ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,783 รายการ
ชื่อโบราณวัตถุ : ภาชนะดินเผาแบบศิลปะ : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชนิด : ดินเผาขนาด : สูง 16.3 เซนติเมตร ปากกว้าง 11.2 เซนติเมตรอายุสมัย : วัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยกลาง 3,000 - 2,300 ปีมาแล้วลักษณะ : ภาชนะดินเผามีเชิง มีการตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ขูดขีด และเขียนสีแดงสภาพชำรุด บริเวณเชิง และปากหักหายไปสภาพ :...ประวัติ : ได้จากการขุดค้นที่หลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีในเมื่อปี 2546สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีแสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang/360/model/15/ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang
ชื่อเรื่อง สพ.ส.80 ตำราภาพพระโยคาวจร พิจารณาพระกรรมฐานประเภทวัสดุ/มีเดีย สมุดไทยขาวISBN/ISSN -หมวดหมู่ ธรรมคดีลักษณะวัสดุ 58; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง ธรรมคดี ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก ประวัติวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 15 ส.ค..2538
#เรื่องเล่าจากบันทึกเหตุการณ์ : โครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
----------------------
-บึงสีไฟ-
บึงสีไฟเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของจังหวัดพิจิตร เป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีมาตั้งแต่อดีต มีความอุดมสมบูรณ์และมีความสำคัญต่อชาวจังหวัดพิจิตรมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันมีพื้นที่จำนวน 5,390 ไร่ จัดเป็นบึงน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ มีความสำคัญในภาคการเกษตร การชลประทาน และเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน เมื่อปี 2556 บึงสีไฟได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งอย่างหนัก ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้น้ำในบึงแห้งขอด และในปี 2560 เกิดไฟไหม้บริเวณเกาะกลางบึงสีไฟ เนื่องจากมีวัชพืชแห้งทับถมกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในฤดูแล้ง ทำให้ประชาชนเกิดความเดือนร้อน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการปรับปรุงและพัฒนาบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในการเกษตร การชลประทาน การอนุรักษ์ระบบนิเวศน์ และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวพิจิตร
ในปี 2567 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จังหวัดพิจิตร จึงได้จัดทำ “โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติ” เพื่อพัฒนาบึงสีไฟให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคเหนือตอนล่าง ตลอดจนเป็นสนามแข่งขันจักรยานระดับนานาชาติ โดยเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2567 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้พระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า “สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข” มีความหมายว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย ภายในสนามมีการสร้างทางจักรยาน ทางเดิน และลู่วิ่ง รอบบริเวณบึงสีไฟ ระยะทางยาว 10.28 กิโลเมตร พร้อมทั้งสร้างสนามจักรยานบีเอ็มเอ๊กซ์ (BMX) สนามปั๊มแทร็ค (Pumptrack) และสนามขาไถสำหรับเด็กเล็ก (Balance Bike)
สนามจักรยานบีเอ็มเอ๊กซ์ สนามปั๊มแทร็ค ออกแบบโดย นางมารี เครปส์ และนายฮาวี่ เครปส์ จากสมาพันธรัฐสวิสชาวสวิตเซอร์แลนด์ ผู้ฝึกสอนจักรยานบีเอ็มเอ๊กซ์ทีมชาติไทย สนามจักรยานบีเอ็มเอ๊กซ์ มีความยาว 356 เมตร ความสูง 5 เมตร มีพื้นที่รวมทั้งหมด 8,400 ตารางเมตร เป็นสนามที่ได้มาตรฐานของสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (Union Cycliste Internationale: UCI) และสามารถจัดการแข่งขันในระดับ World Cup และ World Championships ได้ ส่วนสนามปั๊มแทร็ค มีความยาว 350 เมตร ความกว้าง 2 เมตร มีพื้นที่รวมทั้งหมด 1,683 ตารางเมตร สนามจักรยานขาไถสำหรับเด็กเล็ก ออกแบบโดยนายอัถร ชัยมาโย ผู้ฝึกสอนจักรยานบีเอ็มเอ๊กซ์ทีมชาติไทย มีความยาว 120 เมตร พื้นที่รวมทั้งหมด 1,600 ตารางเมตร ทั้ง 3 สนาม ผู้รับผิดชอบในการก่อสร้าง คือ แขวงการทางจังหวัดพิจิตร และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2567
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิด “โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” และทรงเปิดสนามจักรยาน “สราญจิตมงคลสุข” ณ บริเวณโครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติ ฯ อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา
เรียงเรียงโดย นายวันชัย ภูมิซองแมว นักจดหมายเหตุ
----------------------
เอกสารอ้างอิง
- คำกราบบังคมทูลรายงานการแสดงปั่นจักรยานของพลเอก เดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- คำกราบบังคมทูลของนายอดิเทพ กมลเวชช์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ขอเผยแพร่ องค์ความรู้ประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๗ เรื่อง " ประติมากรรมปูนปั้น “หน้ากาล” วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง " หน้ากาล คือ รูปหน้าสัตว์ในเทพนิยาย บางครั้งเรียกว่า “เกียรติมุข” บ้างก็เรียกว่า “สิงหมุข” เพราะดูคล้ายหน้าสิงห์ มักทำประดับเหนือประตูทางเข้าอาคารหรือคูหา มีนัยว่าเพื่อปกป้องรักษาศาสนสถาน คติเรื่องหน้ากาลและเกียรติมุขโดยสังเขป หน้ากาลเป็นสัญลักษณ์ของกาลเวลา ซึ่งมีเรื่องเล่ากล่าวถึงผู้ที่กลืนกินตนเอง แม้แต่ริมฝีปากล่างของตน หน้ากาลในศิลปะไทยจึงปรากฏแต่เพียงหน้า ไม่มีตัว ดังนั้นคำว่า “กาล” หรือ“กาละ” ในอีกความหมายหนึ่งคือ “เวลา” มีนัยว่าเวลาย่อมกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ดังที่อสูรตนนี้กลืนกินแม้กระทั่งร่างของตนเอง ส่วนเกียรติมุขเกิดจากนรสิงห์ตนหนึ่งที่พระศิวะเคยประทานพรให้แล้วเกิดความทะเยอทะยาน พระองค์จึงกลับมาปราบโดยตัดเศียรแล้วนำไปประดับไว้ที่ทางเข้าศาสนสถาน เพื่อให้ลมหายใจของมันมอบพลังให้แก่ผู้ที่เข้ามายังศาสนสถาน หน้ากาลเป็นลวดลายปูนปั้นที่ใช้ประดับโบราณสถาน โดยมักจะประดับอยู่ที่ยอดซุ้ม สะท้อนถึงลวดลายที่นิยมสร้างสรรค์ในศิลปะสุโขทัย รวมทั้งคติ ความเชื่อที่ปรากฎในงานศิลปกรรมสมัยสุโขทัย มีลักษณะเป็นรูปหน้ายักษ์ปนสิงห์หรือใบหน้าอสูรที่มีลักษณะดุร้าย คิ้วขมวด นัยน์ตากลมโตถลน จมูกใหญ่ ปากกว้างเห็นฟันบนและมีเขี้ยว ไม่มีริมฝีปากล่าง ไม่มีลำตัว มีแขนออกมาจากด้านข้างศีรษะสวมเครื่องประดับศีรษะลักษณะเป็นกระบังหน้า ในเมืองศรีสัชนาลัยพบประติมากรรมปูนปั้นหน้ากาลที่มีลักษณะคล้ายราหูที่ประดับซุ้มประตูกำแพงล้อมรอบบริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง งานศิลปะที่เกี่ยวกับราหูในประเทศไทย จึงมักเป็นลายปูนปั้นประกอบในสถาปัตยกรรมทำเป็นหน้ายักษ์หรืออสูร ไม่มีลำตัว มีแต่ส่วนของมือและแขน สองข้างจับรูปวงกลมซึ่งทำเป็นสัญลักษณ์แทนพระอาทิตย์และพระจันทร์มาอมไว้ในปาก โดยรูปแบบทางศิลปกรรมของราหูจึงไปคล้ายคลึงกับหน้ากาล ซึ่งเป็นอสูรหรือหน้ายักษ์เช่นกัน ในงานประติมากรรมปูนปั้นราหูมักจะทำไว้ที่หน้าบันของโบสถ์ วิหาร หรือตามซุ้มประตูทางเข้าศาสนสถานบรรณานุกรมนภาธิต วัฒนถาวร. “พระราหู : ภาพสะท้อนของสังคมเมืองยุคโลกาภิวัฒน์.” วิทยานิพนธ์ปริญญา ศิลปศาตรบัณฑิต ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๘.พลอยชมพู ยามะเพวัน. “พัฒนาการจากหน้ากาลมาเป็นราหูในสมัยรัตนโกสินทร์.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔.สันติ เล็กสุขุม. งานช่าง คำช่างโบราณ. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๗.ปาริสุทธิ์ เลิศคชาธาร. หน้ากาล-เกียรติมุข-ราหู. วัฒนธรรมออนไลน์. สืบค้นจาก http://article.culture.go.th/index.php/gallery/๓-column-layout-๕/๒๘๒-๒๐๒๒-๐๑-๑๔-๐๙-๑๑-๔๒. (เข้าถึงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๗).พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง สุโขทัย. โบราณวัตถุชิ้นเด่น เกียรติมุขหรือหน้ากาล. กรมศิลปากร. สืบค้นจาก https://www.finearts.go.th/ramkhamhaengmuseum/view/๗๘๕๐. (เข้าถึงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๗).
ภาพเล่าเรื่องรูปบุคคลนั่งท่ามหาราชลีลา
- ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)
- ปูนปั้น
- ขนาด กว้าง ๘๔.๕ ซม. ยาว ๘๕.๕ ซม. หนา ๑๒ ซม.
เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของเจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ปูนปั้นรูปบุคคล พิจารณาจากเครื่องประดับ และท่านั่งน่าจะเป็นบุคคลชั้นสูง หรือเทวดา
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40101
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th
วัดผาลาด วัดผาลาด เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ผาลาด มาจากคำว่า ผะเลิด เพราะคนและช้างต่างลื่นล้มเมื่อเดินมาตามเส้นทางขึ้นเขา และเมื่อตั้งวัดจึงตั้งชื่อว่าผาลาด วัดผาลาดปรากฏหลักฐานในเอกสาร ตำนาน และพงศาวดาร มีประวัติศาสตร์ร่วมกับพระธาตุดอยสุเทพ ตามที่ปรากฏในพงศาวดารโยนก ความว่า “พระเจ้านครเชียงใหม่ให้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์หนึ่ง ซึ่งเสด็จมาใหม่ไว้ในวัดบุปผารามนั้น ส่วนพระบรมสารีริกธาตุองค์เดิมซึ่งพระมหาสุมณนำมาจากเมืองสุโขทัยนั้น เพื่อจะแสวงหาที่อันสมควรสร้างพระสถูปเจดีย์ จึงเชิญผอบพระบรมธาตุขึ้นสถิตเหนือพระคชสาร อธิษฐานเสี่ยงช้างพระที่นั่งปล่อยไป ช้างทรงพระบรมธาตุนั้นก็บ่ายหน้าเดินออกประตูหัวเวียงไปขึ้นสู่ดอยอุสุจบรรพต (ดอยสุเทพ) ไปถึงผาลาดก็หยุดรออยู่ครู่หนึ่งก็ขึ้นไปถึงจอมเขาแล้วก็หยุดอยู่ ณ ที่นั้น” อาคารเสนาสนะที่สำคัญ ได้แก่ เจดีย์เป็นศิลปะพม่าสมัยครูบาศรีวิชัย วิหารสร้างขึ้นในสมัยครูบาศรีวิชัยโดยช่างชาวพม่า ฐานโบราณสถาน (โบสถ์) (วิหารพระเจ้ากือนา) อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเจดีย์ ปูชนียวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ พระพุทธรูปเป็นศิลปะพม่า วัดยังมีบ่อน้ำที่มีการสร้างทับซ้อนกันหลายยุคหลายสมัย และศาลาเก่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางขึ้นสู่วัดผาลาดตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติจากบริเวณด้านสถานีวิทยุโทรทัศน์ ช่อง ๗ ระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตร จะถึงวัดผาลาด และสามารถเดินลัดป่าขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพ รวมระยะทางไปกลับประมาณ ๑๐ กิโลเมตร นับว่าเป็นเส้นทางโบราณครั้งที่พระเจ้ากือนา อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นไปประดิษฐาน ณ ดอยสุเทพ ที่เต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ และโบราณสถานสำคัญตลอดเส้นทางเรียบเรียง : นายวีระยุทธ ไตรสูงเนิน นักจดหมายเหตุชำนาญการภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. (เอกสารจดหมายเหตุชุด ภ หจช ชม ชม สศก ๗.๑.๔๑)อ้างอิง กรมศิลปากร. ๒๕๐๔. พงศาวดารโยนกฉบับหอสมุดแห่งชาติ. กรุงเทพฯ : บุรินทร์การพิมพ์ บัณฑิตชาวนครเชียงใหม่. ๒๕๓๓. ตำนานพระธาตุดอยสุเทพ. เชียงใหม่ : โสภณพิพรรฒธนากร
จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ เล่ม ๒
แบบฟอร์ม ศก.6 คำขอรับใบอนุญาตส่งหรือนําโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุออกนอกราชอาณาจักร
นิตยสารรายสองเดือน กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ปีที่ ๖๗ ฉบับที่ ๖ พฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๖๗
SILPAKORN JOURNAL Vol.67 No. 6 November - December 2024 ISSN 0125-0531
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากรได้จัดทำโครงการอนุรักษ์พระพุทธสิหิงค์ ซึ่งประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มุ่งเน้นไปที่การใช้วีธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ เสริมความมั่งคงแข็งแรง และปรับสภาพพื้นผิวให้มีความกลมกลืน เงางาม ด้วยวิธีการและสารเคมีที่เหมาะสม มีความปลอดภัยต่อโบราณวัตถุและผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ โดยไม่เกิดผลกระทบต่อเนื้อโลหะและวัสดุดั้งเดิม ให้พระพุทธสิหิงค์กลับมามีสภาพสวยงาม คงหลักฐานความเป็นของแท้ดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด และป้องกันการเสื่อมสภาพในอนาคต เพื่อรักษาไว้ซึ่งพระพุทธรูปที่สำคัญของประเทศ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานปัทม์ พระหัตถ์แสดงปางสมาธิ มีพระรัศมีคล้ายเปลวเพลิง กำหนดอายุในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20 – พุทธศตวรรษที่ 21 รูปแบบศิลปะสุโขทัย - ล้านนา สร้างจากโลหะผสมของทองแดง พื้นผิวเป็นสีทอง ด้วยวิธีการกะไหล่ทอง หรือเรียกว่าเทคนิคเปียกทอง ตั้งแต่พระรัศมีจนถึงฐาน ไม่มีหลักฐานปรากฎชัดว่าองค์พระถูกกะไหล่ทองเมื่อใด พระเนตรใช้เทคนิคคล้ายการลงยาสี สภาพปัจจุบันของพระพุทธสิหิงค์เกิดความชำรุด พื้นผิวหมองคล้ำ มีรอยขูดขีด รอยถลอกพบสนิมคอปเปอร์ซัลเฟต ลักษณะเป็นจุดสีดำนูนขนาดเล็กๆ กระจายทั่วพื้นผิว มีรอยแตกร้าว บางจุดสีพื้นผิวไม่สม่ำเสมอ พระเนตรแตกหลุดบางส่วน จึงเกิดแนวคิดที่จะคืนความสมบูรณ์งดงามของพระพุทธสิหิงค์ด้วยวิธีการกะไหล่ทอง แต่ขั้นตอนของการกะไหล่ทอง จะต้องใช้น้ำ ความร้อน กรดเข้มข้น ซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวดั้งเดิมของโบราณวัตถุ โดยเฉพาะพื้นผิวโลหะที่มีความชำรุด แตกร้าว สึกกร่อนอยู่เดิม หากถูกความร้อน สารละลายกรดต่างๆ จะมีโอกาสทำให้ชำรุดเสียหายเพิ่มมากขึ้น ตามรายงานการสำรวจสภาพพระพุทธสิหิงค์และผลกระทบของการกะไหล่ทองของกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา จึงได้มอบหมายกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ ทำการอนุรักษ์ซ่อมแซมพระพุทธสิหิงค์ ฐาน และ ฉัตร ด้วยการรักษาสภาพพื้นผิว ทำความสะอาดและกำจัดสนิม เสริมความมั่งคงแข็งแรง อุดซ่อมรอยแตกร้าวเท่าที่จำเป็น และปรับสภาพพื้นผิว เติมส่วนที่หายไป ด้วยวิธีการ วัสดุและสารเคมีที่เหมาะสม ส่งผลกระทบกับพื้นผิวดั้งเดิมให้น้อยที่สุด และคงไว้ซึ่งความเป็นของแท้ดั้งเดิม นอกจากนี้ ยังให้ดำเนินการตรวจสอบ เก็บข้อมูลปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ปริมาณก๊าซ มลพิษที่ก่อให้เกิดสนิมบนพื้นผิว รวมถึงกิจกรรมที่มีโอกาสส่งผลกระทบกับการเสื่อมสภาพของพระพุทธสิหิงค์ รวมถึงจัดเก็บและรวบรวมข้อมูล หลักฐาน ขั้นตอนการอนุรักษ์พระพุทธสิหิงค์ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อไปในอนาคต คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 4 เดือน ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์องค์จำลอง มาประดิษฐานให้ประชาชนได้สักการะในระหว่างดำเนินการ
สำหรับผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนบูรณะองค์พระพุทธสิหิงค์ สามารถร่วมบริจาคโดยบูชาวัตถุมงคลพระพุทธสิหิงค์ ได้ที่ ฝ่ายพัสดุ กลุ่มคลังและพัสดุ สำนักบริหารกลาง ชั้น 3 กรมศิลปากร เทเวศร์ สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0 2126 6559 หรือ facebook page พระพิฆเนศวร 108 ปี กรมศิลปากรทั้งนี้ สามารถสั่งเช่าบูชาได้ผ่านทางกล่องข้อความ facebook หรือหากสะดวกสามารถเข้ามาบูชาได้ด้วยตนเองได้ทุกวัน เวลา 09:30 - 15:30 น. * หมายเหตุ : บางรายการอาจมีผู้ศรัทธาบูชาหมดแล้ว
องค์ความรู้เรื่อง มะพร้าวสารพัดประโยชน์
ผู้เรียบเรียง : นางสาวกาญจนา ศรีเหรา บรรณารักษ์