ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ

ิิ          พระพิมพ์ดินดิบแบบศรีวิชัย กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 13-18 ขนาดสูง 8.5 เซนติเมตร กว้าง 7 เซนติเมตร วัสดุดินดิบ ศิลปะศรีวิชัย โดยพระพิมพ์แบบนี้มักสร้างจากดินดิบ ด้านหลังมีประทับจารึกคาถา เย ธมฺมา ฯ เป็นภาษาสันสกฤต ซึ่ง คาถาเย ธมฺมา ฯ นั้นเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ในความเชื่อการสร้างพระพิมพ์ดินดิบจะปั้นดินและมีการกดประทับเพื่อให้เกิดลวดลาย ในเนื้อดินได้มีการตรวจพบมีอัฐิผสมอยู่ ทำให้สันนิษฐานว่า การสร้างพระพิมพ์นี้ นอกเหนือจากการสืบอายุพระพุทธศาสนานั้น จะเป็นการสร้างกุศลให้กับอัฐิบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว ให้เจริญอยู่ในพระพุทธศาสนาสืบไป ปัจจุบันจัดแสดง ณ อาคารจัดแสดง 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี



          วันอังคารที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๓๐ น. นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยนายอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร รับมอบหนังสือเอกสารทางวิชาการอันทรงคุณค่า และหนังสือหายาก จากศาสตราจารย์ ดร.สันติ เล็กสุขุม และในโอกาสนี้ ท่านอธิบดีและท่านรองอธิบดีได้ร่วมมอบหนังสือเพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์และคลังความรู้ทางวิชาการ ณ ห้องสมุดสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ชั้น ๖ อาคารกรมศิลปากร เทเวศร์​


          เมืองศรีมโหสถ เมืองโบราณในจังหวัดปราจีนบุรีที่มีพัฒนาการตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๑ หรือกว่า ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ร่วมสมัยกับวัฒนธรรมฟูนัน ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง ติดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ศรีมโหสถจึงเป็นทั้งเมืองท่าการค้าที่ติดต่อกับดินแดนโพ้นทะเล ศูนย์กลางการคมนาคมของบ้านเมืองตอนใน และเมืองชายฝั่งทะเลใกล้เคียง เมืองโบราณแห่งนี้จึงมีความหลากหลายในด้านศิลปวัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนา ที่เดินทางมาพร้อมกับผู้คนจากต่างแดน ทั้งนี้ พบหลักฐานในการประดิษฐานพระพุทธศาสนา และศาสนาฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดเป็นลำดับต้นของประเทศไทย ดังนี้          รอยพระพุทธบาทคู่ที่เก่าที่สุด รอยพระพุทธบาทคู่ โบราณสถานสระมรกต ตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรีประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๓ (๑,๓๐๐ - ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว)          รอยพระพุทธบาทคู่สลักลึกลงในพื้นศิลาแลง ลักษณะฝ่าพระบาทเสมือนรอยเท้ามนุษย์จริงตามธรรมชาติ ทั้งรูปร่างและความยาวของนิ้วพระบาทที่ไม่เสมอกัน กึ่งกลางรอยพระพุทธบาทสลักเป็นรูปธรรมจักรมีกากบาทไขว้ ตรงจุดตัดกากบาทเป็นหลุมสันนิษฐานว่าเป็นหลุมสำหรับปักฉัตร กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๓ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นรอยพระพุทธบาทคู่ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง และเป็นร่องรอยหลักฐานการนับถือพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งทั้งในเมืองศรีมโหสถ และดินแดนประเทศไทย          พระพุทธรูปที่เก่าที่สุด พระพุทธรูปปางสมาธิ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑- ๑๒ (๑,๔๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว) พระพุทธรูปปางสมาธิแกะสลักจากหินทราย พบในบ่อน้ำหน้าอาคารประดิษฐานรอยพระพุทธบาท โบราณสถานสระมรกต ตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ลักษณะของพระพักตร์ และองค์พระพุทธรูปมีรูปแบบที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมฟูนันและศิลปะอินเดียแบบอมราวดี          พระคเณศที่เก่าที่สุด พระคเณศหินทราย ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ (๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว)          พระคเณศ เทพเจ้าสำคัญองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ และฮินดู เป็นโอรสของพระศิวะ กับนางปารวตี (พระอุมา) มีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างจากเทพเจ้าองค์อื่น คือ มีเศียรเป็นช้างขณะที่ร่างกายเป็นมนุษย์ พระคเณศ ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าผู้รอบรู้ และได้รับการยอมรับนับถือในฐานะ เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยา และเทพเจ้าแห่งอุปสรรค ผู้สร้างและขจัดอุปสรรคทั้งปวง          พระคเณศศิลาองค์นี้ พบเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๕ จากโบราณสถานหมายเลข ๒๒ หรือโบราณสถานกลางเมืองศรีมโหสถ เมืองโบราณสมัยทวารวดี พระคเณศลักษณะเหมือนช้างธรรมชาติและไม่ทรงเครื่องประดับ เทียบรูปแบบได้กับพระคเณศสมัยก่อนเมืองพระนครในศิลปะเขมร อายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถือได้ว่าพระคเณศองค์นี้ เป็นพระคเณศที่เก่าแก่องค์หนึ่งในบรรดาพระคเณศที่พบในประเทศไทย และมีขนาดสูงที่สุด คือ ราว ๑.๗๐ เมตร-----------------------------------------------------------ผู้เรียบเรียง : นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี-----------------------------------------------------------


ชื่อเรื่อง                                ธมฺมปทวณฺณา ธมฺมปทฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ธมฺมปทฺธ) สพ.บ.                                  376/5ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           58 หน้า กว้าง 4 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                 ธรรมเทศนา บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด-ลองรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี




สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.39/1-1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มาลยสุตฺต (มาลยสูตร)  ชบ.บ.77/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สงฺคีติกถา (ปถม-ปญฺจมสงฺคายนา)  ชบ.บ.101/1-2  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.321/2กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 20 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ทองทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 129  (321-328) ผูก 2ก (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์(8หมื่น)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          ผลงาน: Untitled         ศิลปิน: อินสนธิ์ วงศ์สาม         เทคนิค: ประติมากรรมไม้สลัก          ขนาด: สูง 135 ซม.         อายุสมัย: ราว พ.ศ. 2520         รายละเอียดเพิ่มเติม: อินสนธิ์ วงสาม ศิลปินแห่งชาติผู้บุกเบิกสร้างสรรค์งานประติมากรรมแนวนามธรรม (abstract) ลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี งานประติมากรรมไม้สลักของอินสนธ์ แสดงสุนทรียภาพในเชิงความงามของรูปทรง แบบงานประติมากรรมนามธรรมสมัยใหม่ ทว่ากลับสะท้อนกลิ่นอายรากเหง้าวัฒนธรรมท้องถิ่นแห่งภูมิหลังครอบครัวช่างสลักไม้จากเมืองลำพูนของศิลปิน ที่สืบทอดภูมิปัญญาในงานไม้สลักมาหลายชั่วคน ได้อย่างสุขุม เรียบง่ายและแยบคาย ในขณะเดียวกัน         Title: Untitled       Artist: Inson Wongsam       Technique: sculpture (wood carving)       Size: 135 cm. (H.)       Year: approximately sculpted around late 1970s       Details: Inson Wongsam, national artist who considered as Feroci (Silpa Bhirasri)’s last generation pupils, a pioneer sculptor on abstract theme around 1970s. His wood carving sculpture emphasizes on modern abstract forms but, at a same time, reflects the atmosphere of an artist’s ancestral wisdom on wood carving from Lamphun that inherited on his skill, and represented through his works discreetly, simply, and significantly.



#ปราสาทพนมวัน ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา #จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นศาสนสถานที่ปรากฏการใช้งานมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 สืบเนื่องถึงปัจจุบัน โดย ประเด็นที่จะหยิบยกมาเล่าในวันนี้ คือ จารึกทั้ง 8 หลัก ที่เราพบจากปราสาทพนมวัน ซึ่งกำหนดอายุสมัยอยู่นช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-17 นั่นเองครับ . จากการดำเนินการบูรณะปราสาทพนมวัน ด้วยวิธีอนัสติโลซิส ซึ่งแล้วเสร็จในปี 2543 นั้น เราได้ค้นพบ #จารึก ที่ปราสาทพนมวัน จำนวน 8 หลัก โดยปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมหาวีรวงศ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา 1 หลัก (จารึกหลักที่ 7) และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา 2 หลัก (จารึกหลักที่ 1 และส่วนอีก 5 หลัก ปัจจุบันยังอยู่ที่ตำแหน่งกรอบประตูตัวข้างของปราสาทประธาน (ดูแผนผังประกอบ) . ผลการศึกษาวิเคราะห์และการกำหนดอายุจารึกปราสาทพนมวันจารึกปราสาทพนมวัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ #กลุ่มที่1 ได้แก่ จารึกหลักที่ 1 มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 ดังปรากฏพระนามของกษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 (พ.ศ.1420 – พ.ศ.1432) และพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 (พ.ศ.1432 – พ.ศ.1443) #กลุ่มที่2 ได้แก่ จารึกหลักที่ 2 และหลักที่ 5 มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ดังปรากฏพระนามของกษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (พ.ศ.1545 – พ.ศ.1593) และ พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1593 – พ.ศ.1609) #กลุ่มที่3 ได้แก่ จารึกหลักที่ 3 จารึกหลักที่ 4 จารึกหลักที่ 6 จารึกหลักที่ 7 และจารึกหลักที่ 8 มีอายุอยู่ในช่วงต้น – กลางพุทธศตวรรษที่ 17 ดังปรากฏพระนามของกษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระเจ้าราเชนทรวรมัน (พ.ศ.1487 – พ.ศ.1511) พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 (พ.ศ.1623 – พ.ศ.1650) . ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสับสนระหว่างภาพจารึกและข้อความ พี่นักโบ จึงขออนุญาต นำข้อมูลรายละเอียดจารึกทั้ง 8 หลัก แยกใส่ไว้ในรายละเอียดภาพของแต่ละภาพเลยแล้วกันนะครับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ สามารถกดเข้าไปอ่านได้เลยครับ . ด้วยช่วงนี้อยู่ในระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กรมศิลปากร จึงสั่งการให้ปิดแหล่งเรียนรู้ ต่างๆ ในสังกัดทั้งหมด อาทิ โบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ดังนั้น เมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้นแล้ว พี่นักโบ ก็ขอเชิญชวนทุกๆคน มาท่องเที่ยวและเรียนรู้กันโบราณสถานปราสาทพนมวันแห่งนี้ รวมไปถึงแหล่งเรียนรู้ในสังกัดกรมศิลปากรอื่นๆ กันอีกครั้งครับ . ข้อมูลโดย นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ . แหล่งอ้างอิงข้อมูล พงศ์ธันว์ บรรทม. ปราสาทพนมวัน. กรุงเทพฯ: สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 9 นครราชสีมา. 2544.


ชื่อผู้แต่ง          ปุ่น  ปุณฺณสิริ ชื่อเรื่อง           ชีวประวัติของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ)  และอานุภาพธรรมกาย ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์     ม.ป.พ สำนักพิมพ์       ม.ป.ท. ปีที่พิมพ์          2512 จำนวนหน้า      86  หน้า รายละเอียด                         หนังสือชีวประวัติของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ)  และอานุภาพธรรมกาย  เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณณสิริ) สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗   วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นหนังสือดีควรค่าแก่การศึกษาหาความรู้ และนำไปปฏิบัติในด้านการฝึกสมาธิเพื่อให้เกิดความสงบใจ


          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัยและยังเป็นสถานที่ต้อนรับอาคันตุกะระดับชาติของประเทศไทย จึงเป็นแหล่งที่รวบรวมมรดกวัฒนธรรมของชาติไว้เป็นจำนวนมาก เป็นการยากที่จะบอกว่า โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นไหนเป็นชิ้นเอกในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เนื่องจากทุกชิ้นล้วนมีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มีโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุแนะนำ ๑๐ รายการ ที่จัดแสดงอยู่ภายในพระที่นั่ง และอาคารต่างๆ ที่ผู้เข้าชมไม่ควร พลาดชมและต้องไปให้ถึงอาคารจัดแสดงนั้นๆ ประกอบด้วย          ๑. พระพุทธสิหิงค์ จัดแสดง ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์          พระพุทธปฏิมาศิลปะสุโขทัย – ล้านนา หล่อด้วยสำริดกะไหล่ทอง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ นับถือกันว่า เป็นพระพุทธปฏิมาศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพ ตามตำนานพระพุทธสิหิงค์กล่าวว่า ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานเป็นสิริมงคลยังพระนครหลวงและเมืองสำคัญแต่โบราณของไทยหลายแห่ง คือ นครศรีธรรมราช สุโขทัย กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา และในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๘ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ ๑ อัญเชิญจากเมืองเชียงใหม่มาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เนื่องจากพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปที่อำนวยความอุดมสมบูรณ์ จึงได้อัญเชิญออกไปให้ประชาชนสรงน้ำขอพรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งภายหลังกรมศิลปากรได้ขอพระบรมราชานุญาตหล่อองค์จำลองสำหรับเทศกาลสงกรานต์จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี          ๒. พระคเณศ จัดแสดงห้อง ศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท          พระคเณศ ๔ กร จากจันทิสิงหส่าหรี เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ศิลปะชวาตะวันออก อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ ความสูง ๑๗๒ เซนติเมตร ลักษณะเป็นประติมากรรมจำหลักศิลานูนสูง ประทับนั่งบนบัลลังก์กะโหลกมนุษย์ หัตถ์ขวาบนถือขวาน หัตถ์ซ้ายบนถือพวงลูกประคำ หัตถ์ขวาและหัตถ์ซ้ายล่างถือถ้วยขนม ทรงศิราภรณ์ประดับด้วยกะโหลกมนุษย์ แม้แต่กุณฑล พาหุรัด เข็มขัด รัดองค์ ทองพระกร ทองพระบาท และภูษาทรงล้วนประดับด้วยลวดลายกะโหลกมนุษย์ และสวมสายยัชโญปวีตรูปงู ตามประวัติกล่าวว่า ผู้สำเร็จราชการเกาะชวาซึ่งเป็นชาวฮอลันดาน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในคราวเสด็จประพาสชวาเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๙ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในห้องศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท          ๓. พระปัทมปาณีโพธิสัตว์ จัดแสดงห้อง ศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท          พระปัทมปาณีโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๒ กร ศิลปะศรีวิชัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พบเพียงท่อนบนพระวรกาย พบที่วัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลักษณะเอียงพระวรกาย ทรงศิราภรณ์ ส่วนยอดของชฎามกุฎหักหายไป พระเนตรเหลือบต่ำ สวมสร้อยประคำและกรองศอ พระอังสาด้านซ้ายคล้องผ้าเฉวียงบ่า และทับด้วยสายยัชโญปวีตประดับหัวกวาง สันนิษฐานว่า อาจเป็นองค์เดียวกับพระโพธิ์สัตว์ปัทมปาณี ที่กล่าวถึงในจารึกจากวัดเวียงว่า ถึงพระเจ้าธรรมเสตะสร้างปราสาทอิฐสามหลังเพื่ออุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์สององค์ ซึ่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนี้มีผู้นับถืออย่างมากทั้งใน พุทธศาสนามหายานและวัชรยาน ซึ่งเคารพนับถืออยู่ในชวาภาคกลางในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๔ เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงความเกี่ยวข้องระหว่างอาณาจักรศรีวิชัยในคาบสมุทรภาคใต้กับราชวงศ์ไศเลนทร์ในชวาภาคกลาง          ๔. ตะเกียงโรมัน จัดแสดงห้องเอเชีย อาคารมหาสุรสิงหนาท          ตะเกียงโรมัน ขุดพบที่ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบัณฑิตยสภาได้มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ ลักษณะตะเกียงหล่อด้วยสำริด ปลายด้ามมีช่องสำหรับวางไส้ตะเกียง ด้านบนมีฝาเปิดหล่อเป็นรูปพระพักตร์เทพเจ้าไซเลนุส (Silenus) ผู้เป็นอาจารย์ของเทพเจ้าไดโอนีซุส (Dionysus) เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นของโรมัน ด้ามจับหล่อเป็นลายใบปาล์มและปลาโลมาคู่หันหน้าเข้าหากัน ตะเกียงนี้อาจหล่อขึ้นที่เมืองอเล็กซานเดรีย เมืองท่าทางทะเลในประเทศอียิปต์ เมื่อครั้งอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันราวก่อนพุทธศตวรรษที่ ๖ หรืออาจหล่อขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๐ และคงเป็นของที่พ่อค้าชาวอินเดียได้นำเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากบริเวณที่พบนั้น ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าที่พ่อค้าชาวอินเดียเคยเดินทางผ่านไปมา ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบเหรียญโรมันสำริดของจักรพรรดิวิคโตรินุสที่เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าชุมชนโบราณในภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทยมีการติดต่อค้าขายกับโลกตะวันตก ได้แก่ กลุ่มประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนคือ กรีก-โรมัน รวมทั้งเปอร์เซีย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๙ ซึ่งอาจเป็นการติดต่อโดยตรงกับพ่อค้าโรมันที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตามบ้านเมืองท่าชายฝั่งของอินเดีย หรือติดต่อผ่านพ่อค้าชาวอินเดียที่เดินทางมาจากเมืองท่าต่าง ๆ ก็เป็นได้          ๕. พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา จัดแสดงอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์          พระพุทธรูปปางปฐมเทศนาหรือที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อศิลาขาว” ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๔ พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท เป็นพระพุทธรูปที่นำมาประกอบจาก ๕ ส่วนคือ พระเศียรและบั้นพระองค์ได้มาจากวัดพระยากง ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนพระอุระ พระเพลา และพระบาท ได้จากวัดพระเมรุ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยช่างในอดีตใช้เทคนิคในการเข้าสลักลิ่มเพื่อยึดชิ้นส่วนทั้ง ๕ เข้าด้วยกัน          เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙ อาจารย์เศวต เทศน์ธรรม ผู้ซ่อมแซมพระพุทธรูปศิลาขาวทั้ง ๓ องค์คือ ประดิษฐานที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ ได้ใช้ปูนซีเมนต์และปูนปลาสเตอร์ในการซ่อมองค์พระ และใช้แท่งสแตนเลสเป็นแกนเพื่อยึดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งทั้งสามองค์ไม่พบชิ้นส่วนพระหัตถ์เลย ผู้ซ่อมแซมจึงใช้รูปแบบปางแสดงธรรมจากพระพุทธรูปนั่งขนาดเล็กในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา เป็นต้นแบบในการซ่อมแซม          ๖. พระหายโศก จัดแสดงห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์          พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา ประทับขัดสมาธิเพชร พระบาทไขว้กันแลเห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง มีพระรัศมีรูปดอกบัวตูม พระโอษฐ์แย้มเล็กน้อย พระวรกายอวบอ้วน พระหัตถ์ขวาคว่ำอยู่บนพระชานุ (เข่า) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงด้านล่าง เป็นท่านั่งที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติตอน “มารผจญ” เป็นกิริยาที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกแม่พระธรณีมาเป็นพยานการบำเพ็ญพระบารมี ส่วนฐานพระพุทธรูปมีลักษณะเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย โดยบัวหงายมีขนาดใหญ่กว่าบัวคว่ำและปลายกลีบดอกบัวมีความอ่อนช้อย กลีบบัวมีการตกแต่งด้วยลายพฤกษา และลายช่อดอกโบตั๋น จากพุทธลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงพุทธศิลป์ล้านนาแบบสิงห์ ๑ กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ อันเป็นยุคทองของล้านนาที่นิยมสร้างพระพุทธรูปแบบฐานบัวงอน          ด้านหลังที่ฐานพระพุทธรูปมีจารึกด้วยอักษรไทย ภาษาไทย สมัยรัตนโกสินทร์ ว่า “พระหายโศก มาถึงกรุงเทพฯ วัน ๑ ๑๑+ ๕ ค่ำ (วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๕) ปิ์มเสงยังเป็นอัฐศก ศักราช ๑๒๑๘” ซึ่งตรงกับวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๙๙ ในรัชกาลที่ ๔          นาม “หายโศก”สะท้อนถึงธรรมเนียมการตั้งชื่อพระพุทธรูปล้านนาที่มักตั้งตามคติความเชื่อด้านพระพุทธคุณในเชิงขจัดปัดเป่า เคราะห์ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่อาจนำความทุกข์โศกมาสู่ผู้กราบไหว้บูชา แต่เดิมนั้นพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปของหลวง และใช้ในการพระราชพิธีเท่านั้น ก่อนที่กรมพระราชพิธีจะส่งมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ปัจจุบันนี้ จัดแสดงอยู่ที่ห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์          ๗. ศิลาจารึกหลักที่ ๑ จัดแสดงห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์          เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และเสด็จจาริกธุดงค์ไปยังหัวเมืองเหนือเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๗๖ ทรงพบศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงและพระแท่นมนังคศิลาบาตร ที่เนินปราสาทเก่าสุโขทัย และทรงอ่านจารึกได้เป็นพระองค์แรก เนื้อหาในศิลาจารึกแบ่งออกเป็นสามตอนคือ ตอนที่ ๑ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑ ถึง บรรทัดที่ ๑๘ เล่าประวัติของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ตั้งแต่ประสูติจนได้เสวยราชสมบัติใช้คำว่า “กู” เป็นหลัก ส่วนตอนที่ ๒ เล่าเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมถึงธรรมเนียมในเมืองสุโขทัย เล่าถึงการประดิษฐ์ตัวอักษรไทยเมื่อพ.ศ.๑๘๒๖ การสร้างพระธาตุเมืองศรีสัชนาลัยเมื่อพ.ศ.๑๘๒๘ และสร้างพระแท่นมนังคศิลาเมื่อพ.ศ.๑๘๓๕ โดยใช้คำว่า “พ่อขุนรามคำแหง” แทนคำว่า “กู” และจารึกตอนที่ ๓ ตั้งแต่ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๒ ถึงบรรทัดสุดท้าย เป็นคำสรรเสริญพระเกียรติคุณพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และกล่าวถึงอาณาเขตเมืองสุโขทัยที่แผ่ออกไป สันนิษฐานว่า เป็นการจารึกภายหลังหลายปี เนื่องจากตัวหนังสือไม่เหมือนกับตอนที่ ๑ และตอนที่ ๒ จารึกหลักนี้กำหนดอายุตามปีศักราชที่ระบุไว้คือพ.ศ.๑๘๓๕ และเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) องค์การยูเนสโก          ๘. พระอิศวร จัดแสดงห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์          พระอิศวรสำริด สมัยสุโขทัย อายุประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลักษณะตามประวัติกล่าวว่ารับมาจากเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพฯ สันนิษฐานว่าคือ พระมเหศวร ที่กล่าวถึงในจารึกวัดป่ามะม่วงว่า พระมหาธรรมราชาธิราช ที่ ๑ (พญาลิไท) โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ในหอเทวาลัยมหาเกษตรพิมาน คู่กับพระวิษณุอีกองค์หนึ่ง เมื่อปีฉลู มหาศักราช ๑๒๗๑ ตรงกับปีพุทธศักราช ๑๘๙๓          ๙. พระมหาพิชัยราชรถ จัดแสดงที่โรงราชรถ          พระมหาพิชัยราชรถ เป็นราชรถที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๓๓๘ มีขนาดกว้าง ๔.๘๕ เมตร ความยาวรวมงอนรถ ๑๘ เมตร (ความยาวเฉพาะตัวรถ ๑๔.๑๐ เมตร) สูง ๑๑.๒๐ เมตร น้ำหนักรวม ๑๓.๗๐ ตัน ปัจจุบันใช้กำลังพลฉุดชักจากกรมสรรพาวุธทหารบก ๒๑๖ นาย เมื่อแรกสร้างนั้นโปรดให้สร้างขึ้นเป็นราชรถขนาดใหญ่ตามโบราณราชประเพณีที่เคยมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพื่อเชิญพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกออกถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง นับแต่นั้น พระมหาพิชัยราชรถเชิญพระโกศพระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี และพระบรมวงศ์ษานุวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าในสมัยต่อ ๆ มา และใน พ.ศ.๒๕๖๐ ใช้ทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปัจจุบันพระมหาพิชัยราชรถได้เก็บรักษาไว้ ณ โรงราชรถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร          ๑๐. พระที่นั่งบุษบกเกริน จัดแสดง ณ พระที่นั่งอิสราวินิจฉัย           พระที่นั่งบุษบกเกรินหรือบุษบกราชบัลลังก์ ตั้งอยู่ด้านหน้าพระทวารกลางของพระที่นั่งมุขกระสัน ด้านทิศตะวันออกของหมู่พระวิมาน เป็นพระที่นั่งไม้ทรงบุษบกขนาบด้วยเกรินทั้งซ้ายขวา ตกแต่งด้วยไม้แกะสลักรูปยักษ์ ครุฑ และเทพนม ปิดทองประดับกระจก สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงใช้เสด็จออกรับขุนนางหรือออกว่าราชการ ซึ่งบริเวณพื้นที่โดยรอบเรียกว่า ท้องพระโรงหน้า ถัดจากพระที่นั่งบุษบกเกรินเป็นชาลาและมีอาคารทิมคดตั้งอยู่สามด้านเรียกว่า ทิมมหาวงศ์ สำหรับเป็นที่ประชุมเหล่านักปราชญ์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ต่อมาจากมุขกระสันและรื้อทิมมหาวงศ์ออก โดยมีพระที่นั่งบุษบกเกรินประดิษฐานเป็นประธานในอาคารหลังใหม่นามว่า พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้ประชาชนเข้าชมทุกวันพุธ – อาทิตย์ เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์ - อังคาร) สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐-๒๒๒๔-๑๔๐๒, ๐-๒๒๒๔-๑๓๓๓


black ribbon.