ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,754 รายการ
ทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ถือเป็นหนึ่งวันพิเศษของชาวตะวันตก ด้วยเชื่อว่าเป็นวัน “ปล่อยผี” กำแพงที่กั้นระหว่างโลกปัจจุบันและโลกแห่งวิญญาณหายไป ทำให้วิญญาณอาจมาปะปนอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์ ซึ่งไทยเองก็มีความเชื่อทำนองนี้เช่นกัน เช่น วันพระ วันโกน จะเป็นวันที่วิญญาณจะออกมาหาส่วนบุญ สำหรับกิจกรรมวันฮาโลวีนในประเทศไทยก็นับว่าให้ความสำคัญในระดับหนึ่ง มักจะจัดการประกวดแต่งชุดแฟนซีเพื่อสร้างความบันเทิงแล้วแต่สถานที่จะให้ความสำคัญ
สำหรับชาวคลังกลางฯ เราก็อยากนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับผีๆ ให้เข้ากับบรรยากาศวันฮาโลวีนเช่นกัน เมื่อพูดถึงสถานที่ที่เก็บโบราณวัตถุเอาไว้อย่างพิพิธภัณฑ์คนก็มักจะคิดถึงเรื่องผีที่มากับสิ่งของ ทว่าวันนี้... เพจเราไม่ได้จะมาเล่าเรื่องผีให้ทุกคนฟัง แต่เราจะมาเล่าถึงวัตถุที่คนเชื่อว่าไล่ผีได้!!!
วัตถุชิ้นนั้นคือ “ขวานฟ้า” นั่นเอง เรามาทำความรู้จักขวานที่คนทั่วไปรู้จักกันก่อน
ขวานฟ้า คือ หินขัดคมที่คนทั่วไปเชื่อว่าเป็นขวานที่ตกลงมาจากฟ้า บ้างก็มีตำนานว่าขวานนี้เป็น “ขวานของรามสูร” ที่ไล่ขว้างนางเมฆลาที่กำลังล่อแก้ว แต่ขว้างเท่าไหร่ก็ไม่โดนเสียที ขวานเหล่านั้นก็ตกลงมายังพื้นดิน เหตุผลที่คนเชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่าคนมักจะพบขวานฟ้าตรงบริเวณที่เกิดฟ้าผ่า เมื่อเป็นของที่ตกลงมาจากฟ้าคนยิ่งเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็นำขวานฟ้าที่พบใส่พานตั้งบูชาบนหิ้งพระ บ้างก็นำไปพกติดตัว แม้แต่การนำเอาไปแช่ไว้ในโอ่งน้ำฝนแล้วนำน้ำนั้นมาอุปโภคบริโภค หรือที่น่าตกใจที่สุด คือมีการสร้างขวานขึ้นใหม่ทำเป็นสร้อยคอ เพราะเชื่อว่าขวานฟ้าไล่สิ่งชั่วร้าย ภูตผีปีศาจ หรือวิญญาณได้
ขณะเดียวกัน การศึกษาทางโบราณคดีเราก็ได้เริ่มมีองค์ความรู้เกี่ยวกับขวานฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อประมาณ 80 ปีก่อนนี้เอง เหตุเพราะนายแวน ฮีกเกอเร็น นักโบราณคดีชาวเนเธอร์แลนด์ที่ถูกจับเป็นเชลยศึกช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้พบเครื่องมือหินกะเทาะและขวานหินขัดในบริเวณริมแม่น้ำแควน้อย ตำบลบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ขณะที่ถูกเกณฑ์ให้มาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ด้วยความเป็นนักสะสมเขาจึงได้เก็บขวานหินเหล่านั้นกลับไปศึกษาวิเคราะห์หลังจากเสร็จสิ้นสงคราม นำไปสู่การดำเนินงานโบราณคดีเมื่อ พ.ศ. 2499 ขวานหินขัด เป็นวัตถุที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ จากการนำหินธรรมดามากระเทาะให้ด้านหนึ่งมีความแหลมคมพอที่จะเฉือนเนื้อขนาดได้เท่ากำปั้นสู่การนำมาการขัดให้คมและมีขนาดเล็กลงเอาไปตัดหรือสับได้ ในการดำเนินการทางโบราณคดีครั้งนี้นำไปสู่การขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศไทยอย่างเป็นระบบ และนำพาความเชื่อแบบไทยและองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีมาบรรจบกัน
เผยแพร่โดย วริยา โปษณเจริญ ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพโดย พลอยไพลิน ปุราทะกา ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
รูปพระสุภูติมหาเถร
สมัยอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๓-๒๔
เป็นของอยู่ในพิพิธภัณฑสถานมาแต่เดิม ได้มาจากไหนไม่ปรากฏ
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้อง ธนบุรี-รัตนโกสินทร์ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ประติมากรรมรูปบุคคล เงยศีรษะขึ้น ใบหน้ากลม คิ้วโก่ง ดวงตาเหลือบต่ำ จมูกใหญ่ ริมฝีปากหนา แสดงอาการยิ้มเล็กน้อย ใบหูยาว รูปร่างอ้วนครองจีวรแบบห่มดอง*แสดงการคาดผ้ารัดอก มีท้องพลุ้ย มือซ้ายโอบหน้าท้อง ส่วนมือขวายกขึ้น (กิริยากวักเรียกฝน) นั่งขัดสมาธิราบบนฐานบัว รูปแบบดังกล่าวจึงทำให้ประติมากรรมพระสุภูติมีลักษณะบางประการคล้ายกับประติมากรรมพระมหากัจจายนเถระ
ประวัติของพระสุภูติปรากฏในคัมภีร์วิสุทธชนวิลาสินีอรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน กล่าวถึงประวัติพระสุภูติว่า
ครั้งหนึ่งพระสุภูติจาริกถึงกรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารได้อาราธนาให้พระสุภูติประทับอยู่ ณ เมืองราชคฤห์ พร้อมทั้งสัญญาว่าจะสร้างกุฏิถวายให้ แต่เนื่องจากทรงมีพระราชกิจหลายอย่าง ทำให้ทรงลืมข้อสัญญาดังกล่าว ครั้นถึงฤดูฝนปรากฏว่าฝนไม่ตก พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงระลึกขึ้นได้ว่าพระองค์ลืมสร้างกุฏิถวายพระสุภูติ ทรงมีรับสั่งให้สร้างกุฏิที่มุงหลังคาด้วยใบไม้ถวาย เมื่อพระสุภูติเข้าไปอาศัยด้านในแล้วฝนก็ยังตกเพียงเล็กน้อย พระสุภูติจึงกล่าวคาถามีใจความว่า ตนพ้นจากภยันตราย มีอาคารกำบังแล้ว ขอให้เทพเทวดาบันดาลให้ฝนตก เมื่อกล่าวคาถาจบลง เมฆฝนก็ก่อตัวขึ้น เกิดเป็นฝนห่าใหญ่ตกทั่วเมืองราชคฤห์
จากประวัติของพระสุภูติข้างต้น จึงทำให้ประติมานของรูปเคารพพระสุภูติมีลักษณะการแสดงอิริยาบถที่สัมพันธ์กับ “เบื้องบน” หรือ “ท้องฟ้า” เช่น การแหงนหน้ามองด้านบน หรือชูแขนข้างหนึ่งขึ้นในท่ากวักมือเรียกเป็นต้น ในงานพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ พระสุภูติจึงเป็นประติมากรรมองค์สำคัญที่ใช้ประกอบพิธี
อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงมีพระบรมราชาธิบายถึงพระสุภูติในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ไว้ว่า การประดิษฐานพระสุภูติในพระราชพิธีจะตั้งไว้อยู่กลางแจ้ง ตรงกันข้ามกับคาถาที่ใช้สวดในพระราชพิธี คือ “คาถาสุภูโต” ที่มีเนื้อความตามสุภูติเถรคาถา ในพระสุตตันตปิฎก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงเรียบเรียงขึ้นใหม่ และใช้มาตลอดนับตั้งแต่รัชกาลของพระองค์ในคราวที่ฝนแล้ง ดังมีประกาศให้พระอารามต่าง ๆ สวดคาถาสุภูโต
และงานพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ไม่ได้มีกำหนดตายตัวว่าจะต้องจัดกี่วัน ขึ้นอยู่กับว่าฝนจะตกหรือไม่ และตกมากน้อยเพียงใด หากฝนตกไม่มากก็ยังคงทำพิธีต่อไป อีกทั้งพระราชพิธีพิรุณศาสตร์มิได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี หากแต่จัดขึ้นในคราวที่เกิดภาวะแล้งขาดแคลนน้ำฝนเท่านั้น
* ห่มดอง หมายถึง วิธีห่มผ้าของพระภิกษุสามเณรอย่างหนึ่งโดยห่มเฉวียงบ่าและมีผ้ารัดอก (ตามความหมายใน ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖ หน้า ๑๓๑๙)
อ้างอิง
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธี ๑๒ เดือน. พระนคร: แพร่พิทยา, ๒๕๑๔.
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. รวมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ (กรุงเทพฯ: องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๔๘.
____________. รวมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔. กรุงเทพฯ: องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๔๘.
มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย อปทาน เล่มที่ ๘ ภาคที่ ๒. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 42/4ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 60 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
แนะนำ E-book หนังสือหายาก
กรมชลประทาน. ผลงานของ ม.ล. ชูชาติ กำภู. พระนคร: โรงพิมพ์แผนกแผนภาพและการพิมพ์, 2496.
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 140/4ก เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 175/5 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : บุคคลในประวัติศาสตร์ไทยและโบราณคดีไทย นางศรีนาถ สุริยะ ผู้เรียบเรียง พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระนาถปัญญา (ทับทิม สุทธะสินธุ) ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม วันที่ 25มกราคม พ.ศ. 2505 ชื่อผู้แต่ง : ศรีนาถ สุริยะ ปีที่พิมพ์ : 2505 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : มงคลการพิมพ์จำนวนหน้า : 124 หน้า สาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับบุคคลในประวัติศาสตร์ไทยและโบราณคดีไทย ตอนแรกจะกล่าวถึงประวัติของพระนาถปัญญา (ทับทิม สุทธะสินธุ) ตอนต่อไปจะเป็นเนื้อหาบุคคลในประวัติศาสตร์จะกล่าวถึงชีวประวัติ ได้แก่ พระพิชัยดาบหัก พระยาไชยบูรณ์ ท้าวเทพกษัตรีย์ – ท้าวศรีสุนทร และโบราณคดีไทย นำเที่ยววัดหงส์รัตนาราม เกี่ยวกับโบราณคดี ได้แก่ พระนามพระเจ้าแผ่นดินยุคสุโขทัย คำชี้แจงเรื่องข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ภาษีอากร พระคลังสินค้า นามของกรุงเทพฯ
เลขทะเบียน : นพ.บ.372/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 141 (1-6) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : สุชวัณณจักกุมาร --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.505/4กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4 x 54 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 169 (224-232) ผูก 4ก (2566)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง สํยุตฺตนิกายกถา (สํยุตฺตนิกาย)ลบ.บ. 35/4หมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 54 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง พระไตรปิฎก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องรัก ไม้ประกับธรรมดา
วันแรม ๔ ค่ำและ แรม ๕ ค่ำ เดือนแปด ของทุกปี กรมศิลปากร ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ และสามเณร มาเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นกรณีพิเศษปีละ ๒ วัน ธรรมเนียมนี้มีความเป็นมาย้อนไปถึง พ.ศ. ๒๔๖๔ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิมนต์พระสงฆ์มาเยี่ยมชมกิจการหอพระสมุด ในโอกาสที่พระภิกษุสงฆ์ สามเณรมาประชุมทำวัตร สวดมนต์ถวายพระราชกุศล ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และในพ.ศ. ๒๔๖๙ เมื่อย้ายหอพระสมุดมายังพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จึงผนวกการเยี่ยมชมกิจการพิพิธภัณฑสถานไว้ด้วยตั้งแต่บัดนั้น
สำหรับเทศกาลเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๕ – วันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๖ สำหรับท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทรัพย์สิน ภัตตาหาร หรือสิ่งของต่างๆ เพื่อร่วมทำบุญในกิจกรรมดังกล่าว สามารถบริจาคได้ที่งานธุรการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๗๐ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒
วันนี้เรามาเรียนรู้ลักษณะนามจากโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียงกันนะคะโดยนางสาวรัชฏญาภรณ์ ประทุมวัน สาขาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ชื่อเรื่อง เล่าขานตำนานลูกท่าเรือผู้แต่ง มณี เทพาชมภูประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN 974-94415-3-2หมวดหมู่ ชีวประวัติ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เลขหมู่ 927 ม124ลสถานที่พิมพ์ สุพรรณบุรีสำนักพิมพ์ พี.เอ.โปรดักชั่นเฮ้าส์ปีที่พิมพ์ 2549ลักษณะวัสดุ 96 หน้า : ภาพประกอบ ; 21 ซม.หัวเรื่อง ศิลปินพื้นบ้าน – ชีวประวัติ ลิเกภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์อันเกิดจากแรงบันดาลใจ ที่มีความชื่นชมในผลงานการแสดงลิเกคณะจำเนียรน้อยลูกท่าเรือ มีความตั้งที่จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของศิลปินลิเกครอบครัวลูกท่าเรือ จากจำเนียรน้อย...สู่ดวงแก้ว...ถึงศรราม น้ำเพชร
หม่อมราชวงศ์ถนอมศักดิ์ กฤดากร
ผลงาน : ม.ร.ว.ถนอมศักดิ์ กฤดากร (M.R. Thanomsak Kritsadakorn)
ศิลปิน : นายเฟื้อ หริพิทักษ์ (Fua Hariphitak)
เทคนิค : ปั้นดินเหนียว หล่อบรอนซ์ (Technique of Clay Sculpture and Bronze Cast)
ขนาด : สูง 35 เซนติเมตร (Height 35 cm.)
ปีที่สร้างสรรค์ : พ.ศ. 2481 (1938)
ประวัติ :เฟื้อ หริพิทักษ์ เป็นศิลปินหัวก้าวหน้า ที่ท้าทายและปฏิเสธศิลปะตามหลักวิชาการ อันเป็นกระแสหลักของวงการศิลปะไทยในช่วงทศวรรษที่ 2470 - 2480 (สุธี 2454 : 55) มีความชำนาญทั้งการเขียนภาพ และงานประติมากรรม พื้นฐานการศึกษาของเฟื้อ เริ่มต้นที่โรงเรียนเพราะช่าง แล้วเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนประณีตศิลปกรรม และมีโอกาสไปศึกษาที่แระเทศอินเดียและอิตาลีตามลำดับ ทางด้านหน้าที่การงาน เฟื้อประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจากรับราชการตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรและวิทยาลัยช่างศิลปแล้ว ยังได้รับยกย่องเป็นศิลปินชั้นเยี่ยมใน พ.ศ.2500 ได้รับรางวัลแมกไซไซใน พ.ศ.2526 และได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตกรรมฉ เมื่อปี พ.ศ.2528 (ขนิษฐษ และคณะ 2535 : 55 - 56) ประติมากรรมภาพเหมือนรูปนี้ จัดเป็นงานยุคแรกเริ่มต้นเส้นทางการเป็นศิลปินของท่าน
อ้างอิง : หนังสือนำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (Guide to The National Gallery, Bangkok)
หนังสือ 100 ปี เฟื้อ หริพิทักษ์ (หน้า 111)
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/nationalgallery/360/model/zz08ok/
ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/nationalgallery/