายถึง ผู้ที่มีความชำนาญในการขับร้องวรรณคดีอีสาน โดยการท่องจำเอากลอน มาขับร้อง หรือผู้ที่ชำนาญในการเล่านิทานเรื่องนั้น เรื่องนี้ หลาย ๆ เรื่อง
วิวัฒนาการของหมอลำ
เดิมทีสมัยโบราณในภาคอีสานเวลาค่ำเสร็จจากกิจธุรการงานมักจะมาจับกลุ่มพูดคุยกัน กับผู้เฒ่าผู้แก่เพื่อคุยปัญหาสารทุกข์สุกดิบและผู้เฒ่าผู้แก่นิยมเล่านิทานให้ลูกหลานฟัง นิทานที่นำมาเล่าเกี่ยวกับจารีตประเพณีและศีลธรรม ทีแรกนั่งเล่าเมื่อลูกหลานมาฟังกัน มากจะนั่งเล่าไม่เหมาะ ต้องยืนขึ้นเล่า เรื่องที่นำมาเล่าต้องเป็นเรื่องที่มีในวรรณคดี เช่นเรื่องกาฬเกษ สินชัย เป็นต้น ผู้เล่าเพียงแต่เล่า ไม่ออกท่าออกทางก็ไม่สนุกผู้เล่าจึงจำเป็นต้องยกไม้ยกมือแสดงท่าทางเป็น พระเอก นางเอก เป็นนักรบ เป็นต้น เพียงแต่เล่าอย่างเดียวไม่สนุก จึงจำเป็นต้องใช้สำเนียงสั้นยาว ใช้เสียงสูงต่ำ ประกอบ และหาเครื่องดนตร ีประกอบ เช่น ซุง ซอ ปี่ แคน เพื่อให้เกิดความสนุกครึกครื้น ผู้แสดงมีเพียงแต่ผู้ชายอย่างเดียวดูไม่มีรสชาติเผ็ดมัน จึงจำเป็นต้องหา ผู้หญิงมาแสดงประกอบ เมื่อ ผู้หญิงมาแสดงประกอบจึงเป็นการลำแบบสมบูรณ์ เมื่อผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องต่าง ๆ ก็ตามมา เช่น เรื่องเกี้ยวพาราสี เรื่องชิงดีชิงเด่นยาด (แย่ง) ชู้ยาดผัวกัน เรื่องโจทย์ เรื่องแก้ เรื่องประชัน ขันท้า เรื่องตลกโปกฮาก็ตามมา จึงเป็นการลำสมบูรณ์แบบ จากการมีหมอลำชายเพียงคนเดียวค่อย ๆ พัฒนาต่อมาจนมีหมอลำฝ่ายหญิง มีเครื่อง ดนตรีประกอบจังหวะเพื่อความสนุกสนาน จนกระทั่งเพิ่มผู้แสดงให้มีจำนวนเท่ากับตัวละครใน เรื่อง มีพระเอก นางเอก ตัวโกงตัวตลก เสนา ครบถ้วน
หมอลำกลอน
หมอลำกลอน เป็นศิลปะการแสดงที่เก่าแก่อันหนึ่งของอีสานลักษณะเป็นการลำ ที่มีหมอลำชายหญิงสองคนลำสลับกันมีเครื่องดนตรีประกอบเพียงชนิดเดียว คือแคน
การลำมีทั้งลำเรื่องนิทานโบราณคดีอีสาน เรียกว่า ลำเรื่องต่อกลอนลำทวย (ทายโจทย์) ปัญหา ซึ่งผู้ลำจะต้องมีปฏิภาณไหวพริบที่ดีสามารถตอบโต้ ยกเหตุผลมาหักล้างฝ่ายตรงข้ามได้ ต่อมามีการเพิ่มผู้ลำขึ้นอีกหนึ่งคนอาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ การลำจะเปลี่ยนเป็นเรื่อง ชิง รักหักสวาท ยาดชู้ยาดผัว เรียกว่า ลำชิงชู้ปัจจุบันกลอนนั้นหาดูได้ยากเพราะขาดความนิยมลงไปมากแต่ว่าปัจจุบัน ได้วิวัฒนการมาเป็นหมอลำซิ่งเพื่อความอยู่รอดและผลก็คือได้รับความนิยมใน ปัจจุบัน
หมอลำกลอนซิ่ง
หมอลำกลอนซิ่งเป็นศิลปะการแสดงของชาวอีสานโดยได้นำเอาศิลปะ ที่มีมาตั้งแต่เดิมมาดัดแปลงประยุกต์ให้ทันสมัยคือนำเอาหมอลำกลอนซึ่งแต่ เดิมนั้นเป็นการลำประกอบ
แคนเพียงอย่างเดียวมาประยุกต์เข้าดนตรีชิ้นอื่น ๆ เช่น พิณ เบส และกลองชุด จนได้รับความนิยมปัจจุบันได้มีการนำเอาเครื่องดนตรีสากลเช่น ออร์แกนคีย์บอร์ดมาประยุกต์เล่นเป็นทำนองหมอลำ ทำให้จังหวะสนุกคึกครื้น ประกอบกับการนำเพลงสากลเพลงสตริงเพลงลูกทุ่งที่กำลังฮิตมาประยุกต์เข้าด้วยลำซิ่ง เป็นวิวัฒนาการของลำคู่ (เพราะใช้หมอลำ 2-3 คน) ใช้เครื่องดนตรี สากลเข้าร่วมให้จังหวะเหมือนลำเพลิน มีหางเครื่องเหมือนดนตรีลูกทุ่ง กลอน ลำสนุกสนานมีจังหวะอันเร้าใจ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว หมอลำกลอนซิ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นธุรกิจความความบันเทิงที่ได้รับความนิยม อีกแขนงหนึ่ง ที่ชาวอีสานนิยมจ้างไปเป็นมหรสพสมโภชน์งานที่ได้จัดขึ้นในโอกาสต่าง ๆรูปแบบการแสดง จะเป็นการร้องรำทำนองหมอลำประยุกต์กับเพลงที่สนุก โดยมีหมอลำฝ่ายชายคอยร้องแก้กับ หมอลำฝ่ายหญิง พร้อมกับ การ โชว์ลีลา การร่ายรำที่อ่อนช้อยงดงามและมีหมอแคนเป่าแคนประกบอยู่ข้าง ๆเพื่อคอยคลอแคนให้หมอลำไม่หลงคีย์เสียงของตนเองซึ่งหมอลำแต่ละคนจะมีหมอแคนประจำตัวของตัวเองปัจจุบัน วงหมอลำซิ่งใหญ่ ๆ จะมีหางเครื่องเพื่อเพิ่มสีสันอีกด้วย การว่าจ้าง เจ้าภาพจะเป็นคนจับคู่หมอลำเอง เพื่อจะได้เห็นการร้องแก้กันด้วยความสนุกสนานและมีไหวพริบ
หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน
เป็นการลำที่มีผู้แสดงครบหรือเกือบจะครบตามจำนวนตัวละครในเรื่องที่ดำเนินการแสดงมีอุปกรณ์ประกอบทั้งฉาก เสื้อผ้าสมจริงสมจังและยังมี.เครื่องดนตรีประกอบ
แต่เดิมทีมีหลัก ๆคือ พิณ (ซุง หรือ ซึง) แคน กลอง การลำจะมี 2 แนวทาง คือ ลำเวียง จะเป็นการลำแบบลำกลอนหมอลำแสดงเป็นตัวละครตามบทบาทในเรื่อง การดำเนินเรื่อง ค่อนข้างช้า แต่ก็ได้ อรรถรสของละครพื้นบ้าน หมอลำได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองในการลำ ทั้งทางด้านเสียงร้อง ปฏิภาณไหวพริบ และความจำ เป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ ต่อมาเมื่อดนตรีลูกทุ่งมีอิทธิพลมากขึ้นจึงเกิดวิวัฒนาการของ ลำหมู่อีกครั้งหนึ่ง โดยได้ประยุกต์ กลายเป็น ลำเพลิน ซึ่งจะมีจังหวะที่เร้าใจชวนให้สนุกสนาน ก่อนการลำเรื่องในช่วงหัวค่ำจะมีการนำเอารูปแบบของ วงดนตรีลูกทุ่งมาใช้เรียกคนดู กล่าวคือ จะมีนักร้อง(หมอลำ) มาร้องเพลงลูกทุ่งหรือบางคณะหมอลำได้นำเพลงสตริง ที่กำลังฮิตในขณะนั้น มีหางเครื่องเต้นประกอบ นำเอาเครื่อง ดนตรีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น กีตาร์ คีย์บอร์ด แซ็กโซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด โดยนำมาผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรีเดิมได้แก่ พิณ แคน ทำให้ได้รสชาติของดนตรีที่แปลกออกไป ยุคนี้นับว่า หมอลำเฟื่องฟู มากที่สุดคณะหมอลำดัง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวัดขอนแก่น มหาสารคามอุบลราชธานี หมอลำหมู่สามารถแบ่งตามทำนองของบทกลอนลำได้อีกซึ่งแต่ละทำนองจะออกเสียงสูงต่ำ ไม่เหมือนกัน ได้แก่ ทำนองขอนแก่น ทำนองกาฬสินธิ์ มหาสารคาม ทำนองอุบล เป็นต้น
http://student.swu.ac.th/hm471010389/isan.htm