...

ด้านความรู้อื่นๆ
เสื้อครุย

"เสื้อครุย" เป็นเสื้อที่ใช้สวมหรือคลุมแบบเต็มยศในงานพระราชพิธีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อประกอบเกียรติยศ แสดงบรรดาศักดิ์และตำแหน่งของผู้สวมใส่ ธรรมเนียมการใช้เสื้อครุยมีมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเปอร์เซียและอินเดีย.เสื้อครุย มีลักษณะเป็นเสื้อตัวยาว แขนกว้าง ผ่าอกตลอด ทำจากผ้าหลายชนิด เช่น ผ้ากรองทอง ผ้าขาวบาง ผ้าบุหงา หากผู้สวมใส่ยิ่งมีตำแหน่งที่สูง ผ้าและลวดลายของเสื้อครุยก็จะมีความงาม การประดับตกแต่ง รายละเอียดที่มากขึ้นตาม หากเป็นพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ มักจะนิยมใช้เสื้อครุยพื้นกรองทอง ซึ่งเป็นผ้าที่ถักด้วยแล่งเงินหรือแล่งทองต่อกันเป็นผืน ส่วนลวดลายประดับที่มักปรากฏบนเสื้อครุย เช่น ลายเทพพนม ลายพรรณพฤกษา ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายก้านแย่ง ลายก้านขด โดยปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง เลื่อมเงินเลื่อมทอง ปีกแมลงทับ และอื่น ๆ เป็นต้น.ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีพระราชกำหนดเสื้อครุย ร.ศ. 130 อย่างเป็นทางการขึ้น เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการสวมใส่ โดยผู้ที่จะสวมใส่เสื้อครุยได้ เฉพาะผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือเป็นผู้ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ได้รับพระราชเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง นับตั้งแต่ชั้นตติยจุลจอมเกล้าวิเศษขึ้นไป ผู้ที่จะสวมได้โดยตำแหน่งนั้น คือ 1. ผู้พิพากษาทุกชั้น ให้สวมเสื้อครุยในเวลาแต่งเต็มยศทุกเมื่อ 2. พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้อ่านประกาศหรืออ่านคำถวายชัยมงคลในชั่วเวลาเฉพาะกาล 3. ข้าราชการเข้าในหน้าที่พระราชพิธีอันมีกำหนดให้สวมชุดครุย.ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ได้มีการจัดแสดง เสื้อครุย ที่ห้องจัดแสดงชั้น 2 ซึ่งเป็นสมบัติของ “เจ้าแก้วนวรัฐ” เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ผ้าและลวดลายที่ใช้เป็นแบบกลุ่มบุคคลชั้นสูง โดยเป็นเสื้อครุยแบบพื้นผ้ากรองทอง ปักด้วยดิ้นทองและเลื่อม เป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีสำรดขอบ สำรดต้นและปลายพระกร เป็นลายประจำยามลูกฟักก้ามปู +++++++++++++++++++++เอกสารอ้างอิงเผ่าทอง ทองเจือ. (2549). พระภูษาผ้าทรงในราชสำนักสยาม. กรุงเทพฯ : ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)สมภพ จันทรประภา. (2520). อยุธยาอาภรณ์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหารพระราชกำหนดเสื้อครุย. (ร.ศ.130, 2 กรกฎาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 28 หน้า 141-143พระราชกำหนดเสื้อครุยเพิ่มเติม (2457, 11 พฤศจิกายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 31 หน้า 422-424

ม้าขี่ปู๊เมีย: บทบาทของ LGBT ในพื้นที่พิธีกรรมล้านนา

สวัสดีค่ะทุกท่าน เนื่องด้วยเดือนมิถุนายนนี้เป็นเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ หรือ Pride Month เราจะเห็นชาว LGBTQ+ ออกมาถือธงสีรุ้ง เดินขบวนเฉลิมฉลอง หรือเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศกันตลอดทั้งเดือนนี้ แต่หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ในพิธีกรรมดั้งเดิมของวัฒนธรรมล้านนา ชาว LGBTQ+ ก็มีบทบาทสำคัญในการสืบทอดพิธีกรรมนี้ให้คงอยู่ต่อไปได้ วันนี้ พิพิธภัณฑ์ของเราก็ขอตามกระแสนี้ นำเสนอ #องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ เรื่อง "ม้าขี่ปู๊เมีย: บทบาทของ LGBT ในพื้นที่พิธีกรรมล้านนา" ขอเชิญทุกท่านมาร่วมอ่านไปพร้อม ๆ กันเลยค่าา******************************************************ความเชื่อเรื่องผี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมอุษาคเนย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เป็นความเชื่อพื้นฐานโบราณของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ก่อนการเข้ามาของศาสนาต่างๆ จากภายนอก อย่างศาสนาฮินดู พุทธ หรืออิสลาม ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล ดำริห์กุลให้คำจำกัดความว่า ผี คือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นที่มีอิทธิฤทธิ์พิเศษ และเชื่อว่าการเกิดขึ้นเป็นไปของปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ เกิดขึ้นจากฝีมือของผี โดยผีจะกระจายอยู่ทั่วไปในที่ต่างๆ ตั้งแต่ในบ้านเรือน ชุมชน เมือง หรือในสิ่งแวดล้อมที่มีความลี้ลับอย่างป่า ภูเขา แม่น้ำ ฉะนั้นเพื่อให้สมาชิกในสังคมสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขจึงเกิดพิธีกรรมการนับถือผีขึ้น เพื่อสักการะ บูชา หรือแม้แต่เซ่นสังเวยให้ผีพึงพอใจ ขณะเดียวกัน คนก็ต้องมีหลักในการปฏิบัติตนให้ถูกทำนองคลองธรรม ไม่ทำให้ผีโกรธ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อครอบครัวหรือชุมชนจนอาจถึงแก่ชีวิตได้สังคมล้านนาเป็นอีกสังคมหนึ่งที่มีการนับถือผีอย่างเข้มข้นผสมผสานกับการนับถือพุทธศาสนา คนล้านนาจะแบ่งผีออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ผีดี และผีร้าย โดยในกลุ่มผีดีนั้น จะเป็นกลุ่มผีที่คอยปกปักรักษา คุ้มครองคนให้อยู่อย่างเป็นสุข อาทิ ผีปู่ย่า (ผีบรรพบุรุษ) ผีเฮือน (ผีบ้านผีเรือน) ผีเสื้อบ้าน เสื้อเมือง (ผีอารักษ์) ผีเจ้านาย (ผีที่เคยเป็นกษัตริย์หรือราชวงศ์ที่เคยปกครองเมืองหรือแว่นแคว้นใดๆ มาก่อน แล้วเสียชีวิตไปจึงกลายเป็นผี คอยคุ้มครองผู้คนที่ทำความเคารพนับถือ) ส่วนผีร้าย คือ ผีที่ทำร้ายผู้คนให้เจ็บป่วยหรือถึงแก่ชีวิต การเลี้ยงผีดีเพื่อคุ้มครองตนจากผีร้ายจึงกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคนล้านนาที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะพบเห็นไม่มากนักในเขตเมืองใหญ่ แต่ยังสามารถพบเห็นการนับถือผีได้ในเขตชนบทนอกตัวเมืองอยู่ทำไมการสืบสายผีของล้านนาจะสืบจากเพศหญิงมากกว่าเพศชาย?เนื่องจากคนล้านนาให้ความเคารพผีมากพอๆกับพระพุทธศาสนา การสืบสายผีโดยเฉพาะผีปู่ย่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านให้ความสำคัญ เนื่องจากผีปู่ย่าหรือผีบรรพบุรุษนั้นช่วยคุ้มครองไม่ให้สมาชิกในบ้านประสพภัยอันตรายหรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แต่การสืบสายผีปู่ย่านั้นมักจะสืบทอดกันแต่เฉพาะสมาชิกครอบครัวเพศหญิงเท่านั้น วิถี พานิชพันธ์ อาจารย์พิเศษประจำภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ข้อสังเกตว่า สังคมล้านนาในอดีตเพศหญิงจะเป็นใหญ่กว่าเพศชาย โดยผู้หญิงเป็นผู้ที่มีหน้าที่ดูแลบ้านเรือน อบรมสั่งสอนบุตรหลาน ตลอดจนทำงานหาเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงมีความตระหนักในการรับผิดชอบครอบครัวมากกว่าผู้ชาย ที่ถูกอบรมเลี้ยงดูอย่างเป็นอิสระมากกว่า โดยบทบาทของผู้ชายล้านนาในอดีต มักจะทำงานนอกบ้านเป็นหลัก เช่น ทำไร่ ไถนา เข้าป่าล่าสัตว์ เด็กผู้ชายจะบวชเรียนตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเติบใหญ่สึกออกมาแล้วก็จะเรียนรู้การเกี้ยวผู้หญิง เล่นดนตรี หรือบางส่วนก็ออกไปแสวงโชคต่างบ้านต่างเมือง เมื่อผู้ชายและผู้หญิงแต่งงานกัน ฝ่ายชายจะเข้ามาอาศัยในบ้านฝ่ายหญิง ฉะนั้นการมอบหมายหน้าที่ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายดูแลผีบรรพบุรุษของตนน่าจะมาจากการที่ผู้หญิงถูกผูกติดให้อยู่กับบ้านมากกว่าผู้ชาย จึงมีแนวโน้มว่าสายผีจะมีผู้ดูแลสืบทอดอย่างต่อเนื่องนั่นเองลำดับขั้นตอนการสืบสายผีของคนล้านนานั้นไม่ได้ยุ่งยาก โดยอาจจะเริ่มจากผู้เป็นแม่เป็นเก๊าผี (ต้นสาย) ที่จะส่งมอบความรับผิดชอบในการดูแลหิ้งปู่ย่า (หิ้งสำหรับตั้งของเซ่นไหว้ผีในบ้าน) หรือ หอปู่ย่า (ศาลตายายนอกบ้าน) ให้กับบุตรสาวคนโตเป็นหลัก หากบุตรสาวคนโตไม่สามารถดูแลผีปู่ย่าได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็จะส่งมอบให้บุตรสาวคนเล็กเป็นผู้สืบทอดแทนม้าขี่ คือ อะไร?ม้าขี่ คือ ร่างทรงของผีปู่ย่า ผีเจ้านาย หรือผีอารักษ์ตามคำเรียกของคนล้านนา มีลักษณะแบบเดียวกันกับคนทรงเจ้าในภูมิภาคอื่นของไทย และนัตกะด่อ ซึ่งเป็นร่างทรงของนัตในวัฒนธรรมพม่า จุดประสงค์ของการเป็นม้าขี่ คือ เป็นตัวกลางในการสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างผีกับคนธรรมดาเข้าด้วยกัน โดยส่วนใหญ่ผู้คนนิยมเข้ามาปรึกษาม้าขี่เมื่อมีปัญหาชีวิต ทรัพย์สิน ญาติพี่น้องสูญหาย หรือเจ็บป่วย ผีก็จะให้คำแนะนำผ่านม้าขี่ที่ได้ลงย่ำ (เข้าทรง) ในประวัติศาสตร์ล้านนายังเคยมีการใช้ม้าขี่และผีเจ้านายเป็นข้อต่อรองเงื่อนไขทางการค้า โดยปรากฏเรื่องเล่าว่า ในสมัยเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ องค์ที่ 7 (พ.ศ. 2416 – 2440) มีกลุ่มชาวจีนรวมตัวกันผูกขาดการต้มเหล้าในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจการค้าของกลุ่มเจ้านายในเมืองเชียงใหม่ได้ เจ้าอุบลวรรณา พระขนิษฐาของแม่เจ้าทิพเกสร พระชายาของเจ้าอินทวิชยานนท์ ได้ทำพิธีเป็นม้าขี่ให้ผีเจ้าพ่อ หรือ เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 6 ลงย่ำ เพื่อขู่เตือนมิให้ชาวจีนผูกขาดการต้มเหล้าเป็นอันขาด มิฉะนั้นบุคคลผู้นั้นจะได้รับความเจ็บป่วย รวมถึงอาการป่วยของแม่เจ้าทิพเกสรที่เป็นอยู่เดิมก็จะหนักลงไปอีก ด้วยเหตุนี้ เจ้าอินทวิชยานนท์จึงออกคำสั่งยกเลิกการผูกขาดการต้มเหล้าไปโดยไม่มีผู้ใดขัดขวาง ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าความเชื่อเรื่องม้าขี่และผีมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนล้านนาในอดีตเป็นอย่างมาก เพราะม้าขี่และผีเป็นเสมือนผู้ชี้นำทิศทางการใช้ชีวิตของบุคคลนั้นๆ หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหรือเชื่อฟังคำแนะนำอาจจะมีอันเป็นไปได้ ขณะเดียวกัน ตัวม้าขี่ซึ่งเป็นตัวแทนของผีที่ผู้คนให้ความเคารพบูชาก็ควรปฏิบัติตนให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน โดยมีหลักปฏิบัติตนของม้าขี่ที่พึงกระทำ เช่น การไม่สวมเสื้อผ้าสีดำหรือสีเข้มไปงานพิธีต่างๆ การไม่ร่วมรับประทานอาหารหรือร่วมพิธีในงานศพหรืองานอวมงคล การไม่รับประทานผัก ผลไม้ที่เป็นเครือเถา เช่น พืชกลุ่มแตง ฟัก บวบ ผักปลัง ยอดมะพร้าวอ่อน เป็นต้น และม้าขี่ควรเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี เข้าวัดทำบุญ ถือศีล 5 อยู่เสมอ หลักปฏิบัติเหล่านี้เป็นเสมือนข้อบังคับให้ม้าขี่ทุกเพศ ทุกวัยต้องกระทำเช่นเดียวกันหมด นี่จึงเป็นกุศโลบายหนึ่งที่นอกจากจะทำให้ตัวม้าขี่มีความพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไปแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างความน่าเลื่อมใสให้กับตัวม้าขี่เองด้วยม้าขี่ปู๊เมีย คือ อะไร และเริ่มมีบทบาทตอนไหน?คำว่า “ปู๊เมีย” หรือ “ปู๊แม่” ในความหมายของคนล้านนา หมายถึง กะเทย หรือ บุคคลที่มีสองเพศ แต่โดยทั่วไปมักหมายถึงผู้ชายที่มีจริตออกสาวมากกว่าผู้หญิงที่จริตเป็นชาย หรือที่เรียกตามภาษาปากว่า ทอม ในประเด็นเพศภาพของม้าขี่นั้น ในอดีตม้าขี่ส่วนใหญ่มักเป็นเพศหญิง เนื่องด้วยเพศหญิงได้ผูกขาดการสืบสายผี จึงสามารถติดต่อกับผีบรรพบุรุษของตนเองได้ สำหรับม้าขี่เพศชาย และม้าขี่ปู๊เมียเข้ามามีบทบาทในการเป็นม้าขี่ของผีเจ้านายมากขึ้นในภายหลัง โดยเฉพาะม้าขี่ปู๊เมียที่เพศกำเนิดเป็นชายแต่มีเพศสภาพเป็นหญิง หรือเป็นชายรักชาย เริ่มมีสัดส่วนมากกว่าเพศอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด จากงานวิจัยของสุระ อินตามูล เรื่อง พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย: พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในล้านนา และบทความของกิ่งแก้ว ทิศตึง เรื่อง ร่างทรง และพื้นที่ทางสังคมของคนข้ามเพศ ได้สัมภาษณ์ม้าขี่ปู๊เมียตั้งแต่รุ่นอาวุโส วัยกลางคน จนถึงคนรุ่นใหม่ในวัยนักศึกษา ม้าขี่ผู้ให้สัมภาษณ์มีความเห็นตรงกันว่าม้าขี่ปู๊เมียมีสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งเมื่อเทียบกับม้าขี่เพศหญิง เทียบได้ว่า หากมีม้าขี่ในผาม (ปะรำพิธี) จำนวน 10 คน จะเป็นม้าขี่ปู๊เมียประมาณ 5 คน ม้าขี่หญิงชรา 4 คน และม้าขี่ชาย 1 คน เป็นต้น อย่างไรก็ดี สุระ อินตามูล ได้กล่าวว่าแม้สัดส่วนม้าขี่ปู๊เมียจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ม้าขี่เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นม้าขี่ของผีเจ้านายเป็นหลัก เนื่องจากการถูกเลือกให้เป็นม้าขี่จากผีเจ้านายมีความเปิดกว้างมากกว่าการเป็นม้าขี่ของผีปู่ย่าที่ยังคงเน้นที่เพศหญิงหรือบุคคลที่มาจากสายตระกูลนั้นๆ อยู่ทำไมม้าขี่ปู๊เมียจึงถูกเลือกจากผีเจ้านายมากกว่าม้าขี่เพศอื่นๆ?จากการสัมภาษณ์ม้าขี่ปู๊เมียจำนวน 5 คน ในงานวิจัยของสุระ อินตามูล มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ผีเจ้านายเคยเลือกลงย่ำสมาชิกในสายตระกูลเพศหญิงของตนมาก่อน เช่น ยายทวด ย่า ยาย ซึ่งเมื่อม้าขี่เหล่านี้แก่ตัวลงหรือตายไป ผีเจ้านายจึงเลือกมาลงย่ำที่ตนแทนญาติเพศหญิงคนอื่นๆ โดยม้าขี่ทั้งห้าให้ความเห็นว่า การที่ผีเจ้านายเลือกลงย่ำเกย์หรือกะเทย เนื่องจากไม่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน สามารถดูแลเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หอผี ให้สวยงาม สะอาด เรียบร้อยได้เหมือนเพศหญิง มีปัญหาการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ในชีวิตประจำวัน อันเป็นการปฏิบัติตนที่ดูไม่เหมาะสมกับการเป็นม้าขี่น้อยกว่าเพศชาย อย่างไรก็ดี จากการสัมภาษณ์ของกิ่งแก้ว ทิศตึง มีม้าขี่ปู๊เมียจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นว่า แม้ตนจะได้รับความเคารพนับถือจากลูกเลี้ยง (ลูกศิษย์) แต่ตนกลับรู้สึกว่าลูกเลี้ยงให้ความเคารพผีเจ้านายที่ลงย่ำอยู่มากกว่าเคารพตนในฐานะบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศคนหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่า แม้ภายนอกม้าขี่ปู๊เมียจะได้รับความเคารพนับถือในสังคมแบบอนุรักษ์นิยมของล้านนา แต่โดยลึกแล้ว ยังคงมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังไม่ยอมรับเพศสภาพที่แท้จริงของตัวม้าขี่ได้การดำรงอยู่ของการเป็นม้าขี่ปู๊เมียเป็นการเปิดพื้นที่การแสดงออกทางเพศสภาพที่หลากหลาย ที่อาจพบเห็นได้ไม่ง่ายนักในสังคมอนุรักษ์นิยม แม้เกย์และกะเทยจะมีส่วนร่วมในพิธีกรรม งานบุญตามประเพณีล้านนามานานแล้ว เช่น การจัดดอกไม้ ทำพานพุ่มบายศรี หรือเป็นแม่งานในขบวนแห่ช่างฟ้อน แต่สถานภาพของม้าขี่ปู๊เมียนั้นแตกต่างออกไป ผู้ที่เป็นม้าขี่ คือ ผู้ที่ถูกคัดเลือกจากผีเจ้านาย ซึ่งมีความพิเศษกว่าปุถุชนทั่วไป มีลูกศิษย์ทุกเพศทุกวัยที่ศรัทธาในตัวผีเจ้านายตนนั้นๆ ให้ความเคารพนับถือ จึงอาจกล่าวได้ว่า การเพิ่มขึ้นของม้าขี่ปู๊เมียในผามพิธีกรรม เป็นการเปิดประตูให้เพศที่สามเข้ามามีบทบาทในวิถีความเชื่อแบบโบราณนี้ได้แนบเนียนและไม่สร้างความตะขิดตะขวงใจต่อผู้นับถืออีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือ บทบาทของม้าขี่ในวัฒนธรรมภาคเหนือมีความคล้ายคลึงกับนัตกะด่อ หรือ คนทรงนัต ในวัฒนธรรมพม่าเป็นอย่างมาก นัตในความหมายของคนพม่า คือ วิญญาณครึ่งผีครึ่งเทพเจ้า นัตในวัฒนธรรมพม่าก็มีการแบ่งคล้ายๆ กับผีในวัฒนธรรมล้านนา ได้แก่ นัตเรือน หรือมีงมหาคีรีนัต คือนัตที่ประจำอยู่ในบ้านเรือน ลักษณะเดียวกับผีปู่ย่าหรือผีบ้านผีเรือน นัตพุทธ คือ นัตที่ถูกหลอมรวมเข้ากับความเชื่อทางพุทธศาสนาแล้ว มีจำนวน 37 ตน นัตใน เป็นนัตที่อยู่ในเขตกำแพงเจดีย์ชเวซิโข่ง มีจำนวน 37 ตนเช่นกัน และนัตนอก เป็นนัตที่อยู่นอกกำแพงเจดีย์ชเวซิโข่ง และเป็นนัตจะเข้าทรงในตัวของนัตกะด่อ คอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาแก่ชาวบ้านในงานเทศกาลบูชานัต ที่จะจัดขึ้นสามครั้งต่อปี โดยในช่วงขึ้น 10 - 15 ค่ำของเดือนสิงหาคมจะเป็นช่วงเทศกาลบูชานัตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีเพศภาพของนัตกะด่อในพม่ามีแนวโน้มเป็นเพศที่สามมากขึ้นเช่นเดียวกับม้าขี่ปู๊เมียในภาคเหนือของไทย โดยในพม่า หลายๆคนเรียกเทศกาลบูชานัตนี้ว่า เทศกาลเกย์ เนื่องจากเหล่านัตกะด่อเพศที่สามและลูกศิษย์ที่มักจะเป็นเพศที่สามเช่นเดียวกัน จะมารวมตัวกันในพิธีนี้ ชาวพม่าที่เป็นเพศที่สามกล่าวว่า พื้นที่การเป็นนัตกะด่อและเทศกาลบูชานัต เป็นพื้นที่เดียวที่พวกเขาสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ แต่เมื่อเสร็จสิ้นเทศกาล พวกเขาต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ และยังคงถูกเหยียดเพศสภาพจากคนทั่วไปในสังคมตามเดิม คำถามที่ต่อมา คือ หากวิถีความเชื่อแบบโบราณอย่างผีและนัต เปิดกว้างให้กลุ่มเพศทางเลือกเข้ามามีบทบาทสำคัญในพิธีกรรม แต่เหตุใดสังคมสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ยังคงมีการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลข้ามเพศจากกลุ่มคนบางกลุ่มอยู่****************************************************แหล่งอ้างอิง1). กิ่งแก้ว ทิศตึง. (2559). “ร่างทรง และพื้นที่ทางสังคมของคนข้ามเพศ.” ลีลาชายขอบ วารศาสตร์สังคมศาสตร์ 28, 1 (มกราคม – มิถุนายน): 87 – 108.2). ประวัติศาสตร์นอกตำรา. (2564). “นัต 37 ตน บนพื้นที่แห่งความศรัทธาในสังคมชาวพม่า”. [วีดิทัศน์ออนไลน์]. เผยแพร่ทาง https://www.youtube.com/watch?v=yT5YGtysUY4. 4 สิงหาคม.3). เพ็ญสุภา สุขคตะ. (2559). ปริศนาโบราณคดี : ‘เจ้าอุบลวรรณา’ Working Woman แห่งล้านนา เมื่อคิดจะรัก ต้องกล้าหักด่านฐานันดร. เข้าถึงเมื่อ 16 มิถุนายน 2565. เข้าถึงได้จาก https://www.matichonweekly.com/culture/article_169104). ยศธร ไตรยศ. (2560). นัต: พลังศรัทธาของมวลชน. เข้าถึงเมื่อ 16 มิถุนายน 2565. เข้าถึงได้จาก https://ngthai.com/cultures/604/the-faith-of-myanmar-people/5). สุระ อินตามูล. (2555). พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย: พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).

การรดน้ำดำหัวผู้อาวุโสหรือผู้สูงอายุ

การรดน้ำดำหัวหรือในวัฒนธรรมล้านนาเรียกว่า การสระเกล้าดำหัว นั้น มีความหมายโดยนัย คือ การขจัดสิ่งชั่วร้าย อัปมงคล ออกไปในช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือการขอขมาอภัยต่อญาติผู้ใหญ่ พระเถระ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู ความเคารพนับถือ รวมไปถึงเป็นการถือโอกาสเยี่ยมเยือน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบญาติผู้ใหญ่ที่อาจไม่ได้พบปะกันมาทั้งปีอีกด้วยที่มาภาพ: ไทยโพสต์. สงกรานต์ วิถีน้ำ วิถีไทย ชุ่มฉ่ำ 4 ภาค. เผยแพร่ลงเว็บไซต์เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562. การสระเกล้าดำหัว แบ่งวิธีปฏิบัติเป็น ๓ อย่าง คือ การดำหัว (สระผม) ตนเอง คือ การนำน้ำขมิ้นส้มป่อย (น้ำที่มีส่วนผสมของขมิ้นผงและส้มป่อยตากแห้ง ซึ่งคนล้านนามีความเชื่อว่าสามารถชำระล้างสิ่งอัปมงคลได้ ปัจจุบันไม่นิยมใช้ผงขมิ้นผสมน้ำแล้ว แต่ใช้ดอกไม้หอม เช่น ดอกคำฝอย ดอกสารภี หรือดอกพะยอมแทน) ลูบศีรษะของตนเอง หรือใช้ชำระล้างร่างกายเพื่อขจัดเสนียดจัญไรออกไปจากตัว อย่างที่สอง คือ การดำหัวผู้น้อยหรือผู้อ่อนวัยกว่า เช่น ลูก หลาน ภรรยา โดยผู้ที่มีวัยวุฒิสูงกว่าจะนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาประพรมหรือลูบศีรษะผู้น้อย หลังจากลูบศีรษะตนเองแล้ว และอย่างที่สาม คือ การดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งจะต้องมีการตระเตรียมข้าวของ ดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อที่จะนำไปขอขมาอภัยด้วยที่มาภาพ: www.openrice.co.th บทความ Food Tips หัวข้อ ส้มป่อยใช้ทำอาหารและตามความเชื่อ เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2560 ของไหว้สำหรับการดำหัวของคนล้านนาแบบโบราณ จะมีการเตรียมสลุง (ขัน) ใส่น้ำขมิ้นส้มป่อย พร้อมเครื่องสักการะ เช่น ต้นผึ้ง (พุ่มขี้ผึ้ง) ต้นเทียน (พุ่มเทียน) ด้นดอก (พุ่มดอกไม้นานาชนิด) หมากสุ่ม (พุ่มหมากแห้งผ่าซีก) หมากเบ็ง (พุ่มหมากดิบ) และพลูสุ่ม (พุ่มใบพลู) แต่ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนของไหว้ขอขมาให้เป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ผู้รับสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น เช่น ผ้าขาวม้า เสื้อ ผ้าถุง ผ้าเช็ดตัว และพืชผักผลไม้ตามฤดูกาลต่าง ๆ เช่น หอมแดง กระเทียม มะม่วง มะปราง หรือถั่วต่าง ๆ โดยขอขมาพร้อมสวย (กรวย) ใส่ข้าวตอกดอกไม้ต่าง ๆ ที่มีความหมายเป็นสิริมงคล เช่น ดอกเก็ดถะวา (ดอกพุดซ้อน) ดอกโชค และใบโกศลหรือใบกุศล เป็นต้นธรรมเนียมการรดน้ำดำหัวแบบคนล้านนานั้นจะแตกต่างออกไปจากธรรมเนียมของคนภาคกลาง ที่นิยมนำน้ำมารดที่มือของผู้อาวุโส ซึ่งคนล้านนามองกว่าการรดน้ำที่มือนั้นเหมือนเป็นการรดน้ำศพ ดูอัปมงคลยิ่ง ธรรมเนียมคนล้านนา เมื่อผู้น้อยนำข้าวของสักการะพร้อมข้าวตอกดอกไม้มามอบให้แล้ว ผู้ใหญ่จะให้พร และนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาลูบศีรษะตนเอง แล้วค่อยพรมน้ำขมิ้นส้มป่อยด้วยช่อใบโกศลแก่ลูกหลานที่มาขอขมา ก็เป็นอันเสร็จพิธี...ที่มาภาพ: เชียงใหม่นิวส์. เครื่องดำหัวปี๋ใหม่เมือง. เผยแพร่ลงเว็บไซต์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2561

การแห่ไม้ก๊ำสะหรี (ไม้ค้ำโพธิ์)

การแห่ไม้ก๊ำสะหรี (ไม้ค้ำโพธิ์)ไม้ก๊ำหรือไม้ค้ำ มีลักษณะเป็นท่อนไม้ยาวหลากหลายขนาด ที่ปลายทำเป็นง่ามสำหรับค้ำกิ่งไม้ มีการประดับตกแต่งให้สวยงามด้วยการทาสีหรือหุ้มด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง ส่วนสะหรีหรือสรี หมายถึง ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าและศาสนาพุทธ อ.สนั่น ธรรมธิ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ประเพณีการแห่ไม้ค้ำสะหรีน่าจะเริ่มต้นที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็นที่แรก แล้วจึงเริ่มกระจายออกไปทั่วภาคเหนือในปัจจุบันที่มาภาพ: เชียงใหม่นิวส์. ประเพณีแห่ไม้ค้ำโพธิ์ วัดพระธาตุศรีจอมทอง. เผยแพร่ทางเว็บไซต์เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2562.การแห่ไม้ค้ำสะหรีนิยมทำใน ๒ พิธีกรรมหลัก ๆ ได้แก่ พิธีสืบชะตา และสงกรานต์ โดยการแห่ไม้ค้ำสะหรีนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ถวายไม้ค้ำได้รับพรสมอย่างที่ตนปรารถนา สร้างเสริมสิริมงคลแก่ตนเอง ค้ำจุนชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง ไม่ตกต่ำ และค้ำจุนพระพุทธศาสนา ในช่วงปีใหม่เมืองของทุกปี ชุมชนที่มีการแห่ไม้ค้ำสะหลีจะจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่วนไปรอบชุมชนก่อนจะนำไปถวายที่วัด จัดเป็นขบวนแห่งานบุญใหญ่ไม่แพ้งานปอยหลวงหรือขบวนแห่สลากภัต (ตานก๋วยสลาก) เลยก็ว่าได้ที่มาภาพ: ข่าวสดออนไลน์. คอลัมน์ รู้ไปโหม้ด : ไม้ค้ำโพธิ์ - ไม้ค้ำสะหลี. เผยแพร่ทางเว็บไซต์เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559.

การก่อเจดีย์ทราย

๑. การก่อเจดีย์ทรายในอดีตการสร้างวัดของคนล้านนาเป็นการจำลองโลกตามคติไตรภูมิ กล่าวคือ วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเปรียบเสมือนเขาสิเนโรบรรพตซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ล้อมรอบวิหารด้วยทรายขาวสะอาดที่เป็นเสมือนมหาสมุทรสีทันดร ดังนั้น ชาวล้านนาจึงมีความเชื่อว่าทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้าไปในวัดแล้วมีทรายติดเท้าออกมาด้วยนั้นเป็นบาป ประกอบกับคัมภีร์ใบลานธรรมอานิสงส์ปีใหม่ ได้กล่าวว่าผู้ใดได้ถวายทรายหรือขนทรายเข้าวัดแล้วจะได้รับอานิสงส์ผลบุญให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนนาน พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย การขนทรายเข้าวัดจึงเป็นกุสโลบายของทางวัดให้ชาวบ้านนำทรายมาทดแทนทรายที่เสียไปในช่วงเทศกาลปีใหม่ เมื่อชาวบ้านขนทรายเข้ามามากขึ้นจึงมีการสร้างเจดีย์ทราย โดยการนำไม้ไผ่สานมาขดให้เป็นวงกลม แล้วนำทรายมาถมให้เต็มเป็นชั้น ๆ เวียนขึ้นไปจนทรงคล้ายกับเจดีย์ เรียกว่า วาลุกเจดีย์ (อ่านว่า วา – ลุ – กะ เจดีย์) หรือเจดีย์ทราย อาจสร้างเป็นเจดีย์ทรายขนาดเล็กหลายๆ องค์ หรือเจดีย์ทรายองค์ใหญ่องค์เดียวก็ได้ แล้วจึงทำการถวายให้กับวัดในคราวเดียวภาพสาวงามก่อเจดีย์ทรายในพุทธสถานเชียงใหม่ เมื่อพ.ศ 2496ถ่ายภาพโดยคุณบุญเสริม สาตราภัยที่มาภาพ: ฐานข้อมูลออนไลน์ภาพล้านนาในอดีต จัดทำโดยสำนักหอสมุด และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คติการถวายเจดีย์ทรายมีปรากฏในคัมภีร์ธรรมอานิสงส์เจดีย์ทราย กล่าวถึงพุทธประวัติตอนหนึ่งว่า ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าโคตมะนั้น พระองค์ได้เกิดเป็นชายคนหนึ่งนามว่าติสสะ เมื่อนายติสสะพบลำธารที่มีทรายสีขาวสะอาดจึงก่อเจดีย์ทรายขึ้น แล้วฉีกเสื้อของตนมาทำเป็นธงติดกับไม้ปักไว้บนยอดเจดีย์ และตั้งจิตอธิษฐานให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า ต่อมาภายหลังชาวล้านนาได้ยึดหลักปฏิบัติตามตำนานนี้ โดยการถวายตุงไส้หมูหรือตุงสิบสองนักษัตรปักไว้กับกองเจดีย์ทรายด้วย โดยเชื่อว่าอานิสงส์ในการถวายเจดีย์ทรายจะช่วยให้เกิดมาในตระกูลที่ดี มีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ หรือเกิดในภพภูมิที่ดีบนสวรรค์ เป็นต้นภาพสาวๆเมืองเชียงใหม่พากันขนทรายจากแม่น้ำปิง ที่เชิงสะพานนวรัฐฝั่งตะวันออกเพื่อนำไปก่อเจดีย์ทรายตามวัดต่างๆ เป็นการสร้างการกุศลในวันสงกรานต์ เมื่อ พ.ศ 2493ถ่ายภาพโดยคุณบุญเสริม สาตราภัยที่มาภาพ: ฐานข้อมูลออนไลน์ภาพล้านนาในอดีต จัดทำโดย สำนักหอสมุด และสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นปัจจุบันการถวายเจดีย์ทรายพบได้น้อยลง เนื่องจากวัดได้ดัดแปลงจากพื้นทรายรอบวิหารให้เป็นพื้นคอนกรีตหรืออิฐบล็อกแทน อย่างไรก็ดี ในบางพื้นที่ที่ยังมีการถวายเจดีย์ทรายอยู่ก็มีการเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากการคืนทรายให้กับวัดเป็นการถวายทรายสำหรับการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ภายในวัดไปที่มาภาพ: www.loupiote.com. Sand Pagoda - Songkran festival (Thai New Year) in Chiang Mai (Thailand)

วันดำรงราชานุภาพ

. เนื่องในวันที่ ๑ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เพื่อเป็นการรำลึกถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในด้านการจัดการพิพิธภัณฑ์ มาฝากแฟนเพจทุกท่านค่ะ /// พระราชประวัติ ///. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประสูติเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๕๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม โดยมีพระอิสริยยศคือ "พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร"/// ทรงเริ่มสนพระทัยในงานโบราณคดี ///. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสนพระทัยเกี่ยวกับวิชาการโบราณคดีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงเริ่มศึกษาโบราณคดีและเริ่มสนพระทัยในเรื่องเครื่องรางของขลังตั้งแต่ทรงผนวชเป็นสามเณร พระภารกิจทางโบราณคดีที่ทรงทำอย่างแท้จริงนั้น อยู่ในช่วงที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๕๘ ซึ่งต้องเสด็จทอดพระเนตรออกตรวจราชการตามหัวเมืองต่างๆ อยู่เป็นประจำ ทำให้พระองค์ได้พบเห็นเมืองโบราณ และโบราณสถาน โบราณวัตถุที่ถูกทิ้งร้างซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยพระทัยรัก ในงานโบราณคดี พระองค์จึงทรงบันทึกเรื่องราวต่างๆที่ได้พบเห็นไว้ แล้วนำมาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม /// การจัดการด้านพิพิธภัณฑ์ ///. จากที่กล่าวมาว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จออกตรวจราชการ ทรงพบโบราณวัตถุจำนวนมากที่เป็นหลักฐานที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย ถูกทิ้งอยู่ตามเมืองโบราณต่างๆ ทรงเก็บรวบรวมโบราณวัตถุเหล่านั้นมาเก็บรักษาไว้ โดยในขั้นแรกทรงให้เก็บรักษาไว้ ณ กระทรวงมหาดไทยก่อน และเมื่อทรงดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภาก็ได้นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานวังหน้า (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครในปัจจุบัน) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานวังหน้าให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ อีกทั้งยังประทานของส่วนพระองค์ให้ไปจัดแสดงด้วย ในการจัดแสดง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นผู้ควบคุมการจัดด้วยพระองค์เองโดยตลอด เมื่อทรงจัดแล้ว ก็ทรงฝึกคนให้มีความรู้ โดยถ่ายทอดวิชาการโบราณคดีและวิชาการพิพิธภัณฑสถานจากพระองค์ ผู้ที่ได้รับการฝึกสอนในขั้นแรกนั้น คือ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ คณบดีคนแรกของคณะโบราณคดี. สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีความรักและห่วงใยในพิพิธภัณฑสถานนี้มาก คราวที่พระองค์ต้องเสด็จไปอยู่ปีนัง ได้รับสั่งถึงหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ว่า “ฉันรักหลวงบริบาลฯ เท่าไร หลวงบริบาลฯ ทราบอยู่แล้ว ถ้ารักฉันตอบ ขอให้พยายามบำรุงรักษาพิพิธภัณฑสถานซึ่งเป็นของรักของฉันให้ถาวรต่อไป ดีกว่าสนองคุณด้วยประการอย่างอื่น”(ลายพระหัตถ์ถึงหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๘). สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพสิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๘๖ ด้วยโรคพระหทัยพิการ“””””””””””””””””””””””””””””””””””””. จะเห็นได้ว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีคุณูปการต่อประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทยอย่างมาก จนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และนอกจากนี้ยังทรงได้รับการถวายพระนามเป็น "พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย" โดยกำหนดให้วันที่ ๑ ธันวาคมของทุกปี เป็น "วันดำรงราชานุภาพ" ค่ะ แล้วพบกันใหม่ในองค์ความรู้รอบหน้านะคะ --------------------------เอกสารอ้างอิงจิรัสสา คชาชีวะ. (2555). “โบราณคดีจากลายพระหัตถ์” ใน ๑๕๐ ปี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับพัฒนาการโบราณคดีไทย. กรุงเทพฯ: ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, หน้า 57-75.ดำรงราชานุภาพ.”ลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพถึง ศาสตราจารย์หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์, สกุลบริบาลบุรีภัณฑ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๕. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ ร.ส.พ., ๒๕๒๙, หน้า ๑๒.------------------------------------------พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น.e-mail: cm_museum@hotmail.comสอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผ่านกล่องข้อความ หรือ โทรศัพท์ : 053-221308For more information, please leave your message via inbox or call: +66 5322 1308+