ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,393 รายการ
โครงการดูแลทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมของชาติของพระสังฆาธิการการประชุมสัมมนาถวายความรู้แด่พระสังฆาธิการและฆราสาวผู้สนับสนุนวัดและทัศนศึกษาเมืองเสมา , วัดพระนอนถวายความรู้เรื่องความสำคัญและการจัดการแหล่งโบราณคดีเมืองเสมาวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ณ วัดใหญ่สูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 10 ตอนปลาย ภาคที่ 11-12)ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2507 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์คุรุสภา จำนวนหน้า : 420 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10 ได้รวบรวมเอกสารทางประวัติศาสตร์เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองน่าน อาทิ ตระกูลเมืองน่าน เจ้าครองนครเมืองน่าน การย้ายเมืองน่าน รวมถึงการศึกระหว่างไทยกับพม่า พม่าตีกรุงศรีอยุธยา พม่ายกทัพมาตีเมืองไทย เป็นต้น
ลูกปัดรูปแบบนี้นิยมเรียนว่า “ลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิค (Indo-Pacific Beads)”หรือ “ลูกปัดลมสินค้า” (Trade winds beads) เนื่องจากได้มีการค้นพบลูกปัดรูปแบบนี้กระจายตัวอยู่ในบริเวณมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิค โดยพบตามเมืองท่าโบราณต่างๆ ทั้งในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลูกปัดแก้วเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่มากับเรือเดินสมุทรซึ่งต้องอาศัยลมมรสุมในการเดินทางอันเป็นที่มาของชื่อ “ลูกปัดลมสินค้า”
ลูกปัดแก้วขนาดเล็กเหล่านี้ทำด้วยวิธีการนำแก้วมาหลอมโดยใช้ความร้อน จากนั้นจึงนำมาดึงยืดเป็นเส้นและตัดทีละลูกจึงทำให้ลูกปัดมีขนาดที่ต่างกัน
ลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิคมีแหล่งกำเนิดและแหล่งผลิตหลักในประเทศอินเดียในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๕ และได้แพร่กระจายไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งในเอเชียตะวันตกและเอเชียตะวันออก สำหรับในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๕ พบที่ประเทศอินโดนีเซียที่เกาะสุมาตรา ประเทศไทยพบในเมืองท่าโบราณของภาคใต้ และในช่วง พุทธศตวรรษที่ ๑๖ พบในมาเลเซียและเวียดนาม
ในประเทศไทยมีการพบลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิค ในหลายพื้นที่ทั้งในภาคกลางและภาคใต้ โดยพบในแหล่งโบราณคดีสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ อาทิ แหล่งโบราณคดีควนลูกปัด (คลองท่อม) จังหวัดกระบี่ เจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๙ แหล่งโบราณคดีภูเขาทอง จังหวัดระนอง เจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๙ และแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร เจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๓ – ๙ แหล่งโบราณคดีเหล่านี้เป็นแหล่งผลิตลูกปัดแก้วของภาคใต้ ดังได้พบลูกปัดแก้วที่อยู่ในขั้นตอนการผลิต เช่น ลูกปัดแก้วที่หลอมติดกัน และก้อนแก้วสีต่างๆ จึงกล่าวได้ว่าลูกปัดแก้วเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของภาคใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๙
ลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิค ที่พบในแหล่งโบราณคดีคลองท่อม และแหล่งโบราณคดีภูเขาทอง จึงถือเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงการผลิตลูกปัดแก้วในแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน ความนิยมของผู้คนในสมัยนั้น และยังแสดงให้เห็นถึงการติดต่อระหว่างอินเดียและดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเมืองท่าโบราณต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยอีกด้วย
ที่มาข้อมูล
ผุสดี รอดเจริญ, “การวิเคราะห์ลูกปัดแก้วจากเมืองโบราณสมัยทวารวดี ในภาคกลางของประเทศไทย.” (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖.
มยุรี วีระประเสริฐ. “คลองท่อม : แหล่งอุตสาหกรรมทำลูกปัดและสถานีขนถ่ายสินค้าสมัยโบราณบนชายฝั่งทะเลอันดามัน,”สารัตถะโบราณคดี บทความคัดสรรของ ๔ อาจารย์โบราณคดี.กรุงเทพ : สมาพันธ์, ๒๕๕๓: ๘๑-๑๐๑.
อักษรพระปรมาภิไธยย่อ คืออักษรที่ย่อจากพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ให้เหลือเพียง ๓ อักษร สำหรับอักษรพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มาจากคำว่า “มหาจุฬาลงกรณ์ปรมราชาธิราช” จึงมีอักษรพระปรมาภิไธยว่า “จ.ป.ร.” เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปตามสถานที่ต่างๆ ได้ทรงจารึกอักษรพระปรมาภิไธยย่อ จปร ไว้ อันเป็นเครื่องหมายการเสด็จเยือนของพระองค์ ซึ่งได้เดินทางไปในที่นั้นๆ ราชบุรีเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินเมืองราชบุรีถึง ๑๐ ครั้ง โดยเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเพื่อประกอบพระราชกรณียกิจและเป็นการเสด็จประพาสต้น มีการพบจารึกอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ซึ่งนับเป็นหลักฐานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่จังหวัดราชบุรีนี้เช่นกัน จารึกอักษรพระปรมาภิไธยย่อ จปร ในจังหวัดราชบุรีพบทั้งหมด ๕ แห่ง ดังนี้ ๑. ถ้ำจอมพล ต.จอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๔ นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๒๑ ในรัชกาลที่ ๕ ๒. ถ้ำจระเข้ ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๔ (ปัจจุบันยังสำรวจหาถ้ำไม่พบ สันนิษฐานว่าปากถ้ำได้ถูกปิดทับไปแล้ว) นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๒๒ ในรัชกาลที่ ๕ ๓. ถ้ำระฆัง(ถ้ำค้างคาว) ในเขตพื้นที่ค่ายบุรฉัตร ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๘ นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๓๓ ในรัชกาลที่ ๕ ๔. เขาวังสะดึง ต.เขาแร้ง อ.เมือง จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๘ นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๓๔ ในรัชกาลที่ ๕ ๕. ถ้ำสาริกา ต.ธรรมเสน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๘ นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๓๕ ในรัชกาลที่ ๕ ในการเสด็จพระราชดำเนินแต่ละครั้งจะมีพระราชหัตถเลขาบรรยายไว้ทุกครั้ง ดังเช่น การเสด็จพระราชดำเนินประพาสมณฑลราชบุรี เมื่อพ.ศ. ๒๔๔๒ “...วันที่ ๑๒ ตุลาคม...ครั้นเสวยเครื่องว่างเวลาเช้าแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปตามทางบนเขาวังสดึง ถึงที่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้จัดการรับเสด็จได้จัดเปนที่ทรงจารึกพระบรมนามาภิไธย ได้ทรงจารึกพระบรมภิไธยโดยย่อ จ ป ร แลเลข ๑๑๘ ที่น่าผา แห่งเขาวังสดึงด้านตะวันตกแล้วเสด็จพระราชดำเนินต่อไป...” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องราวของอักษรพระปรมาภิไธยย่อที่ทรงได้พบอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ในรายงานเสด็จตรวจราชการมณฑลราชบุรี เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ.๒๔๔๑ ร.ศ. ๑๑๗ เมื่อครั้งเสด็จถ้ำห้วยตะแคง ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเขางู ถ้ำนี้ไม่สามารถพายเรือเข้าไปได้ พระองค์ทรงพบรอยถ่านไฟ เขียนอักษรพระนาม จปร. ความว่า “... เข้าไปพบของประหลาด คือมีรอยถ่านไฟเขียนไว้บนเพดานถ้ำเปนอักษรพระนาม จ.ป.ร. รูปอย่างที่ทรงจำหลักศิลาในสถานที่ต่างๆ แลมีตัวเลข ๑๑๔ อยู่ใต้นั้นด้วย เปนที่ฉงนสนเท่ห์ใจเปนอย่างยิ่ง ด้วยเมื่อศก ๑๑๔ เสด็จประพาศเมืองราชบุรี ฉันก็ตามเสด็จในเที่ยวนั้น จำได้ว่าทรงอักษรพระนามจำหลักไว้แต่ปากถ้ำจอมพลที่เขากลางเมือง ถึงว่าเมื่อเสด็จกลับจากจอมบึงได้ทรงม้าเลียบเขางูมาทางนี้ก็ไม่ปรากฏว่าได้เสด็จประพาศถ้ำห้วยตะแคง เหตุใดจึงมีอักษรพระนามเขียนไว้ที่หลังถ้ำนี้ แลเหตุใดจึงไม่มีจำหลัก แปลไม่ออกเกิดเปนความสงไสยว่าจะเปนลายพระราชหัตถเลขาแท้หรือใครไปแลเห็นที่ปากถ้ำจอมพลแลลองเอามาเขียนไว้ที่นี้ เพื่อบูชาหรือประการใด มีความสงสัยอยู่ดังนี้ จึงยังไม่กล้าสั่งให้จำหลักรอยลงในศิลา...” “อักษรพระปรมาภิไธยย่อ” ที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วโปรดให้จารึกไว้ในสถานที่ต่างๆ นี้ ถือเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติที่สำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงพระราชกรณียกิจทรงเยี่ยมทุกข์สุขของราษฎรถึงแม้จะอยู่ในถิ่นทุรกันดารเพียงใด พร้อมกับทอดพระเนตรโบราณสถานต่างๆ ความประทับใจในความงามของธรรมชาติที่ได้เสด็จไปทั่วทุกแห่งหนบนผืนแผ่นดินของพระองค์ และแสดงให้เห็นถึงความสนพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ที่ทรงถ่ายทอดเหตุการณ์และทรงสร้างสรรค์หลักฐาน จารึกเรื่องราวให้คนรุ่นหลังได้สามารถศึกษาอดีตได้ ภาพ ๑ อักษรพระปรมาภิไธยย่อที่จารึกไว้ ณ ถ้ำจอมพล ภาพ ๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประทับบนแคร่ไม้ บริเวณถ้ำจอมพล ภาพ ๓ อักษรพระปรมาภิไธยย่อที่จารึกไว้ ณ เขาวังสะดึง ภาพ ๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเขาวังสะดึง เมื่อวันที่ ๑๒ ต.ค. พ.ศ. ๒๔๔๒ ภาพ ๕ อักษรพระปรมาภิไธยย่อ ที่จารึกไว้ ณ ถ้ำสาริกา ภาพ ๖ อักษรพระปรมาภิไธยย่อ ที่จารึกไว้ ณ ถ้ำระฆัง --------------------------------------------เรียบเรียง : นางสาวปราจิน เครือจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี --------------------------------------------อ้างอิง กรมศิลปากร, พระปรมาภิไธยที่พบในประเทศไทย, กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๔. มโน กลีบทอง,พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี,สำนักพิมพ์สมาพันธ์ จำกัด,พ.ศ.๒๕๔๔. สถาบันดำรงราชานุภาพ “รายงานการเสด็จตรวจราชการมณฑลราชบุรี เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ.๒๔๔๑ ร.ศ.๑๑๗” การเสด็จตรวจราชการหัวเมืองของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง ราชานุภาพ,๒๕๕๕.
ชื่อผู้แต่ง วัฒนธรรม, กอง
ชื่อเรื่อง ประเพณีไทย
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ สส. ทบ.
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๖
จำนวนหน้า ๓๐ หน้า
หมายเหตุ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายกระแสร์ อัศเวศน์ ณ เมรุวัดโสมมนัสวิหาร วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๐๖
หนังสือประเพณี เล่มนี้ มีอยู่ ๓ เรื่อง คือ ประเพณีทำบุญ ประเพณีสมรส และประเพณีศพ เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีนิยมแต่โบราณ