...

ความรู้ทั่วไป
ความรู้ทั่วไปโขน

โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงอย่างหนึ่ง ของไทย มีกำเนิดมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ในชั้นเดิมปรับปรุงจาก การเล่น ๓ ประเภท คือ หนังใหญ่ ชักนาคดึกดำบรรพ์ และกระบี่ กระบอง ได้แก้ไขปรับปรุง ให้ประณีต ตามลำดับ แต่เดิมนั้นผู้แสดงโขนจะต้องสวมหัวโขน เปิดหน้าทั้งหมด จึงต้องมีผู้พูดแทนเรียกว่าผู้พากย์ - เจรจา ต่อมาได้ปรับปรุง ให้ผู้แสดง ซึ่งเป็นตัวเทพบุตร เทพธิดา และมนุษย์ชาย หญิง สวมแต่เครื่อง ประดับศีรษะไม่ต้อง เปิดหน้าทั้งหมด เครื่องประดับศีรษะ ได้แก่ ชฎา มงกุฎ รัดเกล้า กระบังหน้า ซึ่งมี ศัพท์ เรียกว่า ศิราภรณ์ แต่ผู้แสดงโขนที่สวมศิราภรณ์เหล่านี้ ก็ยังคงรักษาประเพณีเดิมไว้ คือ ไม่พูดเอง ต้องมีผู้พากย์ - เจรจาแทน เว้นแต่ผู้แสดง เป็นตัวตลก และฤาษีบางองค์ จึงจะเจรจาเอง ถือเป็นเอกลักษณ์ อย่างหนึ่งของผู้แสดงโขนที่เป็นตัวตลก เรื่องที่ใช้ แสดงโขน ในปัจจุบันนี้ นิยมเพียงเรื่องเดียว คือ เรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งไทย ได้เค้าเรื่องเดิม มาจากเรื่องรามายณะ ของอินเดีย มีอยู่หลายตอนที่ เรื่องรามเกียรติ์ ดำเนินความ แตกต่างจาก เรื่องรามายณะมาก โดยเหตุที่ เรื่องรามเกียรติ์เป็นเรื่องยาว ไม่สามารถ แสดงให้จบในวันเดียวได้ บูรพาจารย์ ทางด้านการแสดงโขน จึงแบ่งเรื่องราวที่จะแสดงออกเป็นตอน ๆ มีศัพท์เรียก โดยเฉพาะว่า "ชุด" การที่เรียกการแสดงโขนแต่ละตอนว่าชุดนั้น เรียกตามแบบหนังใหญ่ คือเขาจัดตัวหนังไว้เป็นชุด ๆ จะแสดงชุดไหนก็หยิบตัวหนังชุดนั้นมาแสดง ที่กล่าวว่าโขน ปรับปรุงมาจาก การเล่นหนังใหญ่ ชักนาคดึกดำบรรพ์ และการเล่น กระบี่กระบองนั้น ท่านผู้รู้อธิบายว่า แต่เดิมการเล่นหนังใหญ่ เป็นมหรสพขึ้นชื่อลือชา มีมาตั้งแต่ ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี ดังที่กล่าวไว้ในหนังสือ บุณโณวาทคำฉันท์ของพระมหานาค วัดท่าทราย ซึ่งแต่งขึ้นในราว พ.ศ. ๒๒๙๔ - ๒๓๐๑ เป็นระยะเวลา ๗ ปี ปลายรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ในหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงมหรสพ ที่แสดงฉลองพระพุทธบาท ในตอนกลางคืนว่า มีการละเล่นหนังใหญ่อยู่ด้วย การละเล่น หนังใหญ่นั้น เขานำแผ่นหนังวัว (บางท่านก็ว่ามีหนังควายด้วย) มาฉลุสลัก เป็นรูปตัวยักษ์ ลิง พระ นาง ตามเรื่อง รามเกียรติ์ การเล่นหนังใหญ่ นอกจากจะมีตังหนังแล้ว ยังต้องมีคนเชิดหนัง คนเชิดหนัง คือคนที่นำตัวหนัง ออกมาเชิด และยกขาเต้นเป็นจังหวะ นอกจากนี้ ยังต้องมีผู้พากย์ - เจรจา ทำหน้าที่ พูดแทนตัวหนัง และมีวงปี่พาทย์ ประกอบการแสดงด้วย สำหรับสถานที่ แสดงหนังใหญ่ นิยมแสดงบน สนามหญ้าหรือบนพื้นดิน มีจอผ้าขาว ราว ๆ ๑๖ เมตร ขึงโดยมีไม้ไผ่ หรือไม้กลม ๆ ปักเป็นเสา ๔ เสา รอบ ๆ จอผ้าขาว ขลิบริมด้วยผ้าแดง ด้านหลังจอจุดไต้ ให้มีแสงสว่าง เพื่อเวลา ที่ผู้เชิดหนัง เอาตัวหนัง ทาบจอทางด้านใน ผู้ชมจะได้แลเห็นลวดลาย ของตัวหนังได้ชัดเจนสวยงาม เมื่อแสดงหนังใหญ่นาน ๆ เข้า ทั้งผู้ชมและผู้เชิดหนัง ก็คงจะเกิดความเบื่อหน่ายผู้ชม คงจะเบื่อที่ตัวหนังใหญ่ เคลื่อนไหวอิริยาบถ ไม่ได้ฉลุสลัก เป็นรูปร่างอย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ส่วนผู้เชิดหนัง ก็อาจจะเบื่อหน่าย ที่จะนำตัวหนัง ออก ไปเชิด เนื่องจาก ตัวหนังบางตัว มีน้ำหนักมาก การที่ต้อง จับยกขึ้น เชิดชูอยู่เป็น เวลานาน ๆ ก็ทำให้ เมื่อยแขน ตัวหนังที่มีน้ำหนักมาก ๆ บางตัวมีขนาดใหญ่ และสูงขึ้นถึง ๒ เมตร เช่น หนังเมือง หรือหนัง ปราสาท จึงคิดจะออกไปแสดงแทน ตัวหนังใหญ่ แต่ก็ยังหา เครื่องแต่งกายให้ เหมาะสม กับตัวละครใน เรื่องรามเกียรติ์ ที่แบ่งเป็น พระ นาง ยักษ์ และลิง ไม่ได้ บังเอิญในเวลานั้น มีการเล่นใน พระราชพิธี อินทราภิเษกอยู่อย่างหนึ่ง คือ การเล่นชักนาค ดึกดำบรรพ์ การเล่นแบบ นี้ผู้เล่นแต่งกาย เป็นยักษ์ ลิง เทวดา มีพาลี และสุครีพ เป็นตัวเอก การเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ ในพระราชพิธี อินทราภิเษกนี้ ท่านผู้รู้ สันนิษฐานว่า บางทีพระมหากษัตริย์ไทย ในสมัยโบราณ อาจจะได้แบบอย่าง มาจากขอม แม้จะ ไม่มีตำนาน กล่าวไว้โดยชัดเจน แต่ก็ปรากฏว่า มีพนักสะพานทั้งสองข้าง ที่ทอดข้ามคู เข้าสู่นครธม ทำเป็นรูปพญานาค ตัวใหญ่มี ๗ เศียร ข้างละตัว มีเทวดา อยู่ฟากหนึ่ง อสูรอยู่ฟากหนึ่ง กำลังทำท่าฉุด พญานาค และที่ในนครวัด ก็จำหลักรูปชัดนาค ทำน้ำอมฤตไว้ที่ผนัง ระเบียง ด้านตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้รู้สันนิษฐานว่า การเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษกของไทย น่าจะได้แบบอย่าง มาจากขอม การเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษก จะสร้างภูเขา จำลองขึ้น แล้วทำเป็นตัวพญานาค พันรอบ ภูเขาจำลอง ให้พวกทหาร ตำรวจมหาดเล็ก เด็กชาย แต่งกายเป็นยักษ์ เทวดา และลิง ทำท่าฉุดพญานาค โดยพวกยักษ์ ฉุดด้านเศียรพญานาค เทวดา อยู่ทางด้านหาง และพวกลิงอยู่ทางปลายหาง ผู้ที่คิด จะออกไปแสดงแทนตัวหนังใหญ่ จึงเอาเครื่อง แต่งกายของ ผู้ที่เล่นชักนาคดึกดำบรรพ์มาแต่ง และเครื่องแต่งกาย ก็วิวัฒนาการ ตามลำดับจนกระทั่ง ถึงปัจจุบัน เชื่อกันว่า เครื่องประดับศีรษะ หรือที่เรียกกัน ต่อมาว่าหัวโขน ที่ทำเป็นหน้ายักษ์ ลิง เทวดา และมนุษย์ผู้ชายนั้น ในสมัยที่ได้แบบอย่าง เครื่องแต่งตัว มาจากการเล่นชักนาคดึกบรรพ์ คงจะไม่ใช่ เป็นแบบหัวโขน ที่สวมปิดหน้าทั้งหมด เช่นในปัจจุบันนี้ ในสมัยนั้น คงจะเป็นแบบหน้ากากสวมปิดเพียง ใบหน้า ให้เห็นเป็นรูปยักษ์ ลิง หรือเทวดามากกว่า ส่วนศีรษะก็คงจะสวม เครื่องสวมหัว แบบเดียวกัน ทุกคน บางท่านสันนิษฐานว่า อาจจะสวมลอมพอก แบบผู้ที่แต่งกายเป็นเทวดา เข้ากระบวนแห่ก็เป็นได้ ครั้นต่อมา จึงปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ทำเป็นหัวโขนครอบทั้งศีรษะ เช่นในปัจจุบันนี้ และเข้าใจว่าหัวโขน ที่สวมครอบทั้งศีรษะ คงจะมีมาตั้งแต่ในสมัยกรุงธนบุรี หรือไม่ก็ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมี เครื่องแต่งกายแล้ว ก็นำเอาลีลาท่าทาง การเต้นยกขาขึ้นลง ตามแบบ ท่าเชิดหนังใหญ่ มาเป็นท่าเต้น ของการแสดง ที่คิดขึ้นใหม่ และนำเรื่องรามเกียรติ์ ที่เคยแสดงหนังใหญ่ มาเป็น เรื่องสำหรับแสดง โดยมีการพากย์ เจรจาตามแบบ ที่เคยแสดงหนังใหญ่ นอกจาก ท่าเต้นแล้ว ยังจะต้องมีท่ารำอีกด้วย ในสมัยโบราณ คนไทยเรา เคยเห็นการเล่น กระบี่กระบองมา จนชินตา การเล่นกระบี่กระบองนั้น ก่อนที่คู่ต่อสู้ จะทำการต่อสู้กันอย่างจริงจัง จะต้องรำไหว้ครูด้วยลีลาท่ารำ ตามแบบแม่ท่าเสียก่อน ผู้ที่คิดจะใช้คน ออกไปแสดงแทน ตัวหนังใหญ่ จึงนำเอาท่ารำ ของกระบี่ กระบองมา เป็นท่ารำของตน โดยประดิษฐ์และดัดแปลงขึ้นใหม่บ้าง เช่น ท่าเทพนม ท่าปฐม เป็นต้น นอกจาก ลีลาท่ารำแล้ว ยังเอาท่าทางและ การต่อสู้กัน ของกระบี่กระบอง มาเป็นท่าทางในการรบกัน ของการแสดงชนิดใหม่นี้ด้วย การแสดงที่ปรับปรุงมาจาก การเล่นทั้ง ๓ ประเภท ดังกล่าวมานี้ ต่อมาได้ชื่อว่า "โขน" เป็นชื่อที่ปรากฏ ในหนังสือ ของชาวต่างชาติ กล่าวถึงศิลปะการแสดงของไทย ในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่เหตุใด จึงเรียกนาฏกรรม ที่ปรับปรุงจากการเล่นหนังใหญ่ ชักนาคดึกดำบรรพ์ และกระบี่กระบอง ว่าโขน ยังไม่มีผู้ใด พบหลักฐาน ความเป็นมา อย่างแน่นอน แต่มีอยู่ท่านหนึ่ง คือ นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้เขียนไว้ในหนังสือโขน พิมพ์เผยแพร่มาแล้วหลายครั้ง อธิบายถึงคำว่า"โขน" ไว้ดังนี้ เราได้พบคำว่า"โขล" ของเบงคาลี , "โกล" หรือ "โกลัม" ของทมิฬ และ "โขน" ของอิหร่าน อันมี ความหมาย คล้ายคำว่า "โขน" ซึ่งเป็นนาฏกรรม ของเราในบัดนี้ อย่างน้อยก็ มีความหมาย เป็น ๓ ทาง คือ ๑. จากคำว่า "โขล" ของเบงคาลี ว่าเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ขึงด้วยหนังและใช้ตีรูปร่างเหมือนตะโพน ๒. จากคำว่า "โกล" หรือ โกลัม ของทมิฬ หมายถึง การตกแต่ง ประดับประดาร่างกาย แสดงตัว ให้หมายรู้ถึงเพศ ๓. จากคำว่า "ควาน" หรือ "โขน" ของอิหร่าน ว่า หมายถึงผู้อ่าน หรือขับร้องแทนตัวตุ๊กตาหรือหุ่น ถ้าที่มาของโขน อันเป็นมหานาฏกรรมของเรา จะสืบเนื่องมาจากคำ ในภาษาเบงคาลี ภาษาทมิฬและ ภาษาอิหร่านทั้งสามนั้น ก็ดูจะมีความหมายใกล้เคียง กับรูปศัพท์อยู่บ้าง แม้จะคงยังขาด ความหมาย ถึงผู้เต้น ผู้รำ แต่โขนจะมาจากคำในภาษาเบงคาลี หรือทมิฬหรืออิหร่านก็ตาม ตามหลักฐาน ที่นำมา เสนอไว้นี้ แสดงว่าแต่เดิมก็มาจากอินเดียด้วยกัน เพราะแม้ที่ว่าเป็นคำอิหร่าน ท่านอนันทกุมารสวามี ก็ว่ามีกำเนิดหรืออิทธิพลของอินเดีย "

รำวงมาตรฐาน

ชื่อ รำวงมาตรฐาน ประเภทการแสดง รำ (รำหมู่) ประวัติที่มา รำวงมาตรฐาน เป็นการแสดงที่มีวิวัฒนาการมาจาก “ รำโทน “ เป็นการรำและร้องของชาวบ้าน ซึ่งจะมีผู้รำทั้งชาย และหญิง รำกันเป็นคู่ ๆ รอบ ครกตำข้าวที่วางคว่ำไว้ หรือไม่ก็รำกันเป็นวงกลม โดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ ลักษณะการรำ และร้องเป็นไปตามความถนัด ไม่มีแบบแผนกำหนดไว้ คงเป็นการรำ และร้องง่าย ๆ มุ่งเน้นที่ความสนุกสนานรื่นเริงเป็นสำคัญ เช่น เพลงช่อมาลี เพลงยวนยาเหล เพลงหล่อจิงนะดารา เพลงตามองตา เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ฯลฯ ด้วยเหตุที่การรำชนิดนี้มีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ จึงเรียกการแสดงชุดนี้ว่า “ รำโทน “ ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๗ ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รับบาลตระหนักถึงความสำคัญของการละเล่นรื่นเริงประจำชาติ และเห็นว่าคนไทยนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ถ้าปรับปรุงการเล่นรำโทนให้เป็นระเบียบทั้งเพลงร้องลีลาท่ารำ และการแต่งกาย จำทำให้การเล่นรำโทนเป็นที่น่านิยมมากยิ่งขึ้น จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรปรับปรุงรำโทนเสียใหม่ให้เป็นมาตรฐาน มีการแต่งเนื้อร้อง ทำนองเพลงและนำท่ารำจากแม่บทมากำหนดเป็นท่ารำเฉพาะแต่ละเพลงอย่างเป็นแบบแผน รำวงมาตรฐาน ประกอบด้วยเพลงทั้งหมด ๑๐ เพลง กรมศิลปากรแต่งเนื้อร้องจำนวน ๔ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม แต่งเนื้อร้องเพิ่มอีก ๖ เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงบูชานักรบ เพลงยอดชายใจหาญ ส่วนทำนองเพลงทั้ง ๑๐ เพลง กรมศิลปากร และกรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้แต่ง จากการสัมภาษณ์นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ สาชาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ อธิบายว่า “ท่ารำเพลงรำวงมาตรฐานประดิษฐ์ท่ารำโดย นางลมุล ยมะคุปต์ นางมัลลี คงประภัศร์ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป ส่วนผู้คิดประดิษฐ์จังหวะเท้าของเพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ คือนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสังคีตศิลป ปัจจุบันคือ วิทยาลัยนาฏศิลป ปีพ.ศ.๒๔๘๕ – ๒๔๘๖ เมื่อปรับปรุงแบบแผนการเล่นรำโทนให้มีมาตรฐาน และมีความเหมาะสม จึงมีการเปลี่ยนแปลงชื่อจากรำโทนเป็น “รำวงมาตรฐาน” อันมีลักษณะการแสดงที่เป็นการรำร่วมกันระหว่างชาย – หญิง เป็นคู่ ๆ เคลื่อนย้ายเวียนไปเป็นวงกลม มีเพลงร้องที่แต่งทำนองขึ้นใหม่ มีการใช้ทั้งวงปี่พาทย์บรรเลงเพลงประกอบ และบางเพลงก็ใช้วงดนตรีสากลบรรเลงเพลงประกอบ ซึ่งเพลงร้องที่แต่งขึ้นใหม่ทั้ง ๑๐ เพลง มีท่ารำที่กำหนดไว้เป็นแบบแผนคือ- เพลงงามแสงเดือน ท่าสอดสร้อยมาลา- เพลงชาวไทย ท่าชักแป้งผัดหน้า- เพลงรำมาซิมารำ ท่ารำส่าย- เพลงคืนเดือนหงาย ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง- เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ ท่าแขกเต้าเข้ารัง และท่าผาลาเพียงไหล่- เพลงดอกไม้ของชาติ ท่ารำยั่ว- เพลงหญิงไทยใจงาม ท่าพรหมสี่หน้า และท่ายูงฟ้อนหาง- เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ท่าช้างประสานงา และท่าจันทร์ทรงกลดแปลง- เพลงยอดชายใจหาญ หญิงท่าชะนีร่ายไม้ ชายท่าจ่อเพลิงกัลป์- เพลงบูชานักรบ หญิงท่าขัดจางนาง และท่าล่อแก้ว ชายท่าจันทร์ทรงกลดต่ำ และท่าขอแก้ว รำวงมาตรฐานนิยมเล่นในงานรื่นเริงบันเทิงต่าง ๆ และยังนิยมนำมาใช้เล่นแทนการเต้นรำ สำหรับเครื่องแต่งกายก็มีการกำหนดการแต่งกายของผู้แสดงให้มีระเบียบด้วยการใช้ชุดไทย และชุดสากลนิยม โดยแต่งเป็นคู่ รับกันทั้งชายและหญิง อาทิ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลม มีผ้าคาดเอว ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบอัดจีบ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน ผู้หญิงแต่งชุดไทยแบบรัชกาลที่ ๕ ผู้ชายแต่งสูท ผู้หญิงแต่งชุดไทยเรือนต้น หรือไทยจักรี รำวงมาตรฐาน เป็นการรำที่ได้รับความนิยมสืบมาจนถึงปัจจุบัน มักนิยมนำมาใช้หลังจากจบการแสดง หรือจบงานบันเทิงต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนผู้ร่วมงานออกมารำวงร่วมกัน เป็นการแสดงความสามัคคีกลมเกลียว อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติในการออกมารำวงเพื่อความสนุกสนาน การแสดงรำวงมาตรฐานมีผู้แสดงครั้งแรกดังนี้ นายอาคม สายาคมนายจำนง พรพิสุทธิ์นายธีรยุทธ ดวงศรี นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์นางศิริวัฒน์ ดิษยนันทน์นางสาวสุนันทา บุณยเกตุ รูปแบบ และลักษณะการแสดง รำวงมาตรฐาน เป็นการรำหมู่ประกอบด้วยผู้แสดง ๘ คน ท่ารำประดิษฐ์ขึ้นจากท่ารำมาตรฐานในเพลงแม่บท ความสวยงามของการรำอยู่ที่กระบวนท่ารำที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละเพลง และเครื่องแต่งกายไทยสมัยต่าง ๆ รวมทั้งรูปแบบการแสดงในลักษณะการแปรแถวเป็นวงกลม Get the Flash Player to see this player. การรำแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ดังนี้ ขั้นตอนที่ ๑ ผู้แสดงชาย และหญิงเดินออกมาเป็นแถวตรงสองแถวหันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายทำความเคารพด้วยการไหว้ ขั้นตอนที่ ๒ รำแปรแถวเป็นวงกลมตามทำนองเพลง และรำตามบทร้องรวม ๑๐ เพลง โดยเปลี่ยนท่ารำไปตามเพลงต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบุชานักรบ ขั้นตอนที่ ๓ เมื่อรำจบบทร้องในเพลงที่ ๑๐ ผู้แสดงรำเข้าเวที ทีละคู่ตามทำนองเพลงจนจบ ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงได้แก่ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบเครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายของรำวงมาตรฐาน ประกอบด้วย ๔ แบบดังนี้ แบบที่ ๑ แบบชาวบ้าน ชาย นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอพวงมาลัย เอวคาดผ้าห้อยชายด้านหน้าหญิง นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบอัดจีบ ปล่อยผม ประดับดอกไม้ที่ผมด้านซ้าย คาดเข็มขัด ใส่เครื่องประดับ แบบที่ ๒ แบบรัชกาลที่ ๕ ชาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน ใส่ถุงเท้า ร้องเท้าหญิง นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้ สไบพาดบ่าผูกเป็นโบว์ ทิ้งชายไว้ข้างลำตัวด้านซ้าย ใส่เครื่องประดับมุก แบบที่ ๓ แบบสากลนิยม ชาย นุ่งกางเกง สวมสูท ผูกไท้หญิง นุ่งกระโปรงป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า ใส่เสื้อคอกลม แขนกระบอก แบบที่ ๔ แบบราตรีสโมสร ชายนุ่งกางเกง สวมเสื้อพระราชทาน ผ้าคาดเอวห้อยชายด้านหน้าหญิงนุ่งกระโปรงยาวจีบหน้านาง ใส่เสื้อจับเดรป ชายผ้าห้อยจากบ่าลงไปทางด้านหลัง เปิดไหล่ขวา ศีรษะทำผมเกล้าเป็นมวยสูง ใส่เกี้ยวและเครื่องประดับ บทร้องรำวงมาตรฐาน ๑. เพลงงามแสงเดือน งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้าเราเล่นกันเพื่อนสนุกขอให้เล่นฟ้อนรำ งามใบหน้ามามาอยู่วงรำเปลื้องทุกไม่วายระกำเพื่อสามัคคีเอย ๒. เพลงชาวไทย ชาวไทยเจ้าเอ๋ยการที่เราได้เล่นสนุกเพราะชาติเราได้เสรีเราจึงควรช่วยชูชาติเพื่อความสุขเพิ่มพูน ขออย่าละเลยในการทำหน้าที่เปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้มีเอกราชสมบูรณ์ให้เก่งกาจเจิดจำรูญของชาวไทยเอย ๓. รำมาซิมารำ รำมาซิมารำยามงานเราทำงานจริงๆถึงยามว่างเราจึงรำเล่นตามเยี่ยงอย่างตามยุคเล่นอะไรให้มีระเบียบมาซิมาเจ้าเอ๋ย มาฟ้องรำ เริงระบำกันให้สนุกไม่ละไม่ทิ้งจะเกิดเข็ญขุกตามเชิงเช่นเพื่อให้สร่างทุกข์เล่นสนุกอย่างวัฒนธรรมให้งามให้เรียบจึงจะคมขำมาเล่นระบำของไทยเราเอย ๔. เพลงคืนเดือนหงาย ยามกลางคืนเดือนหงายเย็นอะไรก็ไม่เย็นจิตเย็นร่มธงไทย ปกไทยทั่วหล้า เย็นพระพายโบกพลิ้วปลิวมาเท่าเย็นผูกมิตรไม่เบื่อระอาเย็นยิ่งน้ำฟ้ามาประพรมเอย ๕. เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ ดวงจันทร์วันเพ็ญทรงกลดสดสีแสงจันทร์อร่ามไม่งามเท่าหน้างามวงพักตร์ยิ่งด้วยจันทราวาจากังวานรูปทรงสมส่วนสมเป็นดอกไม้ ลอยเด่นอยู่ในนภารัศมีทอแสงงามตาฉายงามส่องฟ้านวลน้องยองใยจริตกิริยานิ่งนวลละไมอ่อนหวานจับใจยั่วยวนหทัยขวัญใจชาติเอย ๖. เพลงดอกไม้ของชาติ ขวัญใจดอกไม้ของชาติ๑. เอวองค์อ่อนงามชี้ชาติไทยเนาถิ่น๒. งานสุกสิ่งสามารถดำเนินตามนโยบาย งามวิลาศนวยนาฏร่ายรำ (๒ เที่ยว)ตามแบบนาฏศิลป์เจริญวัฒนธรรมสร้างชาติช่วยชายสู่ทนเหนื่อยยากตรากตรำ ๗. เพลงหญิงไทยใจงาม เดือนพราว ดาวแวววาวระยำดวงหน้าหน้าโสภาเพียงเดือนเพ็ญขวัญใจหญิงไทยส่งศรีชาติเกียรติยศก้องปรากฏทั่วคาม แสงดาวประดับ ส่องให้เดือนงามเด่นคุณความดีที่เห็นเสริมให้เด่นเลิศงามรูปงามพิลาศใจกล้ากาจเริงนามหญิงไทยใจงาม ยิ่งเดือนดาวพราวแพรว ๘. เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ดวงจันทร์ขวัญฟ้าจันทร์ประจำราตรีที่เทิดทูนคือชาติถนอมแบบสนิทใน ชื่นชีวาขวัญพี่แต่ขวัญพี่ประจำใจเอกราชอธิปไตยคือขวัญใจพี่เอย ๙. เพลงยอดชายใจหาญ โอ้ยอดชายใจหาญน้องขอร่วมชีวีแม้สุดยากลำเค็ญน้องจักสู้พยายาม ขอสมานไมตรีกอบกรณีย์กิจชาติไม่ขอเว้นเดินตามทำเต็มความสามารถ ๑๐. เพลงบูชานักรบ น้องรัก รักบูชาพี่เป็นนักสู้เชี่ยวชาญน้องรัก รักบูชาพี่หนักแสนหนัก พี่ผจญน้องรัก รักบูชาพี่บากบั่นสร้างหลักฐานน้องรัก รักบูชาพี่เลือดเนื้อพี่ พลีอุทิศ ที่มั่งคงกล้าหาญสมศักดิ์ชาตินักรบที่มานะอดทนเกียรติพี่ขจรจบที่ขยันกิจการทำทุกด้าน ทำทุกด้านครันครบที่รักชาติที่รักชาติยิ่งชีวีชาติยงอยู่ ยงอยู่คู่พิภพ โอกาสที่ใช้แสดงเผยแพร่ให้แก่ประชาชนชม และแสดงในงานรื่นเริงต่างๆ

แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์

ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ประวัติ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ มีนามจริงว่านางเกลียว เสร็จกิจ เกิดเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๔๙๐ ที่อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรนายอังค์ นางปลด เสร็จกิจ แม่ขวัญจิต เริ่มฝึกร้องเพลงพื้นบ้านกับพ่อไสว วงษ์งามและแม่บัวผัน จันทร์ศรี ตั้งแต่อายุได้ ๑๕ ปี ท่านเป็นผู้ที่สนใจเพลงพื้นบ้านอย่างยิ่ง ประกอบกับมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ทำให้ร้องเพลงพื้นบ้านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเพลงอีแซว แม่ขวัญจิต เป็นแม่เพลงที่มีปฏิภาณไหวพริบดี สำนวนกลอนคมคาย เป็นที่จับใจของผู้ชมผู้ฟัง ท่านสามารถนำเหตุการณ์ปัจจุบันมาร้องเป็นเพลงอีแซวเพื่อสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมแก่ประชาชนได้อย่างมีศิลปะ ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคนทั่วประเทศ จนกลายเป็นแม่เพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของแม่เพลงพื้นบ้านแห่งจังหวัดสุพรรณบุรี ภารกิจที่น่ายกย่องและชื่นชมของแม่ขวัญจิตก็คือท่านจะสละเวลามาเป็นอาจารย์พิเศษ มาเป็นวิทยากรอบรมเพลงพื้นบ้านให้แก่ครู อาจารย์ และนักเรียนที่สนใจ เป็นวิทยากรพิเศษให้ความร่วมมือแก่สถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่างๆ ร่วมอนุรักษ์ส่งเสริมศิลปะพื้นบ้านมาโดยตลอด อุปนิสัยท่านเป็นผู้ที่มีความกตัญญู เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นที่ปรากฏแก่สาธารณชน เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม ดังที่ผมเคยกล่าวไว้เมื่อไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพแม่บัวผัน ชื่อเสียงของแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ไม่ใช่จะโด่งดังแต่เฉพาะเพลงพื้นบ้าน หากในด้านเพลงลูกทุ่งชื่อเสียงของขวัญจิต ศรีประจันต์ ก็เคยอยู่ในระดับนักร้องลูกทุ่งหญิงแนวหน้าของเมืองไทย คู่กับนักร้องชายชาวสุพรรณที่โด่งดังอีกคนคือไวพจน์ เพชรสุพรรณ เพลงที่ทำให้คนไทยรู้จักขวัญจิต ศรีประจันต์ เป็นอย่างดีก็คือเพลง “ กับข้าวเพชฌฆาต “ แต่งโดยครูจิ๋ว พิจิตร เพลงนี้ก็ใช้ทำนองเพลงฉ่อยซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านนั่นเอง ผลงาน แม่ขวัญจิต นอกจากเทปเพลงลูกทุ่งดังกล่าวแล้ว ยังมีเทปเพลงพื้นบ้านอีกหลายชุด ทั้งที่เป็นผลงานของคณะเพลงอีแซวขวัญจิต ศรีประจันต์ และเป็นผลงานที่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ร้องร่วมกับนักร้องคนอื่นๆเช่นชัยชนะ บุณโชติ และโดยเฉพาะกับไวพจน์ เพชรสุพรรณร้องร่วมกันไว้หลายชุด นอกจากนี้แม่ขวัญจิตยังได้ให้ความร่วมมือกับทางจังหวัดสุพรรณบุรีร้องเพลงฉ่อยแนะนำจังหวัดสุพรรณบุรีไว้ด้วย ทางด้านวีดิทัศน์ วีซีดีผลงานของท่านก็มีให้เห็นอยู่ ด้วยความสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในการร้องเพลงพื้นบ้าน เช่นเพลงอีแซว เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเรือ แหล่ เป็นต้น ผนวกกับความมีน้ำใจในการเผยแพร่ความรู้ และอนุรักษ์เพลงพื้นบ้าน แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ จึงได้รับโล่เชิดชูให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมสาขาศิลปะพื้นบ้านภาคกลาง จากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ แต่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดก็คือท่านได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๙

ตัวอย่างข้อมูล : กันตรึม

เครื่องดนตรีกันตรึม กันตรึม “กันตรึม” เป็นเพลงพื้นบ้านนิยมกันมากในจังหวัดสุรินทร์ เนื้อเพลงกันตรึมใช้ภาษาเขมรขับร้อง กันตรึมถือเป็นแม่บทของเพลงพื้นบ้าน และการละเล่นพื้นบ้านอื่นๆ ของจังหวัดสุรินทร์ ประวัติความเป็นมา ประวัติการเล่นกันตรึมไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด ลักษณะของเพลงกันตรึมเป็นเพลงปฏิพากย์คล้ายๆ เพลงฉ่อย เพลงเรือ หรือลำตัด จะแตกต่างที่เนื้อร้องกันตรึมเป็นภาษาเขมร ดนตรีบรรเลงประกอบ คือ กลองโทน(สก็วล) และซอ(สุกัญญา สุจฉายา ๒๕๒๕ : ๘) เหมือนกับประเทศกัมพูชา วงดนตรีกันตรึมมีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของชาวสุรินทร์มาแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีแบบใดๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ งานพิธีกรรมต่างๆ หรือใช้บรรเลงในพิธีเซ่นสรวงบูชา ทรงเจ้าเข้าผี เป็นต้น งานพิธีต่างๆ ของกลุ่มชาวไทยเขมรส่วนมากมักจะใช้วงกันตรึมบรรเลงยืนพื้นตลอดงาน ปัจจุบันกันตรึมใช้เป็นการละเล่นเพื่อความบันเทิงโดยทั่วไป มีการสืบทอดตามแบบการละเล่นพื้นบ้านแบบรุ่นสู่รุ่น คือ เมื่อผู้เล่นกันตรึมคณะเดิมชราภาพ หรือย้ายถิ่นที่อยู่ ก็จะถ่ายทอดให้แก่ผู้สนใจเพื่อสานต่อ(สงบ บุญคล้อย ๒๕๒๒ : ๘) วิวัฒนาการของเพลงกันตรึม ๑. ได้รับอิทธิพลมาจากเพลงปฏิพากย์ของเขมร ในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเพลงปฏิพากย์ภาคกลางของประเทศไทยทั้งโครงสร้างของเพลง วิธีการแสดง และเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบ ได้แก่ กลองโทน ซอ และใช้การปรบมือเข้าจังหวะ เพลงปฏิพากย์ที่เล่นกันในประเทศกัมพูชาจะมีเพลงปรบเกอย เพลงอายัย เพลงอมตูก และเจรียงต่างๆ เป็นต้น (สุกัญญา สุจฉายา ๒๕๒๕ : ๘) ๒. วิวัฒนาการจากการใช้กลอง(สก็วล) ซึ่งเสียงตีกลองจะดัง “โจ๊ะกันตรึม ตรึม” จึงได้นำเสียงที่ดังนั้นมาตั้งเป็นชื่อวงดนตรี เรียกว่า “กันตรึม” การเล่นกันตรึมจะมีผู้ร้องทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ผู้แสดงจะร้อง และรำไปด้วย เป็นการรำให้เข้ากับจังหวะดนตรี ท่ารำไม่มีแบบแผนตายตัว ปัจจุบันคณะกันตรึมบางคณะที่ยังเล่นอยู่ก็มีแบบการรำที่ไม่แน่นอน เนื่องจากกันตรึมไม่เน้นทางด้านการรำ แต่จะเน้นที่ความไพเราะของเสียงร้อง และความสนุกสนานของท่วงทำนองเพลงกันตรึมที่มีหลากหลายมากกว่า เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นกันตรึม ประกอบด้วย กลองกันตรึม(สก็วล) ๒ ลูก ซอ(ตรัว) ๑ คัน ปี่อ้อ ๑ เลา ขลุ่ย ๑ เลา ฉิ่ง กรับ และฉาบ อย่างละ ๑ คู่ แต่ถ้ามีเครื่องดนตรีไม่ครบก็อาจจะอนุโลมใช้เครื่องดนตรีเพียง ๔ อย่าง คือ กลองกันตรึม ๑ ลูก ซอ ๑ คัน ฉิ่ง และฉาบ อย่างละ ๑ คู่ ในปัจจุบัน วงกันตรึมบางคณะได้นำเอาเครื่องดนตรีสากลมาใช้ เช่น กลองชุด กีตาร์ และไวโอลิน เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปตามความนิยมของผู้ชม การแต่งกาย การแต่งกายทั้งของนักดนตรีและนักร้องชายหญิงไม่มีแบบแผนกฎเกณฑ์ที่แน่นอน จะแตกต่างตามความสะดวกสบาย ทันสมัยและถูกใจผู้ชม เช่น หญิงนุ่งผ้าไหมพื้นเมือง เสื้อแขนกระบอก ห่มสไบเฉียง ชายนุ่งโจงกระเบน เสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าไหมคาดเอว และมีผ้าขาวม้าไหมพาดไหล่ทั้งสองข้าง โดยชายผ้าทั้งสองจะห้อยอยู่ทางด้านหลัง ผู้เล่นและโอกาสที่ใช้เล่น การเล่นกันตรึม ใช้ผู้เล่นประมาณ ๖ – ๘ คน ผู้ร้องเป็นชายและหญิง อาจจะมี ๑ – ๒ คู่ หรือชาย ๑ คน หญิง ๒ – ๓ คน แต่โดยทั่วไปนิยมให้มีชาย ๒ คน หญิง ๒ คน การเล่นกันตรึมจะเล่นในโอกาสต่างๆ ทั้งในโอกาสเฉลิมฉลอง งานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานโกนจุก งานบวชนาค เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ และลอยกระทง เป็นต้น หรืองานอวมงคล นอกจากนี้ยังใช้เล่นในพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อพื้นบ้าน วิธีเล่นกันตรึม วงกันตรึมจะเล่นที่ไหน ก่อนเริ่มการแสดงจะต้องมีพิธีไหว้ครูเพื่อเป็นสิริมงคล ทั้งผู้ดูและผู้เล่น เมื่อไหว้ครูเสร็จก็จะเริ่มบรรเลงเพลง เป็นการโหมโรงเพื่อปลุกใจให้ผู้ดูรู้สึกตื่นเต้น และผู้แสดงก็จะได้เตรียมตัว จากนั้นจะเริ่มแสดง โดยเริ่มบทไหว้ครูตามธรรมเนียมโบราณดั้งเดิม วิธีการร้องจะขับร้องโต้ตอบกันระหว่างชาย หญิง มีการรำประกอบการร้อง ไม่ต้องใช้ลูกคู่ช่วยร้องรับบทเพลง บทเพลงกันตรึม บทเพลงกันตรึมไม่มีเนื้อร้องเป็นการเฉพาะ แต่มักคิดคำกลอนให้เหมาะสมกับงานที่เล่น หรือใช้บทร้องเก่าๆ ที่จดจำกันมามีประมาณ ๒๒๘ ทำนองเพลง ไม่มีใครสามารถจดจำได้ทั้งหมด เพราะไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงการจดจำต่อๆ กันมาเท่านั้น การแบ่งประเภทบทเพลงกันตรึม ๑. บทเพลงชั้นสูงหรือเพลงครู เป็นบทที่มีความไพเราะ สูงศักดิ์ ทำนองเพลงอ่อนหวานกินใจ แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ เช่น เพลงสวายจุมเวื้อด ร่ำเป็อย – จองได มโหรี และเพลงเซร้ยสะเดิง เป็นต้น ๒. บทเพลงสำหรับขบวนแห่ มีทำนองครึกครื้นสนุกสนาน มีการฟ้อนรำประกอบการขับร้อง มีหลายทำนอง เช่น รำพาย ซมโปง ตร็อบตุม และเกาะเบอรมแบง เป็นต้น ๓. บทเพลงเบ็ดเตล็ดต่างๆ เป็นบทเพลงที่มีทำนองรวดเร็ว เร่งเร้า ให้ความสนุกสนาน ใช้เป็นบทขับร้องในโอกาสทั่วๆ ไป เช่น เกี้ยวพาราสี สั่งสอน สู่ขวัญ และรำพึงรำพัน เป็นต้น ทำนองเพลงจะมีหลายทำนอง เช่น อมตูก กัจปกาซาปาดาน กันเตรยโมเวยงูดตึก กะโน้ปติงต้อง และมลบโดง เป็นต้น ๔. บทเพลงประยุกต์ เป็นบทเพลงที่ใช้ทำนองเพลงลูกทุ่งเข้ามาประยุกต์เป็นทำนองเพลงกันตรึม เช่น ดิสโก้กันตรึม สัญญาประยุกต์ และเตียแขมประยุกต์ เป็นต้น

กันตรึม

กันตรึม เครื่องดนตรีกันตรึม กันตรึม “กันตรึม” เป็นเพลงพื้นบ้านนิยมกันมากในจังหวัดสุรินทร์ เนื้อเพลงกันตรึมใช้ภาษาเขมรขับร้อง กันตรึมถือเป็นแม่บทของเพลงพื้นบ้าน และการละเล่นพื้นบ้านอื่นๆ ของจังหวัดสุรินทร์ ประวัติความเป็นมา ประวัติการเล่นกันตรึมไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด ลักษณะของเพลงกันตรึมเป็นเพลงปฏิพากย์คล้ายๆ เพลงฉ่อย เพลงเรือ หรือลำตัด จะแตกต่างที่เนื้อร้องกันตรึมเป็นภาษาเขมร ดนตรีบรรเลงประกอบ คือ กลองโทน(สก็วล) และซอ(สุกัญญา สุจฉายา ๒๕๒๕ : ๘) เหมือนกับประเทศกัมพูชา วงดนตรีกันตรึมมีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของชาวสุรินทร์มาแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีแบบใดๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ งานพิธีกรรมต่างๆ หรือใช้บรรเลงในพิธีเซ่นสรวงบูชา ทรงเจ้าเข้าผี เป็นต้น งานพิธีต่างๆ ของกลุ่มชาวไทยเขมรส่วนมากมักจะใช้วงกันตรึมบรรเลงยืนพื้นตลอดงาน ปัจจุบันกันตรึมใช้เป็นการละเล่นเพื่อความบันเทิงโดยทั่วไป มีการสืบทอดตามแบบการละเล่นพื้นบ้านแบบรุ่นสู่รุ่น คือ เมื่อผู้เล่นกันตรึมคณะเดิมชราภาพ หรือย้ายถิ่นที่อยู่ ก็จะถ่ายทอดให้แก่ผู้สนใจเพื่อสานต่อ(สงบ บุญคล้อย ๒๕๒๒ : ๘) วิวัฒนาการของเพลงกันตรึม ๑. ได้รับอิทธิพลมาจากเพลงปฏิพากย์ของเขมร ในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเพลงปฏิพากย์ภาคกลางของประเทศไทยทั้งโครงสร้างของเพลง วิธีการแสดง และเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบ ได้แก่ กลองโทน ซอ และใช้การปรบมือเข้าจังหวะ เพลงปฏิพากย์ที่เล่นกันในประเทศกัมพูชาจะมีเพลงปรบเกอย เพลงอายัย เพลงอมตูก และเจรียงต่างๆ เป็นต้น (สุกัญญา สุจฉายา ๒๕๒๕ : ๘) ๒. วิวัฒนาการจากการใช้กลอง(สก็วล) ซึ่งเสียงตีกลองจะดัง “โจ๊ะกันตรึม ตรึม” จึงได้นำเสียงที่ดังนั้นมาตั้งเป็นชื่อวงดนตรี เรียกว่า “กันตรึม” การเล่นกันตรึมจะมีผู้ร้องทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ผู้แสดงจะร้อง และรำไปด้วย เป็นการรำให้เข้ากับจังหวะดนตรี ท่ารำไม่มีแบบแผนตายตัว ปัจจุบันคณะกันตรึมบางคณะที่ยังเล่นอยู่ก็มีแบบการรำที่ไม่แน่นอน เนื่องจากกันตรึมไม่เน้นทางด้านการรำ แต่จะเน้นที่ความไพเราะของเสียงร้อง และความสนุกสนานของท่วงทำนองเพลงกันตรึมที่มีหลากหลายมากกว่า เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นกันตรึม ประกอบด้วย กลองกันตรึม(สก็วล) ๒ ลูก ซอ(ตรัว) ๑ คัน ปี่อ้อ ๑ เลา ขลุ่ย ๑ เลา ฉิ่ง กรับ และฉาบ อย่างละ ๑ คู่ แต่ถ้ามีเครื่องดนตรีไม่ครบก็อาจจะอนุโลมใช้เครื่องดนตรีเพียง ๔ อย่าง คือ กลองกันตรึม ๑ ลูก ซอ ๑ คัน ฉิ่ง และฉาบ อย่างละ ๑ คู่ ในปัจจุบัน วงกันตรึมบางคณะได้นำเอาเครื่องดนตรีสากลมาใช้ เช่น กลองชุด กีตาร์ และไวโอลิน เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปตามความนิยมของผู้ชม การแต่งกาย การแต่งกายทั้งของนักดนตรีและนักร้องชายหญิงไม่มีแบบแผนกฎเกณฑ์ที่แน่นอน จะแตกต่างตามความสะดวกสบาย ทันสมัยและถูกใจผู้ชม เช่น หญิงนุ่งผ้าไหมพื้นเมือง เสื้อแขนกระบอก ห่มสไบเฉียง ชายนุ่งโจงกระเบน เสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าไหมคาดเอว และมีผ้าขาวม้าไหมพาดไหล่ทั้งสองข้าง โดยชายผ้าทั้งสองจะห้อยอยู่ทางด้านหลัง ผู้เล่นและโอกาสที่ใช้เล่น การเล่นกันตรึม ใช้ผู้เล่นประมาณ ๖ – ๘ คน ผู้ร้องเป็นชายและหญิง อาจจะมี ๑ – ๒ คู่ หรือชาย ๑ คน หญิง ๒ – ๓ คน แต่โดยทั่วไปนิยมให้มีชาย ๒ คน หญิง ๒ คน การเล่นกันตรึมจะเล่นในโอกาสต่างๆ ทั้งในโอกาสเฉลิมฉลอง งานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานโกนจุก งานบวชนาค เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ และลอยกระทง เป็นต้น หรืองานอวมงคล นอกจากนี้ยังใช้เล่นในพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อพื้นบ้าน วิธีเล่นกันตรึม วงกันตรึมจะเล่นที่ไหน ก่อนเริ่มการแสดงจะต้องมีพิธีไหว้ครูเพื่อเป็นสิริมงคล ทั้งผู้ดูและผู้เล่น เมื่อไหว้ครูเสร็จก็จะเริ่มบรรเลงเพลง เป็นการโหมโรงเพื่อปลุกใจให้ผู้ดูรู้สึกตื่นเต้น และผู้แสดงก็จะได้เตรียมตัว จากนั้นจะเริ่มแสดง โดยเริ่มบทไหว้ครูตามธรรมเนียมโบราณดั้งเดิม วิธีการร้องจะขับร้องโต้ตอบกันระหว่างชาย หญิง มีการรำประกอบการร้อง ไม่ต้องใช้ลูกคู่ช่วยร้องรับบทเพลง บทเพลงกันตรึม บทเพลงกันตรึมไม่มีเนื้อร้องเป็นการเฉพาะ แต่มักคิดคำกลอนให้เหมาะสมกับงานที่เล่น หรือใช้บทร้องเก่าๆ ที่จดจำกันมามีประมาณ ๒๒๘ ทำนองเพลง ไม่มีใครสามารถจดจำได้ทั้งหมด เพราะไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงการจดจำต่อๆ กันมาเท่านั้น การแบ่งประเภทบทเพลงกันตรึม ๑. บทเพลงชั้นสูงหรือเพลงครู เป็นบทที่มีความไพเราะ สูงศักดิ์ ทำนองเพลงอ่อนหวานกินใจ แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ เช่น เพลงสวายจุมเวื้อด ร่ำเป็อย – จองได มโหรี และเพลงเซร้ยสะเดิง เป็นต้น ๒. บทเพลงสำหรับขบวนแห่ มีทำนองครึกครื้นสนุกสนาน มีการฟ้อนรำประกอบการขับร้อง มีหลายทำนอง เช่น รำพาย ซมโปง ตร็อบตุม และเกาะเบอรมแบง เป็นต้น ๓. บทเพลงเบ็ดเตล็ดต่างๆ เป็นบทเพลงที่มีทำนองรวดเร็ว เร่งเร้า ให้ความสนุกสนาน ใช้เป็นบทขับร้องในโอกาสทั่วๆ ไป เช่น เกี้ยวพาราสี สั่งสอน สู่ขวัญ และรำพึงรำพัน เป็นต้น ทำนองเพลงจะมีหลายทำนอง เช่น อมตูก กัจปกาซาปาดาน กันเตรยโมเวยงูดตึก กะโน้ปติงต้อง และมลบโดง เป็นต้น ๔. บทเพลงประยุกต์ เป็นบทเพลงที่ใช้ทำนองเพลงลูกทุ่งเข้ามาประยุกต์เป็นทำนองเพลงกันตรึม เช่น ดิสโก้กันตรึม สัญญาประยุกต์ และเตียแขมประยุกต์ เป็นต้น

-
-
พระบรมรูปพระบาทสมเด็ตพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปูนปลาสเตอร์ พิมพ์จำลองจากพระบรมรูปหล่อ ซึ่งประดิษฐานในปราสาทพระเทพบิดร พระบรมรูปองค์นี้จำลองเมื่องานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ในบุษบกมุขเด็จพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทสำหรับราษฎรสดับปกรณ์อุทิศถวายพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณ เมื่อตั้งพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครในรัชกาลที่ ๗ จึงอัญเชิญมาประดิษฐานที่พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ ในหมู่พระวิมาน พระราชวังบวรสถานมงคล จนถึงปีพ.ศ. ๒๕๑๐ จึงเคลื่อนย้ายมาประดิษฐานในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย และประดิษฐานในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ห้องประวัติศาสตร์ชาติไทย ปัจจุบันเก็บรักษาในคลังของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

โบราณวัตถุชิ้นสำคัญของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น

รายการโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น คัดสรรทั้งสิ้น ๑๕ รายการ ดังนี้ กลุ่มประติมากรรมใบเสมาในวัฒนธรรมทวารวดี ๑. ใบเสมาหินทรายจำหลัก จำหลักภาพพุทธประวัติ ตอน พิมพาพิลาป ศิลปะทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ทำจากหินทราย สูง ๑๙๐ ซม. กว้าง ๖๘ ซม. หนา ๒๓.๕ ซม. พบได้จากการขุดค้นที่เมืองฟ้าแดดสงยาง บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ สลักภาพเล่าเรื่องไว้ที่ด้านหน้าเพียงด้านเดียว จำหลักภาพนูนต่ำ เรื่องราวของพุทธประวัติ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระบิดาและประยูรญาติ เหตุการณ์ในภาพสันนิษฐานว่าเป็นเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธองค์เทศนาโปรดพระนางยโสธราหรือพระนางพิมพาที่พระตำหนัก พระนางยโสธราได้แสดงความเคารอย่างสูงด้วยการสยายพระเกศาเช็ดพระบาทพระพุทธองค์ โดยการสยายพระเกศารองรับพระบาทของพระพุทธเจ้านั้น คือการแสดงความเคารพสูงสุดในวัฒนธรรมอินเดียโบราณ เป็นโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยม(Master piece) ชิ้นหนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น ๒. ใบเสมาหินทรายจำหลัก จำหลักภาพพุทธประวัติ ตอน ราหุลกุมารทูลขอราชสมบัติ ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๖ ทำจากหินทราย สูง ๑๖๐ ซม. กว้าง ๗๔ ซม. หนา ๒๔ ซม. พบได้จากการขุดค้นที่เมืองฟ้าแดดสงยาง บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ จำหลักภาพนูนต่ำ สันนิษฐานว่าเป็นพุทธประวัติ ตอน พระราหูลทูลขอพระราชสมบัติจากพระพุทธเจ้า ลักษณะพระพุทธรูปยืนในท่าตริภังค์ (ยืนเอียงตน) แสดงความอ่อนช้อยอันเป็นลักษณะที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะอินเดีย ๓. ใบเสมาหินทรายจำหลัก จำหลักภาพชาดก ตอน กุลาวกชาดก ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ ทำจากหินทราย สูง ๘๓ ซม. กว้าง ๙๒ ซม. หนา ๒๑ ซม. พบได้จากการขุดค้นที่เมืองฟ้าแดดสงยาง บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ จำหลักภาพนูนต่ำ ชาดก ตอน พระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นมาฆะมานพ ชายหนุ่ม ผู้หมั่นสร้างบุญกุศลร่วมกับภรรยา คือ นางสุจิตรา สุธรรมมา สุนันทา ส่วนนางสุชาดา ภรรยาอีกนางหนึ่ง ไม่ได้ร่วมสร้างกุศลใดๆเมื่อนางสิ้นชีวิตจึงไปเกิดเป็นนกยาง ในขณะที่มาฆะมานพพร้อมภรรยาทั้งสามเมื่อสิ้นชีวิตได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์และเทพธิดาบนสวรรค์ ๔. ใบเสมาหินทรายจำหลัก จำหลักภาพชาดก เรื่อง เวสสันดรชาดก ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๖ ทำจากหินทราย สูง ๑๕๐ ซม. กว้าง ๘๐ ซม. หนา ๒๔ ซม. พบได้จากการขุดค้นที่เมืองฟ้าแดดสงยาง บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ จำหลักภาพนูนต่ำ หนึ่งในทศชาติชาดก พระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นเจ้าชายเวสสันดรและได้ทรงบำเพ็ญทานบารมี ใบเสมาสลักเป็นตอนที่พระเวสสันดรชาดกทรงสนทนากับพระนางมัทรี โดยมีกัณหาและชาลีบรรทมอยู่ ๕. ใบเสมาหินทรายจำหลัก ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๖ ทำจากหินทราย สูง ๑๖๙ ซม. กว้าง ๘๕ ซม. หนา ๒๐ ซม. พบได้จากการขุดค้นที่เมืองฟ้าแดดสงยาง บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ จำหลักภาพนูนต่ำ พุทธประวัติ ตอน โสตถิยพราหมณ์ถวายหญ้าคา โสตถิยพราหมณ์เป็นชายตัดหญ้า ได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความศรัทธา จึงถวายหญ้าคาจำนวน ๘ กำ และพระพุทธเจ้าได้ทรงปูรองเป็นอาสนะประทับบำเพ็ญเพียรใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ กลุ่มประติมากรรมพระโพธิสัตว์และเทวรูปในวัฒนธรรมขอม ๑. พระวัชรธร ศิลปะลพบุรี แบบบายน พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ทำจากหินทราย หน้าตักกว้าง ๓๗ ซม. สูง ๕๗ ซม. พบจากการขุดแต่งกู่สันตรัตน์ บ้านกู่โนนเมือง ตำบลกู่สันตรัตน์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม พระวัชรธรเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในบางนิกายของมหายาน ถือว่าเป็นองค์อาทิพุทธหรือผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าองค์อื่น สลักเป็นรูปเทพบุรุษประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานกลีบบัว พระหัตถ์ขวาทรงถือวัชระพระหัตถ์ซ้ายถือกระดิ่ง โดยหันทางส่วนด้ามที่ทำเป็นรูปกลีบบัวออกมาข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองซ้อนกันอยู่ระดับพระนาภี(สะดือ) สวมกุณฑล(ตุ้มหู) และศิราภรณ์ทรงมงกุฎมีกระบังหน้า มักพบประดิษฐานอยู่ใน อโรคยศาลหรือโรงพยาบาลสมัยโบราณ ร่วมสมัยกับศิลปะเขมรแบบบายน ๒. พระพุทธรูปนาคปรก ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ทำจากหิทราย หน้าตักกว้าง ๔๖ ซม. สูง ๑๐๐ ซม. พบจากการขุดแต่งกู่สันตรัตน์ บ้านกู่โนนเมือง ตำบลกู่สันตรัตน์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม พระพุทธรูปนาคปรกประทับนั่งบนขนดนาค ๓ ชั้น ปลายสอบเข้าหากันด้านล่าง ด้านหลังเศียรพระพุทธองค์มีนาคแผ่พังพาน ๗ เศียร พระพุทธรูปสวมเทริดกระบังหน้าลายพรรณพฤกษา มีทรงกรวยทรงสูงครอบอุษณีษะ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ (พระหัตถ์ทั้งสองข้างหักหายไป แต่ยังมีร่องรอยของการประสานพระหัตถ์อยู่เหนือพระเพลา) ลักษณะศิลปะขอมแบบบายน ๓. เทวรูปพระศิวะ ศิลปะลพบุรี แบบนครวัด พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ทำจากหินทราย สูง ๑๗๕ ซม. ฐาน ๓๘ ซม. พบจากการขุดแต่งกู่น้อย เมืองนครจำปาศรี บ้านโพธิ์ทอง ตำบลพระธาตุ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม พระศิวะหรือพระอิศวร เป็นเทพของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ผู้มีหน้าที่ทำลายโลกเพื่อให้เกิดการสร้างขึ้นใหม่ เป็นเทพสูงสุดในลัทธิไศวนิกาย มีพระเนตรที่สามกลางพระนลาฏ พระพักตร์ขรึม มีไรพระมัสสุ สวมกุณฑล(ตุ้มหู) สวมกรองศอ สวมเทริดกรอบกระบังหน้าลายพรรณพฤกษา มีกรวยทรงกระบอกครอบอุษณีษะ ลักษณะการนุ่งผ้าสั้น มีชายห้อยรูปคล้ายหางปลา ๒ ชั้น ร่วมสมัยกับศิลปะเขมรแบบบาปวนและแบบนครวัด ๔. พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ศิลปะแบบคลังร่วมสมัยบาปวน พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ทำจากสำริด สูง ๓๐ ซม. พบที่กู่น้อย เมืองนครจำปาศรี อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นประติมากรรมรูปบุคคล ถือดอกบัว หรือหม้อน้ำ มีรูปพระพุทธเจ้าอมิ-ตาภะอยู่บนมุ่นมวยผม เป็นพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนานิกายมหายานแห่งความเมตตากรุณา เป็นผู้คุ้มครองพระพุทธศาสนาอยู่ในยุคปัจจุบัน ๕ พระนารายณ์ทรงครุฑ ศิลปะแบบคลังร่วมสมัยบาปวน พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ทำจากหินทราย สูง ๕๕ ซม. กว้าง ๒๘ ซม. พบที่กู่แก้ว บ้านหัวสระ ตำบลดอนช้าง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เทวรูปพระนารายณ์ เป็นเทพของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เทพผู้มีหน้าที่ในการปกป้องและคุ้มครองโลก เป็นเทพสูงสุดในลัทธิไวษณพนิกาย จะอวตารลงมาปราบทุกข์เข็ญเมื่อยามโลกเดือดร้อน ประทับนั่งบนหลังครุฑซึ่งเป็นพาหนะของพระนารายณ์ กลุ่มพระพิมพ์ในวัฒนธรรมทวาราวดี ๑. พระพิมพ์ดินเผา ศิลปะทวาราวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ทำจากดินเผา สูง ๑๕ ซม. กว้าง ๗.๕ ซม. พบจากการขุดแต่งโบราณสถาน ในบริเวณที่ดินของนายทองดิน ปะวะภูตา บ้านนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม พระพิมพ์ดินเผารูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าทำเป็นพระพุทธรูปนั่งสมาธิบนฐานบัวคว่ำบัวหงายเหนือบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยม แผ่นหลังทำเป็นรูปซุ้มบัลลังก์ สันนาฐานว่าเป็นพระพิมพ์ดินเผาที่แสดงภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติ ตอน ยมกปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์ตอนหนึ่งที่นิยมทำเป็นพระพิมพ์ดินเผาสมัยทวาราวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะที่เมืองนครจำปาศรี อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม เดิมสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการไปสักการะสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ในประเทศอินเดีย ภายหลังมีการสร้างขึ้นเพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ๒. พระพิมพ์ดินเผา ศิลปะทวาราวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ทำจากดินเผา สูง ๘.๓ ซม. กว้าง ๑๓.๕ ซม. พบจากการขุดแต่งโบราณสถาน ในบริเวณที่ดินของนายทองดิน ปะวะภูตา บ้านนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม พระพิมพ์ดินเผารูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าทำเป็นภาพพระพุทธองค์ประทับยืนเอียงพระวรกายเล็กน้อยบนฐานบัว พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระเกศาขมวดเป็นรูปวงกลม รัศมีทรงบัวตูม ประภามณฑลมีลักษณะคล้ายเปลวไฟ พระหัตถ์ขวาแสดงวิตรรกมุทรา (ปางแสดงธรรม) มีใบไม้แทรกเป็นลายอยู่บนพื้นหลัง ด้านข้างมีรูปบุคคล ๒ คน แต่งกายคล้ายบุคคลชั้นสูงยืนพนมมือหันหน้าเข้าหาพระพุทธองค์ เหนือรูปบุคคลทั้งสองทำเป็นรูปสถูปจำลอง ด้านบนสุดเหนือสถูปทำเป็นรูปวงกลม มีรัศมีโดยรอบ พระพิมพ์ดินเผานี้เป็นรูปแบบหนึ่งที่พบในวัฒนธรรมทวาราวดีในโบราณสถานในเขตอำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ๓. พระพิมพ์ดินเผา ศิลปะทวาราวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ทำจากดินเผา สูง ๗.๗ ซม. กว้าง ๗.๓ ซม. พบจากการขุดแต่งโบราณสถาน ในบริเวณที่ดินของนายทองดิน ปะวะภูตา บ้านนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม พระพิมพ์ดินเผารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำเป็นภาพพระพุทธรูปประทับนั่งสมาธิในแนวตั้งเรียงกัน จำนวน ๙ แถว แถวละ ๖ องค์ รวมทั้งหมด ๕๔ องค์ สร้างขึ้นตามคติเกี่ยวกับพระอดีตพุทธเจ้า ๔. พระพิมพ์ดินเผา ศิลปะทวาราวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ทำจากดินเผา สูง ๒๒.๕ ซม. กว้าง ๑๔ ซม. พบที่โบราณสถานอุ่มญาคู เมืองกันทรวิชัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม พระพิมพ์ดินเผาปางสมาธิ มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร อยู่บนฐานบัวหงายที่มีกลีบซ้อนกัน ๒ ชั้น พระองค์ประทับนั่งหลับพระเนตร พระเศียรก้มลงเล็กน้อย พระองค์มีประภามณฑลล้อมรอบคล้ายเปลวไฟมีขอบจีวรพาดผ่านข้อพระกรและพระโสภี ลักษณะทางศิลปะแสดงถึงอิทธิพลของศิลปะปาละแบบอินเดียที่อาจส่งผ่านเข้ามาทางพม่า ๕. พระพิมพ์ดินเผาปางสมาธิ ศิลปะทวาราวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ทำจากดินเผา สูง ๑๔.๑ ซม. กว้าง ๘.๘ ซม. พบที่เมืองฟ้าแดดสงยาง บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ พระพิมพ์ดินเผารูปทรงโค้งมน ตอนกลางเป็นภาพพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิราบบนฐานบัว ครองจีวรห่มเฉียงคลุมพระอังสาซ้าย ทาสีแดงบนส่วนที่เป็นจีวรให้เห็นเด่นชัด พระพักตร์มีลักษณะเป็นแบบพื้นเมือง ลักษณะพระพักตร์และพุทธสรีระที่สันทัดสูงโปร่งแสดงถึงความเป็นพื้นเมืองอย่างขัดเจน อาจเป็นรูปแบบพระพิมพ์ดินเผาที่นิยมผลิตขึ้นเฉพาะที่เมืองฟ้าแดดสงยาง เนื่องจากไม่ปรากฏพระพิมพ์ดินเผาลักษณะเดียวกันที่เมืองโบราณแห่งอื่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ไงแซนโฎนตา (สารทชาวไทยเชื้อสายเขมร)

ไงแซนโฎนตา (สารทชาวไทยเชื้อสายเขมร) ชาวไทย เชื้อสายเขมรในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ มีประเพณีงานบุญเดือน ๑๐ หรืองานสารท เพื่อทำบุญบูชา รำลึก และอุทิศอาหาร ข้าวของเครื่องใช้แก่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย หรือบุพการีผู้ล่วงลับไปแล้วเช่นเดียวกันกับกลุ่มคนไทยอื่นๆ แต่แตกต่างกันในขั้นตอนพิธีกรรม ปัจจุบันงานแซนโฎนตามีการปฏิบัติกันทั้งในครอบครัว หมู่บ้าน และจังหวัด จะทำพิธีในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะกลับมาเยี่ยมลูกหลาน หรือญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ สมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่อื่นหรือที่แยกครอบครัวจะกลับมาเยี่ยมบ้าน ลูกสาวหรือลูกสะใภ้จะต้องเตรียมของฝาก “กันจือเบ็น” (กระเฌอสำหรับจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้)เป็น เสื้อผ้าเครื่องใช้มาส่งครอบครัวใหญ่ และจะช่วยกันจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ขนม ผลไม้ เสื้อผ้าเครื่องใช้ เพื่อใช้ในการเซ่นไหว้บรรพบุรุษของครอบครัว ในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ เชื่อว่าเป็นวันที่บรรพบุรุษที่ล่วงลับแล้วเดินทางมาถึงโลก ชาวไทยเชื้อสายเขมรทุกครอบครัวจะจัดเตรียมตั้งเครื่องเซ่นไหว้ที่บ้าน โดยจัดใส่กันจือเบ็นเพื่อญาติๆ ใช้สำหรับเซ่นไหว้บรรพบุรุษ การทำพิธีแซนโฎนตาโดยผู้อาวุโสก็จะเรียกถามหาลูกหลาน ญาติพี่น้องว่ามาพร้อมหน้ากันหรือยัง และให้มารวมกัน แล้วจะเริ่มเซ่นไหว้โดยจุดธูปเทียน ยกขันห้าไหว้และต่างก็พูดเรียกดวงวิญญาณบรรพบุรุษให้มารับเครื่องเซ่นไหว้ แล้วรินน้ำให้ล้างมือ และรินเครื่องดื่ม เช่น เหล้า น้ำอัดลม ฯลฯ ชี้บอกให้รู้ว่ามีเครื่องเซ่นไหว้อะไรบ้าง เสมือนการมารายงานตัวต่อบรรพบุรุษว่าได้มารอต้อนรับแล้ว ในพิธีเซ่นไหว้ใช้เวลาประมาณ ๒๐ –๓๐ นาที เมื่อ ทำพิธีเสร็จแล้วลูกหลานญาติพี่น้องก็จะนำอาหารเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ มารับประทานร่วมกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในหมู่ลูกหลาน ญาติมิตร เพราะหนึ่งปี มีครั้งเดียว ลูกหลานที่ไปอยู่หมู่บ้านอื่นหรือต่างจังหวัดจะได้รู้จักคุ้นเคยกัน ในช่วงเย็นเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ซึ่งได้จัดเตรียมไว้แล้ว พร้อมบอกให้วิญญาณบรรพบุรุษไปที่วัดเพื่อฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นพระสงฆ์จะทำพิธีมอบเครื่องเซ่นไหว้แก่บรรพบุรุษ แล้วกลับมาบ้านเตรียมปูที่นอนและเครื่องใช้สำหรับให้บรรพบุรุษ เชื่อว่าบรรพบุรุษจะค้างที่บ้านในคืนนี้ ก่อนสว่างก็จะทำเรือกาบกล้วย ใส่เงินกระดาษ ขนม อาหาร เครื่องดื่ม ผลไม้ และเสื้อผ้าของใช้ขนาดเล็ก จุดธูปเทียนแล้วลอยไปในแม่น้ำ หรือบ่อในบริเวณบ้านเพื่อเป็นการส่งวิญญาณบรรพบุรุษกลับสู่ยมโลกก่อนสว่าง หากไม่ทำเรือส่งท่านก็จะกลับไปยมโลกไม่ได้ และจะติดค้างอยู่ในโลกกระทั่งถึงไงแซนโฎนตาอีกรอบนับเป็นการสร้างบาปและความ ทุกข์แก่วิญญาณบรรพบุรุษ ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เช้าตรู่ชาวไทยเชื้อสายเขมรทุกครอบครัวก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ไปวัดอีก เพื่อทำบุญอุทิศแก่ผีไม่มีญาติ ไงแซนโฎนตาเป็นโอกาสที่ญาติๆ ที่อาศัยอยู่ที่อื่นได้กลับบ้านมาเยี่ยมพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ได้รับพรจากผู้ใหญ่ เป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ทำให้เกิดความรักสามัคคีระหว่างเครือญาติ เกิดความเสียสละ เพราะเครื่องเซ่นไหว้ทุกคนมีส่วนหามา และมีโอกาสช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไงแซนโฎนตา ถ้าลูกหลานคนใดไม่ได้จัดทำ หรือไม่มาร่วมพิธีโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรบรรพบุรุษอาจไม่พอใจ อาจจะโยงเป็นเหตุให้ทำมาหากินไม่ราบรื่น จิตใจเกิดความกังวลไม่เป็นสุข ด้วยความเชื่ออย่างนี้ทุกคนจึงพยายามไปร่วมพิธี หรือไม่ก็จัดเครื่องเซ่นไหว้ที่บ้านของตน ในจังหวัด สุรินทร์นอกจากชาวไทยเชื้อสายเขมรแล้ว ยังมีชาวไทยกวยหรือกูย และชาวไทยเชื้อสายลาวที่มีประเพณีงานบุญเดือน ๑๐ หรืองานสารทเหมือนกับชาวไทยเชื้อสายเขมร ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี นิยามศัพท์เฉพาะ ไง หมายถึง วัน แซน หมายถึง การเซ่น การเซ่นไหว้ การบวงสรวง โฎนตา หมายถึง การทำบุญให้ยาย และตา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ประเพณีแซนโฎนตา หมายถึง ประเพณีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ จัดเป็นประเพณีสำคัญที่คนไทยซึ่งพูดภาษาเขมร มีการสืบทอดมาเป็นระยะเวลานาน

-
ผ้าไหมมัดหมี่

ผ้าไหมมัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองชนิดหนึ่งนิยมทำมานานแล้ว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และบางท้องที่ในเขตภาคกลาง เช่น จังหวัดสุพรรณบุรี อุทัยธานี กาญจนบุรี ลพบุรี และชัยนาท วิธีการทำผ้ามัดหมี่คือการมัดด้ายให้เป็นลายที่เส้นพุ่งหรือเส้นยืนด้วยเชือกแล้วนำไปย้อมสี เพื่อให้สีและลายตามที่กำหนด แล้วจึงนำมาทอเป็นผ้า ผ้าไหมมัดหมี่ในบ้านเราส่วนใหญ่นิยมทอผ้ามัดหมี่เส้นพุ่ง แต่มีบางจังหวัดที่มีการทำผ้ามัดหมี่โดยใช้เส้นยืน ซึ่งได้แก่จังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี เพชรบุรี ส่วนใหญ่เป็นผ้าชาวเขาซึ่งเป็นผ้าซิ่นมัดหมี่ ราชบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ บางแห่งมีการทอผ้ามัดหมี่สลับกันกับลายขิต เพื่อเพิ่มความงดงามให้แก่ผ้าไหมมากยิ่งขึ้น ส่วนผ้ามัดหมี่จากสุรินทร์ มีชื่อเสียงทั้งในด้านความสวยงามของเส้นไหมและลวดลายซึ่งได้รับอิทธิพลจากเขมร มัดหมี่ (Ikat) เป็นชื่อเรียกกรรมวิธีการสร้างลวดลายบนผืนผ้าแบบหนึ่ง ที่เกิดจากการมัดเส้นด้ายที่จะนำไปใช้ในการทอผืนผ้าโดยมัดเส้นด้ายให้เป็นเปลาะ ๆ ตามลวดลายที่กำหนดไว้ให้แน่นด้วยวัสดุต่าง ๆ ตามแต่ละท้องถิ่นนิยมใช้ เช่น เชือกกล้วย เส้นด้ายฝ้าย ใบว่านสากเหล็กหรือต่อเหล่าอี้ หรือเส้นเชือกพลาสติกเพื่อปิดกั้นไม่ให้เส้นด้ายที่มัดไว้สัมผัสกับสีย้อม แล้วนำเส้นด้ายที่มัดแล้วไปย้อมสี แล้วแกะวัสดุที่มัดนั้นออก หากต้องการให้เกิดลวดลายที่มีหลายสี ต้องมัดและย้อมสีทับกันหลายครั้งเพื่อให้ได้ลวดลาย สีสันตามต้องการ ผ่านกระบวนการเตรียมเส้นเพื่อใช้ทอเป็นผืนผ้า เมื่อทอออกมาเป็นผืนผ้าสำเร็จแล้วจะเกิดเป็นลวดลายและสีสันที่ต้องการ มัดหมี่ เป็นชื่อเรียกที่รู้จักกัน โดยทั่วไป ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานซึ่งมีการทอผ้ามัดหมี่มากที่สุด ในภาคเหนือนิยมเรียกว่า มัดก่าน ในต่างประเทศนิยมใช้คำว่า ikatซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย-มลายูโดยกรรมวิธีการมัดหมี่แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ มัดหมี่เส้นยืน (warp ikat) คือมัดหมี่ที่มัดเส้นด้ายเฉพาะที่ใช้เป็นเส้นยืน ส่วนเส้นพุ่งจะย้อมให้เป็นสีพื้นเพียงสีเดียว โดยไม่มีการมัดลวดลายใด ๆ เลย ลวดลายของมัดหมี่ชนิดนี้จะปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อนำเส้นยืนมาขึงโยงยึดเข้ากับกี่เรียบร้อยพร้อมที่จะทอแล้ว แม้ว่าจะยังไม่นำเส้นพุ่งมาสอดทอเลยก็ตาม มัดหมี่เส้นพุ่ง (weft ikat) คือ มัดหมี่ที่มัดย้อมเส้นด้ายเฉพาะที่ใช้เป็นเส้นพุ่งลวดลายที่เกิดจากการมัดย้อมจะปรากฎให้เห็นได้ก็ต่อเมื่อทอออกมาเป็นผืนผ้าสำเร็จแล้วเท่านั้น มัดหมี่สองทาง (double ikat) คือ มัดหมี่ที่ต้องมัดย้อมเส้นด้ายทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง ด้วยความประณีตและซับซ้อนเป็นอย่างมาก เพราะต้องมีการคำนวณด้วยมาตราส่วนของช่างทอเอง เพื่อให้การมัดย้อมเส้นยืนและเส้นพุ่งมีลวดลายตรงกันเมื่อนำมาทอเป็นผืนผ้า และในขณะที่ทอนั้นเองก็ต้องมีความระมัดระวังมากต้องคอยขยับเส้นพุ่งที่ทอให้ตรงกับลวดลายที่มัดย้อมไว้ก่อนแล้วบนเส้นยืน จึงทำให้มัดหมี่ประเภทนี้มีราคาสูงมาก การทอผ้ามัดหมี่โดยทั่วไป 2 ลักษณะ คือ 1.การทอผ้ามัดหมี่ 2 ตะกรอ เป็นลายขัดธรรมดา ผ้าจะใช้ได้เพียงหน้าเดียว 2. การทอผ้ามัดหมี่ 3 ตะกรอ เป็นการทอผ้าลายสอง เนื้อผ้าจะแน่น สามารถใช้ผ้าได้ทั้ง 2 ด้าน โดยด้านหน้าจะให้สีสดใส และลวดลายชัดกว่าด้านใน ผ้ามัดหมี่มีการทำกันอย่างแพร่หลาย สามารถทำได้ดีทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหม โดยเฉพาะผ้าไหมจะมีความสวยงามมาก นอกจากตัวผ้าไหมเองแล้ว ลวดลายและสีสันยังเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างความสวยงามให้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีการทอผ้ามัดหมี่หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งมีการดัดแปลงลายพื้นบ้านผสมกับลายโบราณที่ถ่ายทอดสืบต่อมาเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังได้มีการนำผ้าไหมมัดหมี่มาออกแบบเสื้อผ้าสตรี-บุรุษได้อย่างสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นมากผ้าไหมมัดหมี่มีการผลิตกันมาก และเป็นที่ต้องการของตลาด เช่น ผ้าไหมมัดหมี่ลายต่างๆ ทั้ง 2 ตะกรอ และ 3 ตะกรอ ผ้าไหมมัดหมี่หน้านางธรรมดา ผ้ามัดหมี่หน้านางประยุกต์ ผ้ามัดหมี่หน้านางพิเศษ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีความยากง่ายในการมัด และทอต่างกัน ความสวยงามก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความปราณีตละเอียดของขบวนการมัดหมี่และทอผ้าสำหรับลวดลายต่างๆ ที่ผู้ทอผ้ามัดหมี่ได้มีการออกแบบลวดลายนั้น ก็จะนำมาจากลวดลายเก่าแก่ที่ยังคงอยู่ ผสมกับแนวความคิดในการผสมลวดลายต่างๆ กัน เช่น ลายเครื่องตำลึง ลายพญานาคคู่ ลายลูกศร ลายมัดหมี่ผ้าปูมเขมร ลายขอพระเทพ เป็นต้น ข้อมูลอ้างอิง ประวัติผ้าไหมมัดหมี่.[ออนไลน์].สืบค้นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2565, จาก:https://www.ketysmile.com/2020/11/13/ประวัติผ้าไหมมัดหมี่. 2563. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. งานช่างฝีมือดั้งเดิม : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ.พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2560. เผ่าทอง ทองเจือ และกิตติกรณ์ นพอุดมพันธุ์. มัดหมี่ สายสัมพันธ์แห่งเอเชีย.พระนครศรีอยุธยา: ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน), 2559. เรียบเรียงโดย : นางสุพัชรี ฉันทเลิศวิทยา บรรณารักษ์ชำนาญการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ

พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นเจ้าฟ้าฯผู้เชี่ยวชาญศิลปะแขนงต่างๆ ทั้งวิจิตรศิลป์ สถาปัตยศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และวรรณศิลป์ ในช่วงเวลาที่กระแสอารยธรรมตะวันตกถาโถมเข้าใส่สยาม ศิลปะของเราซึ่งมีระเบียบแบบแผนขนบธรรมเนียมเคร่งครัด ต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายจากอิทธิพลของศิลปะตะวันตก พระองค์ทรงประยุกต์ปรับปรุงวิจิตรศิลป์ซึ่งเป็นศิลปะประจำชาติไทยด้วยการศึกษาเชิงลึกถึงรากเหง้า และคลี่คลายรูปแบบทางศิลปะให้มีความเป็นสากลจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก อันเป็นการประกาศถึงความเป็นอารยประเทศที่มีรากฐานทางศิลปวัฒนธรรมอันงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาติใดในโลก ตลอดพระชนม์ชีพฯ ทรงอุทิศเวลาให้แก่การสร้างสรรค์ “งานช่าง” หลากสาขา ผลงานที่ทรงรังสรรค์ไว้นับเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจที่สำคัญให้แก่ช่างและศิลปินในยุคหลัง ทรงเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์มรดกศิลปกรรมไทย และทรงส่งเสริมผู้มีความรู้ความสามารถให้เป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดมรดกงานช่างศิลป์ไทยจนได้รับยกย่องให้เป็น “ สมเด็จครู “ ของช่างทั้งปวง ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ “สมเด็จครู“ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในฉลองพระองค์เต็มยศ ทรงสายสะพายของเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ศักย เขียนขึ้นในโครงการภาพผลงานผู้มีคุณูปการต่อวงการศิลปวัฒนธรรมของชาติ ระหว่างปี 2548 - 2549 ในช่วงเวลาไล่เลี่ยงกับภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผลงานมีความเคร่งขรึม และสง่างาม รายละเอียดเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ดูสมจริง การให้สีผิวหนังของสมเด็จครูนั้นน่าตื่นตา และแสดงถึงทักษะการใช้สีอันดียิ่งของศักย ผลงานชิ้นนี้จัดแสดงในนิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ประจำปี 2564 ศักย ขุนพลพิทักษ์ : ศิลปินผู้ประสานจิตรกรรมไทยและตะวันตกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ในบรรดางานจิตรกรรมแบบสมัยใหม่ ที่รับอิทธิพลตะวันตกในแนววิชาการแบบตะวันตก (academic) พื้นฐานงานมักเริ่มจาก ภาพหุ่นนิ่ง (still life) ภาพทิวทัศน์ (landscape) และภาพเหมือน (portrait) ซึ่งให้ความสำคัญกับเรียนรู้ในแนวเสมือนจริง ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนลดทอนรูปร่าง พัฒนาเทคนิค และนำเสนอเรื่องราวให้หลากหลายยิ่งขึ้น ในกลุ่มผลงานต่างๆที่กล่าวมานั้น งานกลุ่มภาพเหมือนถือเป็นงานที่มีความเข้มข้นและมีวิวัฒนาการต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ศิลปินภาพเหมือนในประเทศไทยนั้น มีอยู่จำนวนไม่น้อย แต่บุคคลที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือ และความลึกซึ้งในผลงานนั้น กลับมีไม่มากนัก ศักย ขุนพลพิทักษ์ อดีตจิตรกรเชี่ยวชาญ ของกรมศิลปากร ถือเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในแวดวงศิลปะแนวภาพเหมือน ถึงแม้ ศักย จะเป็นชื่อที่กลุ่มคนในแวดวงงานศิลปะกลุ่มอื่นอาจจะมีความรับรู้ หรือจดจำไม่มากนัก แต่ในแวดวงศิลปะของทั้งกรมศิลปากร และมหาวิทยาลัยศิลปากร ศักย ขุนพลพิทักษ์ คือครู คือศิลปินภาพเหมือนผู้มุ่งมั่นในสไตล์งานที่มีพื้นฐานแบบตะวันตก ในขณะเดียวกันยังเป็นศิลปินที่สามารถเขียนภาพจิตรกรรมไทยแบบดั้งเดิมและภาพจิตรกรรมแบบใหม่ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้อย่างลงตัว โดยได้ฝากฝีมือการออกแบบ เขียนภาพจิตรกรรมไทย ในวัดสำคัญๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศไว้เป็นจำนวนมาก

พระวัชรธร

วัสดุ หินทราย แบบศิลปะ ศิลปะเขมรในประเทศไทย แบบบายน อายุสมัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 (ประมาณ 800 ปีมาแล้ว) สถานที่พบ พบด้านในห้องบรรณาลัยติดผนังด้านทิศเหนือในการขุดแต่งกู่โพนระฆัง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อ พ.ศ.2545 พระวัชรธร เป็นรูปเคารพในพระพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน ซึ่งถือเป็นพระอาทิพุทธ หรือประธานของพระพุทธเจ้าผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ สลักเป็นรูปเทพบุรุษประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานกลีบบัว ด้านล่างมีเดือยเพื่อเป็นแกนเสียบกับฐานรูปเคารพ ศิราภรณ์ทรงมงกุฎมีกระบังหน้าลักษณะศิลปะเขมรแบบบายน สวมกุณฑล (ตุ้มหู) พระหัตถ์ขวาทรงวัชระ สัญลักษณ์ของปัญญา พระหัตถ์ซ้ายทรงกระดิ่ง สัญลักษณ์ของอุบาย (อุปายะ-หนทาง หรือวิธีการ) โดยหันทางส่วนด้ามที่ทำเป็นรูปกลีบบัวออกมาข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองซ้อนกันอยู่ที่ระดับพระนาภี

-
๓ วังบนถนนหน้าพระลาน

๓ วังบนถนนหน้าพระลาน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีใหม่ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นเป็นที่ประทับและที่ว่าราชการโดยมีวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นพระอารามหลวงประจำพระราชวัง อาณาบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง นับได้ว่าเป็นพื้นที่สำคัญและเป็นศูนย์ราชการในมหานครแห่งใหม่ บริเวณพื้นที่ด้านทิศเหนือของพระบรมมหาราชวังที่เรียกกันว่าหน้าพระลาน ต่อเนื่องกับบริเวณท้องสนามหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังขึ้นหลายวัง พระราชทานแด่พระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าหลานเธอหลายพระองค์ ซึ่งล้วนทรงมีบทบาทสำคัญต่องานราชการในเวลานั้น โดยมีเจ้านายซึ่งเป็นพระบรมวงศ์ชั้นสูงทรงครองวังและประทับสืบต่อมาหลายพระองค์ถึงชั้นประยูรญาติ วังที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าพระลาน ๓ วัง มักเรียกกันโดยรวมว่า วังถนนหน้าพระลาน แบ่งได้ตามชื่ออันเป็นที่เรียกขานหรือรู้จักกันในระยะต่อมาว่า วังท่าพระ (หรือวังหน้าพระลานตะวันตก) วังกลาง และวังตะวันออก เป็นที่น่าสังเกตว่าเจ้านายผู้ทรงครองวังหลายพระองค์มีพระอัจฉริยภาพและทรงงาน ด้านการช่างและงานศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ ตราบจนในสมัยต่อมาวังทั้งสามเปลี่ยนบทบาทเป็นหน่วยงานราชการ แต่ก็ยังคงสืบทอดความเป็นสถานที่สำคัญทางการศึกษาศิลปวัฒนธรรมของชาติ กล่าวคือ วังตะวันตกใช้เป็นสถาบันการศึกษาด้านศิลปะ คือ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังกลาง และวังตะวันออก คือ ที่ตั้งของกรมศิลปากรในปัจจุบัน วังตะวันตก วังตะวันตกตั้งอยู่ริมถนนหน้าพระลานทางด้านทิศตะวันตก ใกล้ประตูท่าพระ (เดิมเรียก ท่าช้าง (วังหลวง) เกิดขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ได้อัญเชิญพระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปขนาดใหญ่จากวัดมหาธาตุ สุโขทัย มาประดิษฐานที่วัดสุทัศเทพวราราม โดยอัญเชิญขึ้นที่ท่าน้ำแห่งนี้ จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ท่าพระ”ดังนั้นวังนี้จึงมีชื่อเรียกอีก “วังท่าพระ”ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแด่สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนกษัตรานุชิต พระราชนัดดา เป็นที่ประทับจนสิ้นพระชนม์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระราชโอรส ๓ พระองค์ และได้ประทับต่อมาจนสิ้นพระชนม์ตามลำดับ คือ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กรมขุนราชสีหวิกรม และกรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงได้พระราชทานวังท่าพระให้เป็นที่ประทับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และเป็นเจ้านายพระองค์สุดท้ายที่ได้ประทับ ณ วังแห่งนี้ ปัจจุบันวังท่าพระเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังกลาง วังกลางตั้งอยู่ริมถนนหน้าพระลาน ต่อกับวังท่าพระมาทางด้านทิศตะวันออก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังนี้พระราชทาน กรมหมื่นศักดิพลเสพ พระราชโอรส ซึ่งประทับอยู่จนถึงพุทธศักราช ๒๓๖๗ ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จไปประทับที่พระราชวังบวรสถานมงคล วังกลางจึงว่างลงช่วงหนึ่งก่อนที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสรัชกาลที่ ๒ ถึงคราวเสด็จออกวัง จึงพระราชทานวังนี้ให้เป็นที่ประทับ จนถึงพุทธศักราช ๒๓๘๐ วังตะวันออกว่างลง จึงทรงย้ายมาประทับที่วังตะวันออกแทน ส่วนวังกลาง รัชกาลที่ ๓ ได้พระราชทานให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ พระอนุชาร่วมพระชนนีกับสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอาภรณ์ประทับจนถึงพุทธศักราช ๒๓๙๑ เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอาภรณ์สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้รวมวังกลางกับวังตะวันออกเป็นวังเดียวกัน โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ สืบมาจนถึงพุทธศักราช ๒๔๒๙ จึงสิ้นพระชนม์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ พระโอรสผู้รับผิดชอบงานด้านกรมพระคชบาล และกรมช่างสิบหมู่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประทับอยู่มาจนตลอดพระชนมายุ หลังจากนั้นวังนี้ได้เปลี่ยนแปลงเป็นหน่วยงานด้านช่างสิบหมู่ สังกัดกรมศิลปากร และยังคงใช้เป็นสถานทำงานส่วนต่างๆ ของกรมศิลปากรสืบมาจนถึงปัจจุบัน วังตะวันออก วังตะวันออกตั้งอยู่ริมถนนหน้าพระลาน ต่อกับวังกลางมาทางด้านทิศตะวันออก จนถึงมุมถนนหน้าพระธาตุตรงประตูวิเศษไชยศรี ทางเข้าพระบรมมหาราชวัง ดังนั้นวังนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า วังหน้าประตูวิเศษไชยศรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สร้างพระราชทานเป็นที่ประทับของกรมหมื่นเทพพลภักดิ์ พระราชโอรสประทับอยู่จนตลอดพระชนมายุ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอาภรณ์ประทับอยู่ต่อมา ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอาภรณ์ รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ผนวกวังตะวันออกเข้ากับวังกลางเป็นที่ประทับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ตราบจนสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๙ พระโอรสของพระองค์คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ ได้ครองวังต่อมาจนสิ้นพระชนม์ในพุทธศักราช ๒๔๔๑ เป็นเจ้านายพระองค์สุดท้ายที่ครองวัง อ่านต่อ ที่นี่ ที่มาของข้อมูล : หนังสือเปิดบ้านศิลปากร (กรมศิลปากร จัดพิมพ์เผยแพร่ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๕)

โบราณคดีคืออะไร

คนทั่วๆ ไปอาจมีความคิดว่าโบราณคดีเป็นงานน่าสนใจ เพราะมีโอกาสจะเกิด “โชคดี” เนื่องจาก “บังเอิญ” ขุดพบโบราณวัตถุประเภท “แปลกๆ” ซึ่ง “มีอายุเก่าแก่มาก” และ “ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน” ส่วนหลักฐานทางโบราณคดีที่นักโบราณคดีหามาได้นั้น หากมองผ่านๆ แล้วก็คล้ายกับว่านักโบราณคดีนำมาแปลความหมายโดยการใช้เพียงจินตนาการและการสันนิษฐานเท่านั้น การทำงานของนักโบราณคดีในอดีต มักปรากฏในลักษณะงานที่มีบางส่วนเกี่ยวข้องกับการค้นหาและค้นพบโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่า งานที่ทำในพื้นที่กันดารที่นักโบราณคดีนั้นๆ ไม่ค่อยคุ้นเคย จึงทำให้ดูเสมือนว่า งานโบราณคดีมักผสมผสานไปด้วยการเผชิญความยากลำบากและเสี่ยงอันตราย ลักษณะเช่นนี้ และวิธีการทำงานที่ประกอบด้วยการสืบค้นสอบสวนไปทีละขั้นตอน จากเงื่อนงำที่ได้มาทีละน้อยเป็นลำดับ เหมือนกับงานของนักสืบ ซึ่งนักประพันธ์และนักสร้างภาพยนตร์ได้มีการนำเรื่องของนักโบราณคดีมาเสนอในงานของตนจนเป็นที่รู้จักกันดี และทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่านักโบราณคดีพึงจะมีบทบาทเช่นนั้น อาทิ นวนิยายเรื่อง “ฆาตกรรมในเมโสโปเตเมีย” (Murder in Mesopotamia) ของแอกาธา คริสตี้ (Agatha Christie) และภาพยนตร์ชุด “อินเดียนา โจนส์” ของสตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ที่มีนักโบราณคดีเป็นตัวเอกของเรื่อง และมักมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับการล่าโบราณวัตถุทรงค่า แต่ตามความเป็นจริงแล้ว งานโบราณคดีเป็นงานวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ที่ต้องทำตามระเบียบวิธีการวิจัยอย่างเคร่งครัด ทั้งในขณะทำงานสำรวจหรือขุดค้นในภาคสนาม และในการทำงานวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเฉพาะที่สำนักงาน มิได้เป็นวิชาที่ต้องอาศัย “โชค” และ “ความบังเอิญ” แต่ต้องอาศัย “วิธีการคิด” ที่มีเหตุผลอย่างรอบคอบ และมีหลักวิชาการเป็นกรอบชี้นำความคิดและวิธีการค้นคว้า ส่วนการแปลความหมายหลักฐานเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า โบราณวัตถุชิ้นต่างๆ มีอายุเท่าไรและมีความหมายอย่างไรเกี่ยวกับประวัติของมนุษยชาตินั้น จัดได้ว่าเป็นงานที่ยากลำบากที่สุดในกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี แม้ว่างานโบราณคดีในนวนิยายและภาพยนตร์จะแตกต่างจากความเป็นจริงอย่างมาก แต่ก็สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงประการสำคัญประการหนึ่ง คือ โบราณคดีนั้นเป็นงาน “ค้นหา” ที่น่าตื่นเต้น ส่วนสิ่งที่นักโบราณคดีค้นหานั้นมิใช่ “สิ่งของและเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น หากแต่เป็น “ความรู้” เกี่ยวกับตัวของเราเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ และความรู้เกี่ยวกับอดีตของมนุษยชาติ โบราณคดีคืออะไร โบราณคดี คือ ศาสตร์ของการใช้หลักวิชาการและวิธีการทั้งทางวิทยาศาสตร์และศิลปะมาผสมผสานกัน ใช้ศึกษา ค้นคว้าเพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับตัวของมนุษย์ในอดีต รวมทั้งสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของมนุษย์เมื่อครั้งอดีต หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า โบราณคดี คือ การศึกษาให้เข้าใจเรื่องราวในทุดด้านของมนุษย์ในอดีต รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทุกประเภทที่สัมพันธ์กับมนุษย์ในอดีต สิ่งแวดล้อมทุกประเภทตามที่กล่าวนั้น หมายถึง สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ได้แก่ ดิน หิน ป่าไม้ ภูเขา ถ้ำ แหล่งน้ำ และสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม เช่น ชุมชน สังคม ไร่ นา สวน เป็นต้น ที่สัมพันธ์กับชุมชนในสมัยอดีตแห่งที่นักโบราณคดีคนหนึ่งกำลังเน้นศึกษา นักโบราณคดีศึกษาอะไร นักโบราณคดีศึกษาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ดังนี้ ๑. คนสมัยโบราณ ๒. สิ่งที่คนสมัยโบราณสร้าง ซึ่งเรียกโดยรวมว่า “วัฒนธรรม” และแบ่งย่อยได้เป็น ๒ ประเภท คือ วัฒนธรรมที่ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ (Tangible Culture) ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย รวมทั้งสิ่งก่อสร้างเพื่อกิจกรรมด้านต่างๆ ยารักษาโรค เครื่องมือใช้สอย และวัฒนธรรมที่ไม่ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ (Intangible Culture) เช่น ศาสนา ความ เชื่อ ประเพณี ดนตรี เป็นต้น ๓. ระบบสิ่งแวดล้อมสมัยโบราณ ทั้งที่เกิดตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้ำ แร่ธาตุ ดิน และเกิดโดยคนสร้างขึ้น เช่น หมู่บ้าน ไร่ นา สวน คูเมือง คลอง ในการศึกษาและวิจัยทางโบราณคดีนั้น นักโบราณคดีมักพยายามหาความรู้ว่าในสมัยโบราณนั้นที่แหล่งโบราณคดีที่กำลังศึกษา เกิดเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทั้งทางธรรมชาติ และทางวัฒนธรรมอะไรบ้าง เกิดขึ้นที่ใด เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นในลักษณะอย่างไร เหตุใดจึงเกิดขึ้น มีเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ใดบ้างที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการเกิดเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์นั้น ที่มาของข้อมูล : หนังสือโบราณคดีสำหรับเยาวชน จัดพิมพ์โดยสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร

ทรงเปิดโลกพิพิธภัณฑสถานสู่สากล

ทรงเปิดโลกพิพิธภัณฑสถานสู่สากล “...โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และโบราณสถานทั้งหลายนั้นล้วนเป็นของมีคุณค่าและจำเป็นแก่การศึกษาค้นคว้าในทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และโบราณคดี เป็นเครื่องแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชาติไทยที่มีมาแต่อดีตกาล สมควรจะสงวนรักษาให้คงทนถาวรเป็นสมบัติส่วนรวมของชาติไว้ตลอดกาล โดยเฉพาะโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ ควรจะได้มีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเก็บรักษาและตั้งแสดงให้นักศึกษาและประชาชนได้ชม และศึกษาหาความรู้ให้มากและทั่วถึงยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้...” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๔ พิพิธภัณฑสถานในประเทศไทยกำเนิดขึ้นจากพระราชดำริและความสนพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ในโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ ดังที่ปรากฏว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งจัดพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งราชฤดี ภายในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดศาลาสหทัยสมาคม หรือหอคองคอเดียเป็นพิพิธภัณฑสถานหรือมิวเซียมหลวง จัดแสดงโบราณวัตถุ เครื่องราชูปโภค และสิ่งของหลากหลาย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดพิพิธภัณฑสถาน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๑๗ เหตุนี้รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ ๑๙ กันยายนของทุกปีเป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย เนื่องจากเป็นวันที่คนไทยทั้งชาติได้รับพระราชทานพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนเป็นครั้งแรก การดำเนินงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของไทยตั้งแต่อดีต ล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างต่อเนื่องมาทุกรัชสมัย ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงสนพระราชหฤทัยในวิทยาการอันหลากหลายและตั้งพระราชหฤทัยที่จะพัฒนาประเทศในทุกด้าน ทรงเล็งเห็นคุณค่าของโบราณสถาน โบราณวัตถุ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่ง จำเป็นต้องให้การคุ้มครอง ดูแล และอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติของชาติ พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีต่อกิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากรนั้น ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าส่วนหนึ่งมาจากแรงบันดาลใจที่ทรงได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงสนพระราชหฤทัย และทรงเห็นคุณค่าของโบราณวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เสด็จพระราชดำเนินพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ครั้งแรก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๑ โดยทรงเล่าไว้ในหนังสือพระราชทานเพลิงศพนางจิรา จงกล อดีตผู้อำนวยการกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ว่า “...เมื่ออายุได้ ๑๑ ปี ได้ตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ไปประเทศอังกฤษ เด็กในวัย ๑๐ ปี กำลังซน อยากรู้อยากเห็นและพร้อมที่จะเรียนและจดจำ ถ้าปล่อยให้ว่างก็อาจเสียโอกาสที่จะได้ประโยชน์อันควร พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต หรือท่านหญิงวิภาฯ ในขณะนั้น ทรงสอนประวัติศาสตร์อังกฤษ พาไปดูพิพิธภัณฑ์และสถานที่น่าสนใจต่างๆ เมื่อกลับถึงเมืองไทยแล้วข้าพเจ้าจึงมีโอกาสต่อเนื่องที่จะไปศึกษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ผู้ที่ให้ความรู้แก่ข้าพเจ้าในช่วงนั้นมีศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี เป็นต้นที่จำได้แน่นอนคือ อาจารย์จิรา จงกล...” การเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครในครั้งนั้น นอกจากจะทำให้พระองค์ทรงมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์โบราณคดีที่สนพระราชหฤทัยมากขึ้นแล้ว ยังทำให้พระองค์ตระหนักถึงพิพิธภัณฑสถานมาแต่ทรงพระเยาว์อีกด้วย ต่อมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรพิพิธภัณฑสถานในต่างประเทศทั่วโลกด้วย เนื่องจากทรงตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของพิพิธภัณฑสถานว่าเป็นแหล่งให้ความรู้แก่คนทุกๆ ด้าน มีประโยชน์แก่คนทุกวัย ทุกอาชีพจริงๆ พระราชกรณียกิจในงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการที่เกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินับแต่ทรงพระเยาว์สืบเนื่องกระทั่งถึงปัจจุบัน อาทิ การเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทรงเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยเป็นประจำทุกปี ทรงนำเสด็จประมุขหรือผู้นำประเทศต่างๆ คณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งทรงนำนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าทัศนศึกษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นต้น โดยทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินจะพระราชทานแนวพระราชดำริหรือทรงรับสั่งเกี่ยวกับพิพิธภัณฑสถาน นิทรรศการหรือโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่ได้ทอดพระเนตรแก่ผู้บริหารกรมศิลปากร ซึ่งล้วนก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อกิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติเป็นอย่างยิ่ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๒๐ กระทั่งถึงปัจจุบันมี ๑๖ แห่ง ได้แก่ ๑. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป กรุงเทพฯ วันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐ ๒. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๒ ๓. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประวัติศาสตร์ชาติไทย ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วันที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๕ ๔. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จังหวัดสุโขทัย วันที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘ ๕. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี วันที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๘ ๖. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน วันที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐ ๗. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลางจังหวัดภูเก็ต วันที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๒ ๘. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี วันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ ๙. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี วันที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔ ๑๐. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จังหวัดนครราชสีมา วันที่ ๔สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖ ๑๑. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน จังหวัดเชียงราย วันที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๑๒. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด วันที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ ๑๓. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร วันที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ ๑๔. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สตูล วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ ๑๕. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ วันที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ๑๖. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓ นอกจากการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในจังหวัดต่างๆแล้ว ยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดนิทรรศการพิเศษที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากรจัดขึ้น เช่น · นิทรรศการพิเศษเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๒๖ และ ๒๕๒๗ นิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๘ ประกาศให้วันที่ ๒ เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ องค์เอกอัคราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย เป็นวันอนุรักษ์มรดกไทย ด้วยตระหนักในพระปรีชาสามารถทางด้านศิลปวัฒนธรรมของพระองค์ และพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงอนุเคราะห์และสนับสนุนกิจกรรมอันเนื่องด้วยงาน วัฒนธรรมของชาติตลอดมา ในการนี้ กรมศิลปากรจึงได้จัดนิทรรศการเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย เป็นประจำทุกปี และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ โดยเสมอกระทั่งถึงปัจจุบัน การพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติตามแนวพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระราชหฤทัยและทรงห่วงใยการดำเนินงานด้านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโดยเสมอมา พระองค์ได้พระราชทานแนวพระราชดำริหรือทรงรับสั่งเกี่ยวกับพิพิธภัณฑสถานในด้านต่างๆ เช่น งานวิชาการ งานคลัง งานจัดแสดงนิทรรศการ งานอนุรักษ์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เป็นต้น แนวพระราชดำริด้านคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระราชหฤทัยและให้ความสำคัญกับเรื่องคลังพิพิธภัณฑ์ ทรงใช้บริการของคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขณะนั้น ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครตั้งแต่ทรงศึกษาในชั้นปีที่ ๔ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้งที่กรมศิลปากรขุดค้นพบใหม่ขณะบูรณะปราสาทและอีกหลายคราเมื่อทรงศึกษาในบัณฑิตวิทยาลัยที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาภาษาบาลี สันสกฤต กับที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออกและอีกหลายครา ได้พระราชทานแนวพระราชดำรัสเกี่ยวกับการปรับปรุงพัฒนาคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในโอกาสต่างๆ ดังนี้ พุทธศักราช ๒๕๓๒ ทรงเป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย เรื่อง ประชาชนพร้อมพรักอนุรักษ์มรดกไทย ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ขณะทอดพระเนตรนิทรรศการได้รับสั่งถึงคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่เคยเสด็จมาศึกษาค้นคว้าศิลาจารึกว่ามีการปรับปรุงหรือย้ายไปที่อื่นบ้างหรือไม่ เพราะการจัดวางโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ อยู่ในสภาพแออัด ทรงแนะนำว่า เราควรจะปรับปรุงพัฒนาคลังให้มีระบบ เป็นระเบียบ สามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น พุทธศักราช ๒๕๓๔ เมื่อครั้งทรงนำนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าไปทัศนศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัย ทรงมีพระราชดำรัสว่า “... เรื่องของโบราณวัตถุอันที่จริงไม่นิยมนักสะสมของเก่า แต่เมื่อกรมศิลปากรไม่มีสถานที่พอจะเก็บโบราณวัตถุและในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ก็มีคลังเก็บโบราณวัตถุ ซึ่งเก็บไว้แน่นมาก ไม่สามารถจัดให้เป็นระบบได้ก็จนใจ โบราณวัตถุบางชิ้นที่มีผู้มอบให้ไม่เคยได้นำมาจัดแสดง เข้าใจว่าของที่มีอยู่ในคลังก็คงจะจัดแสดงหมุนเวียนไม่ทั่วถึงอยู่แล้ว ดังนั้นการที่มีผู้สะสมเก็บรักษาไว้ก็นับเป็นการช่วยอนุรักษ์โบราณวัตถุทางหนึ่ง และกรมศิลปากรน่าจะสร้างคลังพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่เพื่อจัดของให้เป็นระบบและใช้เป็นสถานที่ศึกษาเปรียบเทียบโบราณวัตถุได้...” ในปีเดียวกันเมื่อพระองค์พระราชทานเครื่องดนตรีญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการทูลเกล้าฯถวายจากบริษัทสยามกลการ จำกัด ให้แก่กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเก็บรักษาไว้ ครั้งนั้นทรงรับสั่งถึงคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติว่า คลังพิพิธภัณฑ์ต้องเก็บโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก ยังไม่เป็นคลังที่มีระบบและไม่สามารถทำเป็นศูนย์กลางการศึกษาวิจัยหรือ Study Collection ได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก สมควรจัดให้มีขึ้น พุทธศักราช ๒๕๔๔ เมื่อครั้งเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ ทอดพระเนตรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รวมทั้งคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติด้วย ทรงมีพระราชดำรัสว่า “... รู้สึกพิพิธภัณฑ์ก็มี ๒ เรื่อง คือ เป็นที่เก็บของเก่าๆหรือเก็บของ จะเก่ามาก เก่าน้อยก็ตาม คือเป็นโกดังเก็บของ … ที่เป็นของส่วนมากก็จัดระเบียบของที่เป็นงานศิลปะหรือเป็นของที่น่าสนใจที่ควรจะเก็บรักษาไว้ก็เก็บ …ก็ที่เคยปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร ว่าจะเป็นเหมือนกับบริษัทหรือโรงงานเขาก็เก็บของในสต็อก คือ วางไว้เป็นระเบียบ เป็นประเภทเป็นหมวด เป็นหมู่ …มีระบบบัญชีเรื่องการเรียก โดยใช้อุปกรณ์สมัยใหม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าทำได้ก็สะดวกดี ก็ทำได้ทั้งพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กขนาดใหญ่ ถ้าฝ่ายในสต็อกดีก็จะดูได้ว่าของต่างๆอยู่ในสภาพใดควรจะจัดการอย่างไร เช่น ควรจะซ่อมหรือว่าซ่อมแล้ว ควรจะทำหรือเก็บจัดวางลักษณะไหนให้สิ่งนั้นได้อยู่นานเป็นที่ชื่นชม แล้วก็ให้ความรู้กับอื่นอีกต่อไปได้ …” วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ ทรงนำคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง มีนางอมรา ศรีสุชาติ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง นำเสด็จฯ ทอดพระเนตร และในระหว่างการเสด็จฯ มีพระกระแสรับสั่งถึงเรื่องการจัดการโบราณวัตถุของชาติที่มีเป็นจำนวนมาก จึงควรสร้างคลังในส่วนภูมิภาคเพื่อเก็บโบราณวัตถุเหล่านั้น และการดำเนินการคลังเปิดที่สามารถให้ประชาชนเข้าไปศึกษาได้ รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลทะเบียนโบราณวัตถุที่สามารถให้บริการเผยแพร่ต่อสาธารณชนในวงกว้าง การพัฒนาคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติตามแนวพระราชดำริ ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๓๕ เป็นต้นมา กรมศิลปากรสนองแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ด้วยการปรับอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีแผนจะจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานด้านชาติพันธุ์วิทยา จำนวน ๒ หลัง มาเป็นคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในลักษณะคลังกลาง (Central storage) มีการพัฒนาระบบทะเบียนบัญชีและบัตรรายการโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในรูปแบบของฐานข้อมูล (Database system) การจัดเก็บโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เป็นหมวดหมู่ตามชนิดวัตถุในรูปแบบของคลังกึ่งจัดแสดง (Visible storage) และสามารถให้บริการสืบค้นข้อมูลโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เพื่อการศึกษาวิจัยหรือ Study Collection ได้ ส่วนคลังพิพิธภัณฑ์ตามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่างๆ ก็ได้รับการปรับปรุงพัฒนาทั้งในเรื่องขนาดพื้นที่ ระบบทะเบียนบัญชี ระบบจัดเก็บและระบบรักษาความปลอดภัยโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ อย่างต่อเนื่อง ในอนาคต ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ๔๐ แห่ง พุทธศักราช ๒๕๕๘-๒๕๖๓ ของกรมศิลปากร จะมีการก่อสร้างอาคารคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหลังใหม่รวมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ เพื่อการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมในบริเวณที่ดิน ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี รวมทั้งการสร้างคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำภูมิภาคต่างๆ อีก ๔ แห่ง เพื่อรองรับจำนวนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกปี และเพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลและอนุรักษ์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่ได้มาตรฐานสากล สามารถให้บริการสาธารณชนในฐานะแหล่งเรียนรู้สำคัญประเภทหนึ่งของประเทศ ส่วนอาคารคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (คลังกลาง) เดิม ๒ หลังจะใช้จัดแสดงวัตถุชาติพันธุ์ในประเทศไทยตามวัตถุประสงค์แรกเริ่มของกรมศิลปากร แนวพระราชดำริด้านการอนุรักษ์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ การเสด็จพระราชดำเนินมายังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ทุกครั้ง ทุกครั้งมักมีรับสั่งถามเกี่ยวกับศิลปโบราณวัตถุ และเรื่องราวเกี่ยวกับนิทรรศการ นอกจากนี้ในครั้งที่เสด็จฯ ทอดพระเนตรการจัดแสดงภายในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ นายสมชาย ณ นครพนม ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในขณะนั้นซึ่งเป็นผู้ถวายคำบรรยายนำชม ได้เล่าว่า มีรับสั่งเกี่ยวกับตู้พระธรรมวัดเซิงหวายว่า เมื่อทรงพระเยาว์ได้ทอดพระเนตรตู้ใบเดียวกันนี้ ในตอนนั้นมีสีชัดกว่า แต่ตอนนี้สีซีดลง จึงควรมีวิธีการดูแลอย่างไร และควรปรับปรุงการจัดแสดงโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม โดยมีเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ตู้พระธรรมดังกล่าว นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓ ทรงมีพระแสรับสั่งว่าอยากให้คนไทยเห็นความสำคัญของการเก็บรักษาโบราณวัตถุ และให้เก็บรักษาไว้ให้ดี เพราะโบราณวัตถุเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อแผ่นดิน โดยเฉพาะการเชื่อมโยงโบราณวัตถุที่ค้นพบ กับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น เพื่อที่จะได้ทราบความเป็นมาของโบราณวัตถุชิ้นต่างๆ ว่าอยู่ในยุคสมัยใด มีอารยธรรมมาจากชนชาติใด รวมทั้งทรงรับสั่งว่า ประเทศไทยมีมรดกทางวัฒนธรรมมากมายต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการอนุรักษ์ จึงอยากให้ประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนและภาคเอกชนได้รับรู้และเข้าใจ เพื่อร่วมกันบริจาคเงินและมีส่วนร่วมอนุรักษ์มรดกของชาติไว้ และใช้ประโยชน์จากพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้น การพัฒนางานด้านอนุรักษ์ตามแนวพระราชดำริ กรมศิลปากรได้ตระหนักถึงความสำคัญของกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว และได้น้อมนำมาถือปฏิบัติอย่างเต็มกำลัง รวมทั้งศึกษาหาวิธีการที่เหมาะสมมาใช้อนุรักษ์โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุชนิดต่างๆ นอกจากนี้ กรมศิลปากรได้จัดทำโครงการสร้างศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรม เพื่อรองรับปริมาณโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ต้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ และเพื่อติดตั้งเครื่องมือขนาดใหญ่ที่มีความจำเป็นต่อการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นศูนย์กลางการบริการการศึกษา ฝึกอบรม สัมมนา ที่ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล แนวพระราชดำริด้านการจัดแสดงนิทรรศการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระกระแสรับสั่งเกี่ยวกับการจัดแสดงนิทรรศการหลายครั้ง ให้กรมศิลปากรใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการจัดแสดง เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รับประโยชน์และได้ความรู้จากนิทรรศการมากที่สุด “...ในพิพิธภัณฑ์ก็มีอีกหน้าที่คือ หน้าที่การจัดแสดง ของที่ตั้งวางให้ชมนี้ เป็นเหมือนอุปกรณ์การสอน หรือที่เรียกว่าสื่อการสอน เพื่อที่จะให้คนมีความรู้ในเรื่องต่างๆ ...ดึงความรู้จากสิ่งของนั้นมากที่สุด คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ว่าทำด้วยเงินทำด้วยทอง แต่อยู่ที่ว่าสิ่งนั้นเหมือนหนังสือที่จะให้ความรู้เหมือนครูสอน ความรู้ได้ที่ไหน จากคนที่ไปพิพิธภัณฑ์...แต่ก็ต้องมีคนนำชม คนนำชมนี้น่าจะอบรม หรือว่าให้ความรู้เขาเป็นอย่างดี นอกจากความรู้ที่ได้จากการอบรมแล้ว ก็น่าจะมีการส่งเสริมเขาให้มีการค้นคว้า...” พระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ ทอดพระเนตรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๔ “...พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์หรือพื้นบ้านต้องมืดๆ ...ถ้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะนี่ เราต้องเห็นรายละเอียดว่าเป็นอย่างไรทำอย่างไร จะเป็นผ้า เครื่องถ้วย รูปเขียน ของชาติพันธุ์ ที่สำคัญความรู้อย่างหนึ่ง มักโยงกันหลายเรื่อง โยงกับชีวิตประจำวัน โยงกับงานช่างฝีมือของคน สติปัญญาและเทคโนโลยีสมัยต่างๆ มันจึงจัดยาก...” บทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มักทรงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพิพิธภัณฑสถานต่างๆ ที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทอดประเนตร อาทิ เรื่อง ข้างเขาดิน ทรงถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพิพิธภัณฑสถานต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๑๐ แห่ง นอกจากเรื่องราวทางวิชาการประวัติศาสตร์ โบราณคดีแล้ว พระองค์ยังได้ทรงกล่าวถึงวิธีการจัดแสดงนิทรรศการให้น่าสนใจ ให้พิพิธภัณฑสถานเป็นแหล่งให้ความรู้แก่คนทุกๆ ด้าน มีประโยชน์แก่คนทุกวัย ทุกอาชีพจริงๆ เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดนิทรรศการพิเศษ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๕๗ พระองค์ทรงแสดงความห่วงใยงานด้านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของกรมศิลปากร พร้อมทรงรับสั่งแก่ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกรมศิลปากรว่าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศเก็บรักษาโบราณวัตถุที่มีค่าไว้มาก จึงควรมีรูปแบบการจัดแสดงที่น่าสนใจและมีชีวิตชีวา รวมทั้งรับสั่งให้กรมศิลปากรส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษาดูงาน ในต่างประเทศซึ่งเป็นต้นแบบการบริหารจัดการงานที่มีประสิทธิภาพ ทั้งประเทศสิงคโปร์ ฝรั่งเศส และอังกฤษ เพื่อให้บุคลากรด้านวัฒนธรรมนำความรู้และประสบการณ์การทำงานมาใช้พัฒนางานอย่างมืออาชีพและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับการจัดแสดงในต่างประเทศที่เคยทอดพระเนตร ทรงรับสั่งว่า “...ที่น่าดูอีกอย่างคือภาพแสดงชีวิตชาวไอนุ เป็นภาพวาดบนผ้า จิตรกรเป็นซามูไรสมัยโตกุกาวะ แบ่งช่องเป็นเดือนๆ ตั้งแต่มกราคมถึงธันวาคม แสดงให้เห็นพิธีกรรมของความเจริญรุ่งเรืองโดยปักกะโหลกหมีไว้หน้าบ้าน มีการใช้ฉมวกจับปลา พวกผู้ชายไปจับปลาลึกๆ ส่วนผู้หญิงกับเด็กจับที่ชายหาดและในแม่น้ำ การเก็บสาหร่ายทะเล พวกไอนุกลั่นน้ำมันจากปลา กากที่เหลือทำปุ๋ย สำหรับการล่าสัตว์ต้องมีเครื่องราง เพื่อให้ล่าสัตว์ได้ดี และมีเครื่องมือพวกกับดักสัตว์ต่างๆ กระเป๋าใส่เครื่องมือเครื่องใช้ ฉมวกสำหรับแทงปลาแซมมอนโดยเฉพาะ ลูกศรพิษ ข้าพเจ้าดูของที่เขาเก็บมาจัดแสดงแล้วรู้สึกทึ่งว่าหามาได้มากมาย นอกจากของที่เจอในเกาะฮอกไกโด แล้วยังมีของที่มาจากเกาะซักการีนอีกด้วย เขาว่าเขารวบรวมได้จากการจัดนิทรรศการใหญ่คนที่มีเชื้อสายบริจาคบ้าง พ่อค้าของเก่าเอามาบ้าง...” การพัฒนางานด้านการจัดแสดงตามแนวพระราชดำริ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับสนองรับสั่งโดยจะมอบหมายให้ นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร เร่งปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ให้เป็นโครงการนำร่องในการจัดทำระบบคลังข้อมูลพิพิธภัณฑ์ เพื่อจัดเก็บโบราณวัตถุให้เป็นระเบียบ สามารถสืบค้นได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการคัดเลือกโบราณวัตถุมาจัดแสดงได้ง่ายขึ้นด้วย นอกจากนี้จะต้องปรับปรุงนิทรรศการจัดแสดงโบราณวัตถุให้มีความน่าสนใจ สลับสับเปลี่ยนโบราณวัตถุออกมาจัดแสดง ตลอดจนแลกเปลี่ยนโบราณวัตถุไปจัดแสดงหมุนเวียน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนต่างพื้นที่ได้เรียนรู้ จากที่กล่าวข้างต้น นับเป็นเพียงส่วนน้อยหากเทียบกับพระราชกรณียกิจนานับปการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ทรงมีต่อกิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระองค์ทรงห่วงใย และพระราชทานแนวพระราชดำริในการปรับปรุง พัฒนา ให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่าต่อคนทุกเพศทุกวัยอย่างแท้จริง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ อ่านต่อ ที่นี่ ที่มาข้อมูล : หนังสือสิปปธัช : พระผู้เป็นธงชัยแห่งสรรพศิลป์ (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส ๑๐๔ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร)

อลังการสถาปัตยกรรมตามพระราชดำริ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย ทรงตระหนักในความสำคัญของงานสถาปัตยกรรมไทย เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๕ พระองค์มีพระราชดำริให้สร้างพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่มีค่าจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเป็นแหล่งค้นคว้าอ้างอิงเกี่ยวกับการสร้างและการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง ความว่า ...จุดประสงค์ของการสร้างพิพิธภัณฑ์นี้ มิใช่เป็นสถานที่สำหรับตั้งแสดงของมีค่าเท่านั้น แต่ต้องการให้เป็นแหล่งค้นคว้าอ้างอิง เป็นตำราเกี่ยวกับวิวัฒนาการของการสร้างวัด โดยใช้ แบบจำลอง (Model) ภาพสเก็ตซ์ และภาพถ่ายสมัยเก่าแสดงให้เห็นเทคนิคของการสร้าง และ วัสดุที่ใช้ในแต่ละยุคแต่ละสมัยแสดงการเปลี่ยนแปลงของวิธีการช่าง และการก่อสร้างในคราว ปฏิสังขรณ์ครั้งสำคัญ ๆ ...การจัดพิพิธภัณฑ์นี้...ต้องการให้จัดให้ดีถูกต้องตามหลัก เป็นที่สั่ง สอนวิชาการด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรมไทยแก่ผู้สนใจได้... พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงริเริ่มให้นำองค์ความรู้ในเชิงช่างชั้นสูงของไทย และโบราณวัตถุที่เป็นส่วนประกอบสถาปัตยกรรมที่ได้จากการบูรณะมาเป็นสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมไทย นับว่าเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่ง พระราชดำรัสและพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับงานด้านสถาปัตยกรรมเปรียบเสมือนเครื่องชี้นำให้สำนักสถาปัตยกรรมดำเนินงานตามภารกิจในการอนุรักษ์ และสร้างสรรค์งานด้านสถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ และวิศวกรรม ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม การเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโครงการ เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สร้างความปลาบปลื้มใจแก่ผู้ปฏิบัติงานอย่างหาที่สุดมิได้ สำนักสถาปัตยกรรมได้น้อมนำแนวพระราชดำริมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อสนองวัตถุประสงค์ที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๑. การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมร่วมสมัยเพื่อการอนุรักษ์และเผยแพร่มรดกวัฒนธรรมของชาติ ๒. การอนุรักษ์และสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยเพื่อธำรงรักษาโบราณราชประเพณี และสืบทอดพระพุทธศาสนา ๓. การใช้สถาปัตยกรรมเป็นสื่อประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์ไทย ๑. การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมร่วมสมัยเพื่อการอนุรักษ์และเผยแพร่มรดกวัฒนธรรมของชาติ กรมศิลปากรสนองแนวพระราชดำริในการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำเมือง เพื่อการอนุรักษ์และเรียนรู้มรดกศิลปวัฒนธรรมที่สะท้อนเรื่องราวและเอกลักษณ์ของท้องถิ่น จัดทำโครงการปรับปรุงและยกระดับมาตรฐานของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สำนักสถาปัตยกรรมได้รับมอบหมายให้ออกแบบอาคารใหม่ ปรับปรุงอาคารของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในส่วนภูมิภาคบางแห่ง และออกแบบการจัดแสดงตามแนวพระราชดำริ “...ในการจัดแสดง...จะต้องให้คนดูเข้าใจง่าย โดยไม่คิดว่าทุกคนต้องรู้ดีอยู่แล้ว...” รวมทั้งออกแบบอาคารคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ให้เป็น“...คลังพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่เพื่อจัดของให้เป็นระบบและใช้เป็นสถานที่ศึกษาเปรียบเทียบโบราณวัตถุได้ คลังพิพิธภัณฑ์ต้องเก็บรักษาโบราณวัตถุจำนวนมาก” และเป็น “...ศูนย์การศึกษา (Study Collection)…” ที่มีประโยชน์ใช้สอยเพื่อการศึกษาตามแนวพระราชดำริอย่างแท้จริง อาคารคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ มีแนวความคิดในการออกแบบ ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดเก็บโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ถูกต้องตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กที่มั่นคงแข็งแรง สูง ๓ ชั้น ยกพื้นสูง มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย มีพื้นที่กว้างขวาง แบ่งเป็นสำนักงาน ห้องคลังขนาดใหญ่ สามารถรองรับโบราณวัตถุที่จะเพิ่มขึ้นใน ๒๐ ปีข้างหน้าได้ และส่วนบริการที่ให้ผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะ อาคารคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จะจัดสร้างใกล้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนภิเษก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ๒. การอนุรักษ์และสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยเพื่อธำรงรักษาโบราณราชประเพณี และสืบทอดพระพุทธศาสนา สำนักสถาปัตยกรรมได้รับมอบหมายให้ดำเนินการอนุรักษ์และสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทย ซึ่งมีแบบแผนการสร้างตามคติโบราณที่สืบทอดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรมไทยชั้นสูง และบูรณการศิลปกรรม หลายแขนง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุมธศักราช ๒๕๓๙ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักสถาปัตยกรรม จึงได้กำหนดแนวความคิดในการบูรณะและออกแบบสร้างสรรค์ โครงการที่สำคัญหลายโครงการ ดังนี้ ๒.๑ งานออกแบบพระเมรุและอาคารประกอบในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๔ สำนักสถาปัตยกรรมดำเนินการออกแบบพระเมรุและอาคารประกอบในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งมีแนวความคิดในการออกแบบพระเมรุเพื่อประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระบรมวงศ์ชั้นสูง มีองค์ประกอบตามคติการสร้างสิ่งก่อสร้างตามโบราณราชประเพณี และเป็นไปตามพระอิสริยยศ พระเมรุ เป็นอาคารทรงปราสาทยอดมณฑป หลังคาจัตุรมุขซ้อน ๒ ชั้น ตั้งอยู่บนฐานชาลาใหญ่ ความสูงจากฐานชาลาถึงยอดฉัตร สูง ๓๕.๕๙ เมตร เครื่องยอดมีชั้นเชิงกลอน ๕ ชั้น แต่ละชั้นมีซุ้มบันแถลงซ้อน ๒ ชั้น มุมหลังคามีนาคปัก ส่วนบนเป็นองค์ระฆังรับบัลลังก์ เหนือบัลลังก์เป็นชุดบัวกลุ่ม ๕ ชั้น ปลียอดมีเม็ดน้ำค้าง เหนือสุดปักสัปตปฎลเศวตฉัตร หน้าบันทั้งสี่ประดับอักษรพระนาม “พร” โครงสีของพระเมรุโดยรวมเป็นสีทองและสีชมพู ตามสีวันพระราชสมภพ คือวันอังคาร มุขหน้าด้านทิศตะวันตกเป็นทางเสด็จพระราชดำเนิน มุขหน้าด้านทิศเหนือมีสะพานเกรินสำหรับอัญเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระจิตกาธานภายในพระเมรุ บริเวณฐานชาลาทุกด้านมีบันไดขึ้นลง รายล้อมด้วยรั้วราชวัติ ฉัตร โคม และเทวดาอัญเชิญฉัตรประกอบพระอิสริยยศ ภูมิทัศน์รอบพระเมรุจำลองป่าหิมพานต์ มีเขามอ ไม้ดัด และสัตว์หิมพานต์นานาชนิด ๒.๒ โครงการบูรณปฏิสังขรณ์เขตพุทธาวาสและพื้นที่ริมคลองมหานาค วัดบรมนิวาสราชวรวิหารกรุงเทพมหานคร สำนักสถาปัตยกรรมดำเนินโครงการอนุรักษ์และสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทย เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง ในพุทธศักราช ๒๕๕๗ มีโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร พระอารามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเพื่อให้เป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี มีแนวความคิดในการฟื้นฟูพระอารามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเพื่อให้เป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ให้คืนสู่สภาพเมื่อแรกสร้างในพุทธศักราช ๒๓๗๗ เพื่อให้เห็นลักษณะของรูปแบบสถาปัตยกรรมตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ถ่ายทอดปรัชญาทางพระพุทธศาสนาอันลึกซึ้ง ความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์ สังคม และการปกครองสู่งานสถาปัตยกรรมได้อย่างกลมกลืน มีการบูรณปฏิสังขรณ์ เขตพุทธาวาส เช่น พระอุโบสถ พระเจดีย์ หอระฆัง และพื้นที่ริมคลองมหานาค เช่นศาลาท่าน้ำ ทางเดินโบราณและโพธิมัลลกะ เนื่องจากในอดีตการเดินทางมายังวัดบรมนิวาสใช้เส้นทางสัญจรทางน้ำ บริเวณริมน้ำใกล้ต้นโพธิ์เคยมีศาลาตรีมุขและศาลาท่าน้ำ ได้ศึกษาหลักฐานเดิม แผนที่เก่าและขุดตรวจสอบทางโบราณคดี พบฐานเดิมของสิ่งก่อสร้างและทางเดินเชื่อมจากศาลาท่าน้ำไปยังเขตพุทธาวาสจึงได้จัดสร้างศาลาโถงเป็นสถาปัตยกรรมไทยแบบตรีมุข และบูรณะทางเดินโบราณโดยทำผังตามแนวเดิมรวมทั้งปรับระดับและนำหินเดิมกลับมาปูใหม่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาในพิธีสมโภชวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ในโอกาสครบ ๑๘๐ ปีแห่งการสถาปนาวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๓. การใช้สถาปัตยกรรมไทยเป็นสื่อประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์ไทย สำนักสถาปัตยกรรมได้ดำเนินการออกแบบศาลาไทยเพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์ไทย เป็นอาคารที่มีขนาดไม่ใหญ่แต่แสดงเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมไทยอย่างเด่นชัด รูปแบบศาลาไทยมีหลายลักษณะ มีรูปทรงแบบจั่ว แบบตรีมุข และแบบจตุรมุข เมื่อสร้างไว้กลางแจ้งตามสถานที่สาธารณะ จะโดดเด่นด้วยลักษณะรูปทรง องค์ประกอบ และรายละเอียดที่งดงามประณีต ตั้งแต่ชั้นฐาน ตัวเรือน และเครื่องบน แสดงถึงความคิดและความเชี่ยวชาญเชิงช่างที่สร้างสมและสืบทอดกันมาหลายร้อยปี นอกจากเป็นสัญลักษณ์อันสง่างามให้ชื่นชมแล้วยังต้อนรับผู้คนให้เข้ามาใช้สอยเพื่อการพักผ่อน สะท้อนอัธยาศัยของคนไทยที่ต้อนรับผู้มาเยือน อย่างมีไมตรี การสร้างศาลาไทยในต่างประเทศมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างศาลาไทยเป็นแห่งแรก ณ เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งโปรดให้สร้างศาลาไทย เพื่อพระราชทานให้เมืองบาด ฮอมบวร์กนำไปตั้งครอบบ่อน้ำพุ “คิงจุฬาลงกรณ์” ณ เมืองบาด ฮอมบวร์ก สาธารณรัฐเยอรมนี ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีความร่วมมือระหว่างประเทศในการสร้างศาลาไทยเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี และเพื่อเฉลิมฉลองวาระสำคัญต่าง ๆ หลายแห่ง ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดและทอดพระเนตรศาลาไทยในต่างประเทศ และพระราชทานแนวพระราชดำริให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดสร้างศาลาไทยในต่างประเทศ ศาลาไทยที่สำนักสถาปัตยกรรมออกแบบมีลักษณะเฉพาะที่ผสมผสานศิลปะ ของประเทศที่ตั้งของศาลาไทยด้วย จึงมีเอกลักษณ์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศนั้น ๆ และเป็นสัญลักษณ์ไทยในต่างแดนที่สง่างาม ดังศาลาไทยที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ๑. ศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ เมืองโลซานน์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๐ รัฐบาลไทยและเทศบาลเมืองโลซานน์ ร่วมมือกันจัดสร้างศาลาไทย เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ และฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ครบ ๗๕ ปี ตั้งอยู่ที่สวนสาธารณะเดอน็องตูสำนักสถาปัตยกรรมมีแนวความคิดในออกแบบศาลาไทยเพื่อถวายพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นศาลาทรงจตุรมุข มีเครื่องยอดทรงมณฑปซึ่งแสดงฐานานุศักดิ์ทางสถาปัตยกรรมไทยชั้นสูงสุด ศาลาไทยที่สร้างนี้มีมุขแบบมุขทะลุขื่อหรือมุขชะโงกทั้งสี่ด้าน หลังคาซ้อนชั้น มุงกระเบื้องหางมน เครื่องยอดทรงมณฑปปิดทองประดับกระจก ศาลากว้าง ๕.๓๐ เมตร ยาว ๕.๓๐ เมตร มุขทั้งสี่ด้านมีความกว้าง ๓.๐๐ เมตร ตั้งอยู่บนฐานปัทม์หินอ่อน มีบันไดและพนักพลสิงห์กรุหินอ่อน เสาแปดเหลี่ยมเขียนลายรดน้ำ บัวหัวเสาและคันทวยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก มีซุ้มหน้านางไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก ราวกันตกลูกฟักไม้ลายแก้วชิงดวง ประดับเสาหัวเม็ดทรงมัณฑ์ ชั้นหลังคาหน้าจั่ว หลังคาชั้นซ้อนและหลังคาปีกนกประดับด้วยเครื่องลำยองชนิดช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์ไม้ปิดทองประดับกระจก หลังคาชั้นกันสาดประดับด้วยนาคปักไม้ปิดทอง หน้าบันแต่ละด้านแกะสลักลาย คือ หน้าบันด้านหน้าประดิษฐานลวดลายพระปรมาภิไธยภ.ป.ร.ด้านซ้ายประดิษฐานพระนามาภิไธย อ.ป.ร. หน้าบันด้านขวาประดับด้วยพระนามาภิไธย ส.ว. ประจำสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หน้าบันด้านหลังประดับตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ฝ้าไขราและฝ้าเพดานไม้ทาสีแดงลายฉลุปิดทอง ดาวเพดาน ค้างคาวมุมและคิ้วไม้ปิดทองประดับกระจก ๒. ศาลาไทย ณ กรุงลิสบอน สาธารณรัฐโปรตุเกส ศาลาไทยเนื่องในงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – โปรตุเกส ครบรอบ ๕๐๐ ปีสร้างในสวนสาธารณะเบเล็ง เป็นศาลาทรงจตุรมุข มีแนวความคิดในการออกแบบตามลักษณะสถาปัตยกรรม สมัยอยุธยา เพื่อย้อนระลึกถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและโปรตุเกสที่เริ่มในสมัยอยุธยา โปรตุเกสเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี ศาลาโถงมีหลังคาซ้อนลดชั้น ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันประดับสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – โปรตุเกส ครบรอบ ๕๐๐ ปี ล้อมด้วยลายดอกพุดตาน ปิดทองลงยาสี ซุ้มคูหาและราวกันตกมีลักษณะพิเศษที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยและสถาปัตยกรรมแบบ Manueline ของโปรตุเกสในช่วงต้นศตวรรษที่ ๑๖ เสาแปดเหลี่ยมลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง คันทวย แบบคดกริช คานไม้ปิดทองลายรดน้ำ ฝ้าเพดานมีดาวเพดานปิดทองประดับกระจก พื้นปูด้วยหินแกรนิต อ่านต่อ ที่นี่ ที่มาข้อมูล : หนังสือสิปปธัช : พระผู้เป็นธงชัยแห่งสรรพศิลป์ (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส ๑๐๔ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร)

วรรณกรรมและประวัติศาสตร์ตามรอยพระบาทสยามบรมราชกุมารี

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงตระหนักในคุณค่าของหนังสือ โปรดการอ่าน การศึกษาค้นคว้า และการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งพระองค์ยังทรงสนพระราชหฤทัยในวรรณคดีไทยและงานกวีนิพนธ์ ซึ่งเป็นผลมาจากทรงได้รับการปลูกฝังพระอุปนิสัย ดังกล่าวมาจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเล่าเรื่องในวรรณคดีไทยพระราชทานมาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ ดังบทความตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์เรื่อง “แม่” ว่า ******************************************** เมื่อตอนเล็กๆ ตั้งแต่เริ่มเรียนประถม ท่านสอนภาษาไทย โดยการให้อ่านวรรณคดี เรื่องยืนโรง สามเรื่อง คือ พระอภัยมณี อิเหนา และรามเกียรติ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอิเหนา ท่านให้ท่องกลอนตอนที่ เพราะๆ เช่น “ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไม้อึงมี่” ฯลฯ คงจะเป็นเพราะได้อ่านกลอนมาแต่เล็กๆ ทำให้ข้าพเจ้าชอบเรียนวรรณคดีไทยชอบแต่งกลอน ******************************************** และในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “ฉันชอบอ่านหนังสือ” พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ******************************************** ... หนังสือทางวรรณคดีก็ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและความรู้อย่างกว้างขวาง เช่น หนังสือรามเกียรติ์ พระอภัยมณี ฯลฯ ก็มีเรื่องที่น่าสนใจมาก นอกจากจะเป็นกลอนที่ไพเราะแล้ว ยังได้รับความรู้และคติเตือนใจ... ******************************************** นอกจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระราชหฤทัยด้านวรรณคดีกวีนิพนธ์แล้ว ยังโปรดการอ่านหนังสือหลากหลายประเภท ซึ่งทำให้ทรงรอบรู้ในศิลปวิทยาการหลายแขนง ทั้งยัง มีพระปรีชาสามารถด้านการประพันธ์เป็นที่ประจักษ์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งประเภทสารคดี บันเทิงคดี และบทความต่างๆ ทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง ผลงานพระราชนิพนธ์มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ แสดงให้เห็นถึงความเอาพระราชฤทัยใส่ในความสำคัญของการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง รวมทั้งสาระความรู้และข้อคิด อันเป็นคุณประโยชน์แก่เยาวชนและผู้อ่าน ทรงเห็นคุณค่าและความสำคัญของวรรณคดีไทยโบราณ ตลอดจนการแต่งคำประพันธ์ตามขนบวรรณคดีทรงพระราชนิพนธ์บทกวีนิพนธ์ที่มีความไพเราะและทรงคุณค่าหลายเรื่อง เช่น กษัตริยานุสรณ์ คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมพระศรีนรารัฐราชกิริณี คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างสำคัญ ๓ เชือก กาพย์ขับไม้กล่อมช้างสำคัญ ๓ เชือก และฉันท์ดุษฎีสังเวยสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร นับว่าทรงอนุรักษ์และสืบทอดขนบการแต่งวรรณคดีโบราณให้คงอยู่สืบไป นอกจากนี้ การที่พระองค์โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทอดพระเนตรงานด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมไทย หรือได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงประกอบพระราชกรณียกิจและทรงเยือนแหล่งโบราณสถาน และพิพิธภัณฑสถานต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ทรงสนพระราชหฤทัยงานด้านศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีอันเป็นเรื่องราวในอดีตของชนชาติไทย ดังนั้นเมื่อทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีในคณะอักษรศาสตร์ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระองค์จึงทรงเลือกศึกษาในสาขาวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอก ทั้งยังทรงเข้าเป็นสมาชิกของชมรมประวัติศาสตร์ ชมรมภาษาไทย ชมรมภาษาตะวันออก ชมรมวรรณศิลป์ ฯลฯ ทรงเป็นกรรมการจัดหาเรื่องลงพิมพ์ในหนังสือ “อักษรศาสตร์พิจารณ์”ของชุมนุมวิชาการอักษรศาสตร์ ในบางครั้งก็พระราชทานบทพระราชนิพนธ์ลงพิมพ์ในหนังสือนี้ด้วย เช่นเรื่อง “การเดินทางไปร่วมพิธีพระบรมศพ พระเจ้ากุสตาฟที่ ๖ อดอล์ฟ”และได้ทุนวิชาภาษาไทยจากทุนพระวรเวทย์พิสิฐ อีกด้วย เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว พระองค์ทรงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทในบัณฑิตวิทยาลัย ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสาขาวิชาภาษาบาลีและสันสกฤต และมหาวิทยาลัยศิลปากรในสาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออก ทรงศึกษารอบรู้และมีพระปรีชาสามารถอย่างลึกซึ้ง ได้ทรงพระราชนิพนธ์งานวิชาการ ด้านประวัติศาสตร์ที่สำคัญหลายเรื่อง อีกทั้งทรงพระมหากรุณารับเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ แก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และทรงดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองประวัติศาสตร์ ทรงมีบทบาทในการวางรากฐานการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ โดยปรับให้นักเรียนฝึกหัดตามวิธีการทางประวัติศาสตร์ในการคิดหาเหตุผลและมีสำนึกทางประวัติศาสตร์ ทรงปรับหลักสูตรให้นักเรียนนายร้อยมีความรู้ในประวัติศาสตร์บ้านเมือง และตระหนักในคุณค่ามรดกสำคัญของชาติในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทย และเป็นบุคคลที่จะ ทำหน้าที่รักษาความมั่นคงของประเทศต่อไปในอนาคต เพื่อให้ได้รู้จักรากฐานของความเป็นชาติไทย และมีความรู้ความเข้าใจสังคมไทยในปัจจุบันดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในสังคมโลก ซึ่งจะอำนวยประโยชน์ให้การทำงานประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น นอกจากทรงวางรากฐาน และทรงบรรยายพระราชทานแก่นักเรียนนายร้อยแล้ว ยังได้ทรงพานักเรียนไปทัศนศึกษาตามแหล่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีสำคัญทั้งในและต่างประเทศ ทรงกำหนดสถานที่โดยทรงคำนึงถึงความรู้ ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี รวมทั้งภูมิศาสตร์ สภาพสังคมและเศรษฐกิจของแต่ละท้องถิ่น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียน การดำเนินงานด้านวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ตามรอยพระยุคลบาท สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ดำเนินภารกิจหลักในการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ วิจัย แปลเอกสารต่างประเทศ และเรียบเรียงหนังสือและเอกสารทางวิชาการด้านภาษา วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ และจารีตประเพณี รวมทั้งตรวจสอบชำระและจัดพิมพ์หนังสือในสาขาดังกล่าวออกเผยแพร่สู่สาธารณชน เพื่อประโยชน์แก่วงวิชาการ ตลอดจนอนุญาตให้หน่วยงานอื่นๆ และเอกชนนำต้นฉบับของ กรมศิลปากรออกพิมพ์เผยแพร่ เพื่อให้ในท้องตลาดมีหนังสือด้านวรรณกรรมและประวัติศาสตร์สำหรับการศึกษาค้นคว้าอย่างเพียงพอและกว้างขว้างขึ้น รวมถึงจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้และความสำคัญของวรรณคดีกวีนิพนธ์ เช่น โครงการประกวดอ่านทำนองเสนาะ โครงการส่งเสริมยุวกวี ซึ่งจัดการประกวดแต่งคำประพันธ์ประเภทต่างๆ กิจกรรมส่งเสริมการใช้ภาษาไทยในการพูด อ่าน เขียน อย่างถูกต้อง เช่น โครงการประกวดสุนทรพจน์ โครงการประกวดคัดเขียนไทย และกิจกรรมด้านประวัติศาสตร์ และจารีตประเพณี เช่น โครงการจัดสัมมนาและประชุมทางวิชาการ ซึ่งนักอักษรศาสตร์ของสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ทุกคนได้ร่วมกันปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อธำรงรักษาส่งเสริม และสืบทอดมรดกศิลปวัฒนธรรมและทรัพย์ทางปัญญาของชาติให้รุ่งเรื่องและพัฒนาถาวร และต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีต่องานด้านวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของชาติตลอดมา งานด้านการส่งเสริมและสืบทอดวรรณคดีกวีนิพนธ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นกวีและทรงตระหนักถึงคุณค่าของวรรณคดีกวีนิพนธ์ มีพระราชประสงค์ให้คนไทยช่วยกันธำรงรักษาและสืบทอดไว้ให้งดงามยั่งยืน ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่กรมศิลปากร ความว่า ******************************************* วรรณคดีกวีนิพนธ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญา ที่บรรพบุรุษได้สั่งสมและทำนุบำรุงมอบไว้ให้เป็นมรดกตกทอดที่ล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้ จึงเป็นภาระหน้าที่และความภูมิใจของชาวไทยทั้งมวลที่ควรช่วยกันผดุงรักษาและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมนี้ให้เจริญรุ่งเรือง และธำรงอยู่สืบไปชั่วกาลนาน ******************************************* นอกจากนี้ พระองค์ยังมีพระมหากรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพิธีพระราชทานรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดอ่านทำนองเสนาะ ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๒๐ – ๒๕๓๗ ซึ่งสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ จัดขึ้นเป็นโครงการต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่ศิลปะการอ่านร้อยกรองและส่งเสริมให้เยาวชนตระหนักถึงคุณค่ากวีนิพนธ์ รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพิธีพระราชทานรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดแต่งคำประพันธ์ในโครงการส่งเสริมยุวกวี การเสด็จพระราชดำเนินในงานดังกล่าว พระองค์ได้พระราชทานพระราชดำรัสอันเป็นประโยชน์แก่การดำเนินงานด้านวรรณกรรมของชาติ ซึ่งนับเป็นสิริมงคลและกำลังใจแก่ข้าราชการและบรรดาผู้เข้าประกวดอย่างยิ่ง ดังพระราชดำรัสที่พระราชทาน ความว่า ******************************************* การแต่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ หรือคำประพันธ์ร้อยกรองใดๆ บุคคลจะรู้รสไพเราะของกวี นิพนธ์ได้ด้วยการอ่าน ฟังเสียง หรืออ่านเป็นทำนองเท่านั้น บทกวีของชนทุกชาติทุกภาษามีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกันฉะนี้ การอ่านทำนองเสนาะจึงเป็นการทำให้บทร้อยกรองหรืองานนิพนธ์ของกวีมีชีวิตจิตใจขึ้น รวมทั้งทำให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและท่วงทำนองของภาษากวีอีกด้วย ****************************************** งานด้านประวัติศาสตร์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระปรีชาสามารถในงานด้านประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง โปรดที่จะร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ในการประชุม และการสัมมนาทางประวัติศาสตร์ ที่หน่วยงานและสถาบันการศึกษาต่างๆ จัดขึ้น ดังเช่นการสัมมนาเรื่อง “หน้าประวัติศาสตร์ไทยจากเอกสารต่างประเทศ” ซึ่งสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากรจัดขึ้น ณ โรงแรมโซฟิเทล ราชาออร์คิด จังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๐ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา พร้อมทั้งทรงร่วมประชุมในวันแรกของการสัมมนา ทรงฟังปาฐกถาพิเศษของศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล และเสวยพระกระยาหารกลางวัน แล้วจึงเสด็จกลับ ยังความปลาบปลื้มและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่บรรดาข้าราชการผู้จัดงาน วิทยากร ตลอดจนผู้เข้าร่วมการสัมมนาโดยถ้วนหน้า นอกจากนี้ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ยังดำเนินงานสนองพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้วยพระองค์ทรงตระหนักถึงคุณค่าของหนังสือและวรรณคดีโบราณ มีพระราชดำริว่า หนังสือวรรณกรรมเก่าเหล่านี้ล้วนแต่จะเสื่อมสูญไปตามกาลเวลา ต่อไปจะไม่มีผู้ใดรู้จัก จึงพระราชทานแนวพระราชดำริให้กรมศิลปากรพิจารณาคัดเลือกหนังสือเก่าและต้นฉบับวรรณคดีโบราณมาจัดพิมพ์ให้แพร่หลายกว้างขวางทั้งนี้เพื่อสืบทอดอายุหนังสือที่ทรงคุณค่า และเพื่อให้เยาวชนได้อ่าน ได้เข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่าทางวรรณกรรมไทย กรมศิลปากรจึงสนอง แนวพระราชดำริมาดำเนินการเป็น ๒ โครงการ คือ โครงการจัดพิมพ์หนังสือเก่าหายาก และโครงการตรวจสอบชำระวรรณคดีและประวัติศาสตร์ไทย โดยมอบให้สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์เป็นผู้รับผิดชอบ โครงการจัดพิมพ์หนังสือเก่าหายาก สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์คัดเลือกหนังสือเก่าหายากที่มีคุณค่าด้านวรรณคดีและประวัติศาสตร์มาจัดพิมพ์เผยแพร่เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๕๒ จนถึงปัจจุบัน มีหนังสือเก่าที่พิมพ์เผยแพร่แล้วจำนวน ๖ เรื่อง คือ ๑) ประชุมหนังสือเก่า ภาคที่ ๑ – ๒ ๒) โคลงเรื่องพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ๓) รามเกียรติ์บทร้องและบทพากย์ พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔) สมุดมาลัยและสุบินกลอนสวด ๕) ประชุมเชิญขวัญ ๖) จดหมายเหตุเรื่องรับเสด็จแลสมโภชพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จกลับจากยุโรปคราวแรก พ.ศ. ๒๔๔๐ โครงการตรวจสอบชำระวรรณคดีและประวัติศาสตร์ไทย สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ได้มอบหมายให้นักอักษรศาสตร์ดำเนินการศึกษาค้นคว้าวรรณคดีจากต้นฉบับสมุดไทย รวมทั้งเอกสารประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่มาก่อน มาดำเนินการตรวจสอบชำระและจัดพิมพ์เผยแพร่เพื่อให้เกิดความรู้ด้านวรรณคดีและได้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน นับเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดอายุวรรณคดีไทยและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษตามแนวพระราชดำริ ที่มาข้อมูล : หนังสือสิปปธัช : พระผู้เป็นธงชัยแห่งสรรพศิลป์ (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส ๑๐๔ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร)

ทรงสืบสานสังคีตศิลป์ระบิลไกล

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริในงานด้านดนตรี – นาฏศิลป์ ดังนี้ ด้านนาฏศิลป์ การแสดงโขนกลางแปลง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้กรมศิลปากรจัดการแสดงโขน เพื่อเป็นกิจกรรมการแสดงภาคกลางคืนในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ณ อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (อุทยาน ร. ๒) อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม นายทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ อธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้น ได้มอบหมายให้นายเสรี หวังในธรรม อดีตศิลปินแห่งชาติและผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสังคีตศิลป์ ดำเนินการสนองพระราชดำริโดยจัดการแสดงโขนกลางแปลง เรื่องรามเกียรติ์ ตอน พิเภกสวามิภักดิ์ เป็นครั้งแรก เมื่อประมาณพุทธศักราช ๒๕๒๘ และพระองค์ทรงพระมหากรุณาเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดงานและทอดพระเนตรการแสดงทุกปี ระบำไดโนเสาร์ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๓ กรมศิลปากรได้รับมอบหมายให้จัดแสดงนาฏศิลป์ถวายในงานต้อนรับพระราชอาคันตุกะแห่งประเทศมาเลเซีย ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทพระบรมมหาราชวัง ซึ่งครั้งนั้นได้รับพระมหากรุณาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มาทอดพระเนตรการซ้อมและพระราชทานคำแนะนำด้วยความเอาพระราชฤทัยใส่เป็นพิเศษ อีกทั้งมีพระราชดำริ ให้สร้างระบำไดโนเสาร์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่เด็ก ๆ ให้ความสนใจกันอย่างกว้างขวางในประเทศไทย ได้ขุดพบซากกระดูกไดโนเสาร์ที่จังหวัดทางภาคอีสาน และระบำชุดนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดคิดประดิษฐ์มาก่อน กรมศิลปากรจึงน้อมรับพระราชดำริ และเริ่มดำเนินการคิดรูปแบบเครื่องแต่งกายไว้ แต่ยังไม่ได้ประดิษฐ์ท่ารำ จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงละครแห่งชาติภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มีรับสั่งถามพลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น อธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้น และนายเสรี หวังในธรรม ถึงความคืบหน้าในการจัดทำระบำไดโนเสาร์ ดังนั้นกรมศิลปากรจึงเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันถวายทอดพระเนตรในโอกาสเสด็จฯ มาทรงเปิดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๔๔ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ ระบำไดโนเสาร์ดังกล่าว นายเสรี หวังในธรรม เป็นผู้แต่งเพลงและประดิษฐ์ท่ารำ มีนายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ อาจารย์พิเศษด้านนาฏศิลป์พื้นบ้าน วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด เป็นผู้ช่วย และนายปกรณ์ พรพิสุทธิ์ นายฐิตินัญ ศิลปประกร นายจรัญ พูลลาภ นายฤทธิเทพ เถาว์หิรัญ เป็นผู้ช่วยฝึกซ้อม นายสุเทพ แก้วดวงใหญ่ และนางสาวอรพินท์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซึ่งการแสดงในครั้งนั้นเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่ง แต่ยังมีข้อบกพร่องในเรื่องหัวไดโนเสาร์ ที่พระองค์ทรงโปรดให้แก้ไข กรมศิลปากรจึงได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์จนการแสดงชุดดังกล่าวมีความสมบูรณ์และงดงาม การแสดงโขนหน้าจอ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้จัดการแสดงโขนหน้าจอแบบโบราณ ด้วยมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จักศิลปะการแสดงโขนที่มีมาแต่อดีตซึ่งหาชมได้ยากและทรงคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ ดังนั้นในวันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยประจำปี ๒๕๔๔ กรมศิลปากรจึงสนองพระราชดำริ จัดการแสดงโขนหน้าจอครั้งแรก ณ บริเวณสังคีตศาลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และในปีต่อมา กรมศิลปากรได้จัดการแสดงโขนหน้าจออีกครั้ง ณ โรงละครแห่งชาติ และสำนักการสังคีตจัดวงปีพาทย์บรรเลงประกอบการแสดง ได้แก่ ดนตรีบ้านปลายเนิน และวงดนตรีของข้าราชการกลุ่มดุริยางค์ไทย การแสดงโขนแบบโบราณนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มาทอดพระเนตรและทรงระนาดเอกทั้งสองครั้ง การแสดงละครใน ต่อมาพุทธศักราช ๒๕๕๒ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้จัดแสดงละครในเนื่องใน เนื่องในวาระครบรอบวันสวรรคตสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เพื่อฟื้นฟูการแสดงละครในที่มีมาแต่โบราณ กรมศิลปากรจึงสนองพระราชดำริ จัดการแสดงละครในเรื่องอิเหนา ตอนบวงสรวง ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ การแสดงระบำจตุรทิศวิจิตรไทยอาภรณ์ หรือระบำผ้าไทย พุทธศักราช ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๒ - ๘ พฤศจิกายน มีงานเฉลิมฉลอง ๑๕๐ ปี พระราชสมภพสมเด็จ พระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ ให้คณะนาฏศิลป์ ดนตรีไทยของสำนักการสังคีต ตามเสด็จฯ ไปจัดการแสดงนาฏศิลป์ ดนตรี และมีพระราชดำริให้สร้างสรรค์ระบำที่เกี่ยวกับผ้าของไทยขึ้น ๑ ชุด ในการนี้ นางสาววันทนีย์ ม่วงบุญ นักวิชาการละครและดนตรีทรงคุณวุฒิในขณะนั้น ได้ประพันธ์บทร้องและ ดร.สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ บรรจุเพลงขึ้นใหม่ โดยสมมติให้ผู้แสดงเป็นหญิงชาวไทยทั้ง ๔ ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ ซึ่งแต่งกายประจำภาค ร่ายรำตามท่วงทำนอง จังหวะเพลง และบทร้องที่มีเนื้อหาแสดงถึงที่มาความงามของสีและลวดลายต่างๆ ของผ้าไทยในท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและมรดกหัตถกรรม มีชื่อว่า “ระบำจตุรทิศวิจิตรไทยอาภรณ์” หรือ “ระบำผ้าไทย ๔ ภาค” การจัดสร้างเครื่องแต่งกายโขน พุทธศักราช ๒๕๔๙ เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี กรมศิลปากรได้จัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนแบบโบราณให้มีเอกลักษณ์เป็นมาตรฐานของกรมศิลปากร โดยสนองตามพระราชเสาวนีย์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งมีพระราชวินิจฉัยและพระราชดำริให้ยึดตามแบบของกรมมหรสพเป็นหลัก ในส่วนของลวดลายเครื่องแต่งกายให้เลือกใช้ลวดลายที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล และการปักลวดลายไม่ควรชิดติดกันเกินไปเพราะจะทำให้ไม่สามารถมองเห็นลวดลายได้ชัดเจน ด้านดนตรี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้ฟื้นฟูการบรรเลงดนตรีในงานอวมงคลที่มีมาแต่โบราณและแบบโบราณราชประเพณี ได้แก่ การประโคมย่ำยาม การบรรเลงเพลงเรื่อง เพลงฉิ่งพระฉันเช้า (ภัตตาหารเช้า) และเพลงฉิ่งพระฉันเพล (ภัตตาหารเพล ) อีกทั้งโปรดให้รวบรวมเพลงเรื่องจากสำนักต่าง ๆ ดังนี้ การประโคมย่ำยาม และการบรรเลงเพลงเรื่องประเภทเพลงฉิ่ง เมื่อครั้งงานพระบรมศพของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ในพุทธศักราช ๒๕๓๙ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระประสงค์ให้นำวงปี่พาทย์นางหงส์ของกรมศิลปากรเข้าร่วมวงประโคม (วงสังข์แตร วงปี่ไฉน – กลองชนะ) ของสำนักพระราชวัง จึงมีพระราชดำริกับ ดร. สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ในขณะที่ถวายการบรรเลงดนตรีไทยในงานไหว้ครูช่าง ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน รับสั่งให้นำวงปี่พาทย์นางหงส์ ไปร่วมประโคมย่ำยาม ต่อจากวงประโคมของงานเครื่องสูง สำนักพระราชวัง ครั้งนั้นสำนักสังคีตได้นำวงปีพาทย์นางหงส์เข้าร่วมในการประโคมย่ำยาม เพื่อสนองพระราชดำริ ดังนี้ ประโคมย่ำยาม ครั้งที่ ๑ เวลา ๐๖.๐๐ น. ประโคมย่ำยาม ครั้งที่ ๒ เวลา ๑๒.๐๐ น. ประโคมย่ำยาม ครั้งที่ ๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. ประโคมย่ำยาม ครั้งที่ ๔ เวลา ๒๑.๐๐ น. ประโคมย่ำยาม ครั้งที่ ๕ เวลา ๒๔.๐๐ น. ต่อมาในพุทธศักราช ๒๕๕๑ กรมศิลปากรได้รับมอบหมายให้นำวงปี่พาทย์นางหงส์ร่วมประโคม ในงานสวดพระอธิธรรมพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อีกครั้ง กำหนดการประโคมย่ำยามทุก ๓ ชั่วโมง (รวม ๗ ครั้ง) แต่ให้เว้นการประโคม เวลา ๐๓.๐๐ น. และมีพระราชดำริให้ฟื้นฟูการบรรเลงดนตรีในการฉันภัตตาหารเช้า แล้วให้จดบันทึกเพลงที่บรรเลงประกอบพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับงานพระศพ พร้อมทั้งให้จัดทำหนังสือ “โน้ตเพลงในการพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์” ด้วย ในหนังสือเล่มดังกล่าว มีข้อมูลเกี่ยวกับเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมพระศพ เพลงฉิ่งพระฉัน (ภัตตาหารเช้า) พิธีบวงสรวงอัญเชิญเวชไชยันต์ราชรถและราชรถน้อย และเครื่องประกอบออกซ่อม พิธีบวงสรวงเจ้าที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพิธียกเสาเอกพระเมรุ พร้อมทั้งนำโน้ตเพลงที่คณะกรรมการจดบันทึก และตรวจสอบโน้ตเพลงไทยที่บันทึกเป็นโน้ตสากล เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙ – ๒๔๘๓ มาเป็นฐานข้อมูลในการบรรเลงงานในพระราชพิธี นับเป็นครั้งแรกที่นำโน้ตเหล่านี้มาศึกษาเพื่อการบรรเลงในงานพระราชพิธี โดยนำโน้ตเพลงไทยที่จดบันทึกด้วยลายมือมาจัดทำเป็นสำเนาเอกสาร แสดงให้เห็นลายมือที่จดบันทึก และจัดพิมพ์ใหม่ให้เกิดความชัดเจน พร้อมซีดีเพลงที่ใช้ในการพิธีดังกล่าวทุกเพลง ครั้นในงานพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อพุทธศักราช๒๕๕๔ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้กลุ่มดุริยางค์ไทย สำนักการสังคีต เข้าร่วมประโคมย่ำยามด้วย กำหนดการประโคมย่ำยามทุก ๓ ชั่วโมง (รวม ๖ ครั้ง) แต่ให้เว้นการประโคมเวลา ๐๓.๐๐ - ๐๙.๐๐ น. เพื่อลดภาระงาน พร้อมทั้งมีพระราชดำริให้กลุ่มดุริยางค์ไทย สำนักการสังคีต ศึกษาเพลงเรื่องเพลงฉิ่งพระฉันเพล และให้บรรเลงเพลงฉิ่งพระฉันเพลขณะพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเพล (เพลงเรื่องเพลงฉิ่งพระฉันเพล ประกอบด้วย เพลงกระบอก เพลงแมลงวันทอง เพลงกระบอกทอง เพลงตะท่าล่า เพลงท่าน้ำ เพลงฟองน้ำ เพลงฝั่งน้ำ เพลงมีลม เพลงคลื่นกระทบฝั่ง เพลงทะเลบ้า เพลงลอยถาด เพลงพระยาพายเรือ เพลงมัดตีนหมู เพลงแขกกิ้งโครงและรัวเพลงฉิ่ง) และในงานออกพระเมรุโปรดเกล้าฯ ให้นำวงบัวลอย วงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องใหญ่ของสำนักการสังคีต และวงปี่พาทย์มอญของบ้านพาทยโกศล มาบรรเลงในวันพระราชทานเพลิงพระศพด้วย การรวบรวมเพลงเรื่อง สืบเนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริกับนายบุญช่วย โสวัตร ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อครั้งเสด็จฯ ไปทรงซ้อมการขับร้องเพลงไทยร่วมกับ วงดนตรีบ้านปลายเนิน ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ว่า เพลงเรื่องเป็นงานศิลปะที่รวมภูมิปัญญาของเพลงไทยอันสำคัญหมวดหนึ่ง จึงควรศึกษาค้นคว้าและรวบรวมเพลงเรื่องที่กระจัดกระจายอยู่ตามสำนักต่าง ๆ ให้ได้ความสมบูรณ์ ก่อนที่จะเสื่อมสูญจนยากต่อการสืบค้น สำนักการสังคีตจึงสนองพระราชดำริโดยจัดทำสำเนาเพลงเรื่องเฉพาะทางฆ้องเข้าไปกราบบังคมทูลถวาย จำนวน ๒๔ เรื่อง ได้แก่ เพลงเรื่องกระเดียด เพลงเรื่องกระบอกเพลงเรื่องกะระหนะ เพลงเรื่องแขกมอญ เพลงเรื่องจิ้งจกทอง เพลงเรื่องจีนแส เพลงเรื่องจีนแส (ใหม่) เพลงฉิ่งเพลงเรื่องฉิ่งตวงพระธาตุ เพลงเรื่องตะท่าล่า เพลงเรื่องตะนาว เพลงเรื่องทยอย เพลงเรื่องนกขมิ้น เพลงเรื่องฝรั่งคู่ เพลงเรื่องฝรั่งรำเท้า เพลงเรื่องพระรามเดินดง เพลงเรื่องพวงร้อยสร้อยสน เพลงเรื่องมอญแปลง เพลงเรื่องเวสสุกรรม เพลงเรื่องลงสรง เพลงเรื่องสารถี เพลงเรื่องสีนวล เพลงเรื่องสี่ภาษาใต้ เพลงเรื่องสุรินทราหู นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สำนักการสังคีต จัดการบรรยายประกอบการสาธิต เรื่องดนตรี - นาฏศิลป์ ณ หอประชุมโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ณ อำเภอเขาชะโงก จังหวัดนครนายก เป็นประจำทุกปี ในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี กรมศิลปากร เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๓ กรมศิลปากรได้จัดให้มีพิธีไหว้ครูและสืบทอดผู้ประกอบพิธีไหว้ครูด้านโขน – ละคร ดนตรีและช่างขึ้น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ได้จัดพิธีนี้ขึ้นอย่างเป็นทางการ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาเสด็จฯ มาทรงเป็นประธานในพิธีดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ อ่านต่อ ที่นี่ ที่มาข้อมูล : หนังสือสิปปธัช : พระผู้เป็นธงชัยแห่งสรรพศิลป์ (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส ๑๐๔ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร)

-