ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,380 รายการ
วันพฤหัสบดีที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๑๐ ณ ห้องประชุม ชั้น ๕ อาคารกรมศิลปากร เทเวศร์ กรมศิลปากรจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๔๔ พรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร นางรักชนก โคจรานนท์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ร่วมกิจกรรมพิธีเคารพธงชาติและกล่าวคำปฏิญาณ ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีจอมราชา และร่วมกันปฏิบัติกิจกรรม "วัฒนธรรมอาสา ทำความดีทั้งแผ่นดิน"
ขวานสำริดแบบมีบ้องและแม่พิมพ์หินทราย
แม่พิมพ์ : วิทยาการงานเบ้าหลอมยุคก่อนประวัติศาสตร์สู่งานศาสนศิลป์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีการใช้แม่พิมพ์มาตั้งแต่มนุษย์รู้จักสินแร่และการถลุงโลหะเพื่อนำมาใช้งาน ยุคนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวิวัฒนาการของมนุษยชาติ หากอนุโลมตามหลักฐานการใช้เครื่องมือแต่ละยุคสมัย ยุคสำริดในประเทศไทยจะมีอายุประมาณ ๔,๐๐๐ - ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
แม่พิมพ์หิน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายของแม่พิมพ์ว่า “สิ่งที่เป็นต้นแบบ” โดยแม่พิมพ์ที่นิยมใช้ในการหล่อสำริดมี ๔ ชนิด คือ แม่พิมพ์แบบเปิด แม่พิมพ์หลายชิ้น (สำหรับหล่อโลหะตัน) แม่พิมพ์ชนิดแกนลอย (สำหรับโลหะที่มีรูหรือบ้องกลวง) และแม่พิมพ์สำหรับการหล่อแบบแทนที่ขี้ผึ้ง ส่วนวัตถุชิ้นแรกคือ “แม่พิมพ์หินทรายรูปขวาน” เป็นแม่พิมพ์แบบประกบ ตั้งอยู่คู่กับ “ขวานสำริดแบบมีบ้อง” มีเศษเครื่องจักสานติดอยู่ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาเรื่องเครื่องใช้ของคนในอดีต โดยวัตถุทั้งสองชิ้นมีอายุอยู่ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์แบบวัฒนธรรมบ้านเชียง ประมาณ ๔,๐๐๐ - ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
แม่พิมพ์ดินเผา
การใช้ “แม่พิมพ์” ยังคงดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ “แม่พิมพ์” นอกจากจะนำมาประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้แล้ว ยังได้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์เรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ เหรียญมีค่า ดังปรากฏหลักฐาน “แม่พิมพ์เหรียญสมัยทวารวดี” ระบุประวัติว่าพบที่เมืองจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ลักษณะเป็นแม่พิมพ์ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สลักลายกลมสองวง ตลอดจนความเชื่อทางศาสนา ดังปรากฏว่ามีการสร้างพระพิมพ์ในไทยตั้งแต่สมัยทวารวดี มีหลักฐานชิ้นสำคัญคือ “แม่พิมพ์ดินเผา” กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับในกรอบซุ้มอาคารทรงศิขระ ด้านข้างประดับสถูปเต็มพื้นที่ มีรูปแบบคล้ายพระพิมพ์ซุ้มพุทธคยาที่สืบมาจากประเทศอินเดีย พบได้ทั่วไปในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย โดยวัตถุชิ้นนี้ มีประวัติระบุว่าขุดได้จากในพระเจดีย์วัดไชยชุมพลชนะสงคราม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าการสร้างแม่พิมพ์ในศาสนากลับไม่พบในพราหมณ์-ฮินดู สอดรับกับที่ศาสตราจารย์เซเดส์ อธิบายไว้ในหนังสือ “ตำนานพระพิมพ์” ว่า ...ประเพณีการสร้างพระพุทธรูป โดยวิธีใช้กดด้วยแม่พิมพ์และประทับด้วยตรานี้ ปรากฏแต่ในฝ่ายพระพุทธศาสนาเท่านั้น...
อย่างไรก็ดี แม้ “แม่พิมพ์” จะสามารถแสดงหลักฐานที่มา สืบต่อศาสนา หรือส่งต่อความเป็นต้นแบบได้ก็ตาม ทว่า ความเป็น “ครู” ยังอาจก้าวข้ามคำว่า “แม่พิมพ์” สู่ “ผู้เป็นแนวทางแก่ศิษย์ เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นแสงให้อนาคตของชาติ” ได้อีกด้วย ดังนั้น ในวาระวันครูแห่งชาติที่กำลังจะมาถึง เพจคลังกลางฯ ขอเป็นกำลังใจให้ “ครู” ผู้ทำหน้าที่พายเรือส่งลูกศิษย์ถึงฝั่งทุกท่านนะครับ
เผยแพร่โดย นายศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ / เทคนิคภาพ นายอริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ
อุทยานธรณีโคราช (Khorat Geopark) ที่ได้รับมติยอมรับให้เป็น "จีโอพาร์คโลกยูเนสโก"
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 28/6ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า : กว้าง 4.9 ซม. ยาว 54.7 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
เรื่อง “วันกีฬาแห่งชาติ 16 ธันวาคม”
วันกีฬาแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 16 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหา ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นตัวแทนของนักกีฬาทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ที่กรุงเทพฯ
รัฐบาลได้ทำการส่งเสริมทางด้านการส่งเสริมทางด้านกีฬาไทยด้วยดีเสมอมาเพราะตระหนักถึงคุณค่าและความ สำคัญของการเล่นกีฬา นอกจากจะเป็นการออกกำลังกายแล้ว ยังทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง การกีฬายังเป็นเครื่องช่วยผ่อนคลายความเครียด ช่วยปรับปรุงในด้านความคิดและอุปนิสัยให้ประชาชนในชาติ เป็นผู้มีความเสียสละ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และมีความสามัคคีต่อกัน
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเป็นตัวแทนของนักกีฬาทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ที่กรุงเทพฯ และทรงชนะเลิศได้รับเหรียญทองในการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค. ซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ทางการกีฬาของประเทศไทย
พระองค์ทรงมีความรู้แตกฉานในทางเรือใบ และทำให้พระองค์ทรงสามารถคิดค้นออกแบบและต่อเรือที่จะทรงใช้เป็นอุปกรณ์ในการแข่งขันที่เหมาะสมกับพระองค์มากที่สุดด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เรือใบพระที่นั่งประเภท โอ.เค ที่ทรงใช้ในการแข่งขัน พระราชทานชื่อว่า “นวฤกษ์”
นอกเหนือจากกีฬาเรือใบแล้ว แบดบินตันก็เป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ทรงโปรดปรานมากเช่นกัน ในหอประชุมวังจิตรลดาฯ ได้ปรับแต่งเป็นสนามแบดมินตันมาตรฐาน ส่วนมากพระองค์จะทรงแบดมินตันในตอนเย็นและวันศุกร์ และเช้าวันอาทิตย์
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ทางการกีฬานี้ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกว่า พระองค์ทรงเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริงและทรงสนับสนุนกีฬาจนเป็นที่ปรากฏชัด
ดังนั้นในการประชุมใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากลครั้งที่ 29 ที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยมีนายฮวน อันโตนีโอ ซามาร้านซ์ ประธานคณะโอลิมปิกสากล เป็นประธานการประชุมพร้อมทั้งสมาชิกเข้าร่วมประชุมอีก 87 ประเทศ ได้มีมติเอกฉันท์ให้ทูลเกล้าฯถวายเหรียญดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิกสากล คือ "อิสริยาภรณ์โอลิมปิกชั้นสูงสุด" (ทอง) แด่องค์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ ศาลาดุสิตาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก ที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวายเหรียญโอลิมปิกชั้นสูง สมควรที่นักกีฬาและประชาชนชาวไทยควรที่จะเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท อันจะเป็นโอกาสให้สามารถนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติและวงศ์ตระกูล
เพื่อเป็นการระลึกถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงเป็นนักกีฬาตัวแทนของชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าความสำคัญของการกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย จึงได้มีมตินำเสนอคณะรัฐมนตรีลงความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2529 กำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวัน "วันกีฬาแห่งชาติ"
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 137/4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 172/7เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 56/3ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 60 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 10/5ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ประหยัด พงษ์ดำ เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2477 ที่จังหวัดสิงห์บุรี เริ่มเรียนศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่างเมื่อ พ.ศ. 2492 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 5 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้มอบหมายให้ประหยัดสอนวิชาทฤษฎีศิลป์ (Art Theory) และวิชากายวิภาค (Anatomy) ต่อมาในปี 2504 ได้รับทุนไปศึกษาต่อทางด้านศิลปะที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งกรุงโรม (L’Accademia di Belle Arti di Roma) ประเทศอิตาลี เป็นเวลา 2 ปี ได้รับประกาศนียบัตร Diploma of Fine Art หลังจากสำเร็จการศึกษา ประหยัดกลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะจิตรกรรมฯ จนกระทั่งปี 2523 ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะจิตรกรรมฯ ประหยัดเกษียณอายุราชการในปี 2537 แต่ยังคงได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษที่คณะจิตรกรรมฯ และสถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง
ประหยัดสร้างสรรค์ผลงานทั้งจิตรกรรมและภาพพิมพ์ ผลงานในระยะแรกเป็นภาพพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ยาง (Lenocut) ไม้อัด (Plywood) และมาโซไนท์ (Masonite) ผลงานจึงมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และเป็นเพียงภาพขาว – ดำ หรือภาพที่มีสีเพียงไม่กี่สี แสดงถึงเรื่องราวในบรรยากาศและความรู้สึกของศิลปินเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเร้นลับ ไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์ ผ่านภาพสัตว์และทิวทัศน์ในชนบทเป็นส่วนใหญ่
ต่อมาประหยัดได้ศึกษาเทคนิคการพิมพ์ภาพพิมพ์หลายสี ด้วยแม่พิมพ์ชิ้นเดียวและหลายชิ้น โดยใช้เทคนิคภาพพิมพ์สีน้ำมัน มีการใช้สีสันมากขึ้นเพื่อทำให้ผลงานดูสดใส มีชีวิตชีวา ผลงานจึงมีลักษณะแปลกใหม่ นำเสนอเรื่องราววิถีชีวิตความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมในชนบท เรื่องของจิตวิญญาณ ความเชื่อทางศาสนา ความผูกพันกันระหว่างแม่กับลูกทั้งในมนุษย์และสัตว์ โดยเฉพาะรูปกิริยาท่าทางของสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ประหยัดนำมาเป็นตัวละครหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน เช่น ม้า วัว ตุ๊กแก นกเค้าแมว แมว และไก่
ประหยัดสามารถสร้างภาพพิมพ์รูปสัตว์ให้ดูมีชีวิต มีการเคลื่อนไหว และแสดงลักษณะของสัตว์ในอิริยาบถต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ภาพพิมพ์บางชิ้นมีการติดทองคำเปลวลงไปก่อนการพิมพ์รูป เช่น ดวงตาของแมวในที่มืด และดวงดาวบนท้องฟ้าอันมืดมิด เพื่อทำให้เกิดจุดสนใจและให้กลิ่นอายของความเป็นไทย รู้สึกได้ถึงความลึกลับ วังเวง และน่าค้นหา ถ่ายทอดบรรยากาศแห่งความเงียบสงบในช่วงเช้ามืดที่เงียบสงัด และช่วงโพล้เพล้จวนค่ำ ผลงานจึงแฝงเร้นไปด้วยความลึกลับ เน้นการสื่อสารถึงอารมณ์ความรู้สึก มากกว่าการยึดติดในความสวยงามทางกายภาพ
ในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 12 (พ.ศ. 2504) ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวถึงผลงานของประหยัดไว้ว่า “…เห็นได้ว่างานครั้งหลังของประหยัดมีความก้าวหน้าทางเทคนิคมาก ไม่แพ้การออกแบบ ภาพควายขวิดกันและภาพไก่นั้นเขียนอย่างกล้า และมีองค์ประกอบภาพถ่วงกันอย่างพอเหมาะพอดี…” ผลงานชิ้นเด่นของประหยัด เช่น “ยามเช้า” เป็นภาพพิมพ์ที่ใช้เทคนิคการแกะไม้เป็นรูปไก่กำลังโก่งคอขัน องค์ประกอบต่างๆ จัดวางได้อย่างเรียบง่ายและกลมกลืน แสดงความเคลื่อนไหวของไก่อย่างมีพลัง สะท้อนถึงวิถีชีวิตในชนบทได้เป็นอย่างดี
พ.ศ. 2524 ประหยัดได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินชั้นเยี่ยม สาขาภาพพิมพ์ จากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ และกระทรวงวัฒนธรรมประกาศเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) เมื่อ พ.ศ. 2541 ประหยัดถึงแก่กรรมเนื่องจากระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตล้มเหลว เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557 สิริอายุ 79 ปี
#ประหยัดพงษ์ดำ
#ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่๙
#ศิลปินแห่งนวสมัย #หอศิลป์แห่งชาติ
#หอศิลป์แห่งชาติถนนเจ้าฟ้า
ที่มา
1. หนังสือ “ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ 2477 – 2557” โดย ครอบครัวพงษ์ดำ
2. หนังสือ “ศิลปวิชาการ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี” โดย วิบูลย์ ลี้สุวรรณ
3. หนังสือ “5 ทศวรรษ ศิลปกรรมแห่งชาติ 2492 – 2541” โดย หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
4. หนังสือ “ศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 9” โดย ศาสตราจารย์วิโชค มุกดามณี
เลขวัตถุ
ชื่อวัตถุ
ขนาด (ซม.)
ชนิด
สมัยหรือฝีมือช่าง
ประวัติการได้มา
ภาพวัตถุจัดแสดง
32/2553
(28/2549)
ใบหอกมีด้าม สภาพชำรุด ส่วนคมผุกร่อน ส่วนด้ามผุชำรุดเป็นสนิมทั้งอัน
ย.21.5
ก.4.7
สำริด
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 2,500-2,000 ปีมาแล้ว
ได้จากบ้านเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนา จ.นครนายก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539
เลขทะเบียน : นพ.บ.503/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 167 (205-215) ผูก 4 (2566)หัวเรื่อง : รามชาตก--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม