...

ด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์
พระเจ้าไม้

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่พระเจ้าไม้พระไม้ หรือ พระเจ้าไม้ หมายถึง พระพุทธรูปที่แกะจากไม้ชนิดต่าง ๆ โดยนิยมแกะขึ้นจากไม้ท่อนเดียว แต่ก็มีบางองค์แกะจากไม้หลายชนิดมาประกอบเข้าด้วยกัน มักสร้างในช่วงเดือนยี่เป็ง หรือ เดือนสิบสองของภาคกลาง .- คติเกี่ยวกับไม้มงคลที่ใช้สร้างพระไม้จากการศึกษาของ ผศ.วิลักษณ์ ศรีป่าซาง พบว่าไม้ที่นิยมนำมาสร้างพระไม้ คือ ไม้สัก ไม้สะหรี (โพธิ์) ไม้สะเลียม (สะเดา) ไม้แก่นจันทน์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลมาสร้างพระไม้อีกด้วยพระไม้ที่สร้างจากไม้ท่อนเดียวมักเป็นของเจ้าภาพที่มีอำนาจหรือผู้นำชุมชน สร้างถวายวัดเพื่อหวังอานิสงค์ให้ได้ไปพบพระศรีอริยเมตไตรย (พระอนาคตพุทธเจ้า) และสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา หรือตั้งใจถวายเป็นเหตุปัจจัยให้ถึงนิพพานในที่สุดอนึ่งในบางท้องที่ทั้งในพม่าและไทย มีการสร้างพระไม้ด้วยหวายหรือไม้ไผ่จักตอก เอามาสานเป็นองค์พระแล้วพอกครั่ง หรือปูน ลงรักปิดทองให้สวยงามเรียกว่า พระสาน พระเจ้าอินทร์สาน หรือ พระอินทร์ถวายพระไม้อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า “พระเจ้าพร้าโต้” ผู้สร้างจะแกะไม้เป็นรูปพระโดยใช้เวลาเพียง 1 วัน ทำให้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พระเจ้าทันใจ”พระไม้ที่สร้างโดยประกอบขึ้นจากไม้หลายท่อน เป็นพระไม้ชนิดพิเศษ เรียกว่า “พระเจ้าไม้ชาตา” (พระเจ้าชะตา) หรือ “พระเจ้าไม้สมฤทธี” หรือ “พระเจ้าไม้เจ็ดเยื่อง” เชื่อว่าผู้ใดสร้างหวังสิ่งจะสมความปรารถนาทุกประการ ผู้สร้างมักเป็นเจ้านายและขุนนาง.- อบรมสมโภชพระไม้เมื่อสร้างพระไม้เสร็จแล้ว จะมีพิธี “บวชพระเจ้า” “เบิกบายรวายสีพระเจ้า”หรือ “อบรมสมโภชพระเจ้า” คือพิธีพุทธาภิเษกเพื่อสถาปนาองค์พระให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ โดยตำราของวัดเมืองราม ตำบลนาเหลือง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ระบุว่า เจ้าภาพสร้างพระเกิดวันใดก็ให้ประกอบพิธีในวันนั้น เช่น เจ้าภาพเกิดจันทร์ ก็ให้บวชพระเจ้าในวันจันทร์ ส่วนเครื่องประกอบในพิธีการ เช่น เบี้ยหมื่น หมากหมื่น ฯลฯ.- ข้อมูลประวัติศาสตร์จากจารึกฐานพระไม้บริเวณฐานของพระไม้โดยส่วนใหญ่มักปรากฏคำจารึกด้วยอักษรธรรมล้านนา ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ช่วยให้เราทราบอายุสมัยและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ๆ ได้ พบทั้งแบบจารึกข้อความยาว ๆ หรือแบบสั้น ๆ สองสามคำ คำจารึกส่วนมากมีใจความคล้าย ๆ กัน โดยมักมีข้อความเรียงลำดับตามนี้ วัน เดือน ปีที่สร้าง : ส่วนมากจะขึ้นด้วยปีจุลศักราช ตามด้วยตัวเลขปี ชื่อปีหนไท ชื่อเดือน หรือลำดับเดือน บอกวัน (นับแบบมอญ เช่น เมงวัน) ตามด้วยตัวเลขลำดับวัน ตามด้วยวันไท ไทรวายสีเจ้าศรัทธาหรือนามผู้สร้างพร้อมคณะ : นิยมขึ้นต้นด้วยคำว่า ปถมมูลลศรัทธา มูลลศรัทธา หรือสัทธา ตามด้วยหลายนามผู้สร้างหรือถวายสิ่งที่สร้าง : ส่วนมากจะใช้คำว่า ได้สร้างพุทธรูปเจ้าองค์นี้ หรือบอกลักษณะของพระพุทธรูปที่สร้างเช่น ได้สร้างยังพุทธรูปเจ้ารับบาตร แลห้ามมารเจตนาในการสร้าง : เจตนาหลักในการสร้างเกือบทุกองค์มักเพื่อค้ำชูพระศาสนาให้ถึง 5,000 พระวัสสาคำปรารถนาของผู้สร้าง : คำปรารถนามักเขียนต่อจากเจตนาการสร้าง มีใจความสำคัญคือ ขอให้ได้พบกับความสุข และเป็นความสุข 3 ประการ (ความสุขในเมืองคน สุขในเมืองฟ้า สุขหลังความตาย)คำบาลี : ปิดท้ายด้วยคำบาลีซึ่งมีใจความเช่นเดียวกับคำปรารถนาของผู้สร้าง การจบด้วยคำบาลีเหมือนเป็นการเน้นย้ำให้คำปรารถนาเป็นจริงในอนาคต.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ นำพระเจ้าไม้มาจัดแสดงเนื่องในกิจกรรมไหว้พระปีใหม่ ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเยี่ยมชมและสักการะได้ ระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2566 – 7 มกราคม 2567วันเปิดทำการ : วันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09:00 - 16:00 น.วันปิดทำการ : วันจันทร์ - วันอังคาร*เปิดให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ (29 ธ.ค. 66 - 1 ม.ค. 67) ----------------------------------------------------อ้างอิงวิลักษณ์ ศรีป่าซาง. พระเจ้าไม้ล้านนา. เชียงใหม่ : สีสันพรรณไม้, 2554. หน้า 101 – 128.ศิรพงศ์ ศักดิ์สิทธิ์. คติการสร้างพระพุทธรูปไม้ล้านนา. ดำรงวิชาการ , Vol 11, No.2, 2012.

เฟิ่งหวง : นกมงคลในความเชื่อของวัฒนธรรมจีน

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ เฟิ่งหวง : นกมงคลในความเชื่อของวัฒนธรรมจีนจานลายครามสมัยราชวงศ์หมิงใบหนึ่ง ที่พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดหนานช้าง ในเขตเวียงกุมกาม อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ มีการเขียนภาพ ซาน เฟิ่งหวง หั่วจู หรือ ราชาแห่งนกทั้งสามกับไข่มุกไฟ ซึ่งมีความหมายมงคล ดังนี้.เฟิ่งหวง (凤凰) หรือ ราชาแห่งนกทั้งปวงในวัฒนธรรมจีน มักปรากฏอยู่เสมอในงานศิลปะและวรรณกรรมของจีนการปรากฏตัวของเฟิ่งหวงเป็นลางบอกถึงสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง ความเมตตา คุณธรรม ความยั่งยืน ความเป็นอมตะ เฟิ่งหวง เกิดขึ้นประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว วาดเป็นนกตัวผู้ (เฟิ่ง) และ นกตัวเมีย (หวง) ต่อมาถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เกิดเป็น “เฟิ่งหวง” นกเพศเมีย ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนจักรพรรดินี เมื่อแปลคำว่า เฟิ่งหวง เป็นภาษาอังกฤษ มักใช้คำว่า ฟีนิกซ์ (Phoenix) เนื่องจากฟีนิกซ์มีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงและมีคุณสมบัติหลายอย่างใกล้เคียงกับเฟิ่งหวง โดยเฉพาะการฟื้นคืนชีพจากความตาย หรือ ความเป็นอมตะ .หัวจู่ (火珠) หรือ ไข่มุกไฟ เป็นสัญลักษณ์มงคลในวัฒนธรรมจีน ที่รวมแสงสว่างและความอบอุ่นสาดส่องทั่วแผ่นดิน ไม่มีวันดับสูญสลายตลอดกาลนาน.ซานเฟิ่งหวง (三凤凰) ราชานก 3 ตัว เลข 3 ในวัฒนธรรมจีนเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตมนุษย์ใน 3 สถานะคือ เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส (หรือ การเกิด การแต่งงาน การสิ้นสุดของชีวิต) และคำว่า 3 (ซาน) พ้องเสียงกับคำว่า เซิง ที่หมายถึงการเกิด.ภาพ ซาน เฟิ่งหวง หั่วจู จึงมีความหมายมงคลครอบคลุมชีวิตมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดให้มีความสุข ความเจริญในทุก ๆ ด้านตลอดไป.เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2567 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ได้จัดทำยาดมสมุนไพรไม้หอม* ลายภาพซาน เฟิ่งหวง หัวจู่ อันมงคลนี้ (จำนวนจำกัด) มอบให้แทนความรักและความปรารถนาดี ส่งเป็นความสุขปีใหม่แด่ท่านที่เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ -----------------------------------------------------------*รับฟรี ! ยาดมสมุนไพรไม้หอมเมื่อ check-in และกด liked เพจพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ (รับได้ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตร)

ตุงสามหาง

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ตุงสามหางตุง หมายถึง ธงแขวนแบบหนึ่งในศิลปะล้านนา ตามความเชื่อของคนล้านนา ตุง ไม่ได้เป็นเพียงของใช้สำหรับการประดับตกแต่งหรือสื่อถึงสัญลักษณ์ความเป็นล้านนาเท่านั้น แต่ตุงยังมีความหมายและความสำคัญซ่อนอยู่ ใช้เป็นเครื่องประกอบสำคัญในงานประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ตามความเชื่อ หรือถวายเป็นพุทธบูชา โดยมีทั้งรูปแบบที่ใช้สำหรับงานมงคล งานอวมงคล หรือใช้ได้ทั้งสองงาน . “ตุงสามหาง” มีอีกชื่อเรียกว่า ตุงฮูปคน หรือ ตุงผีต๋าย เป็นตุงแบบที่ใช้สำหรับงานอวมงคลเท่านั้น เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยตุงประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. ส่วนหัว 2. ส่วนตัว ทำเหมือนแขนคน และ 3. ส่วนหาง ทำเป็น 3 ชาย รูปแบบที่พบในปัจจุบัน มีทั้งแบบที่ทำเป็นเค้าโครงรูปร่างคนอย่างชัดเจน แบบที่ทำเป็นรูปเทพนมหรือเทวดา หรือแบบที่ทำเป็นรูปเจดีย์และมีรูปโกศอยู่ภายใน โดยทุกแบบจะมีชาย 3 หางห้อยลงมา วัสดุที่ใช้ทำจากผ้าหรือกระดาษสา ตกแต่งด้วยกระดาษเงินหรือกระดาษทอง เป็นลวดลายต่าง ๆ สำหรับของพระภิกษุสงฆ์ ตัวตุงจะใช้ผ้าสีเหลือง หรือผ้าสบงผืนใหม่.ในอดีตช่างจะทำตุงสามหางต่อเมื่อมีคนตายแล้วเท่านั้น ไม่มีการทำเตรียมไว้ล่วงหน้า และจะทำรูปลักษณ์ของตุงตามลักษณะของผู้ตาย เช่น ผอม อ้วน สูง เตี้ย เพื่อเป็นการบอกกล่าวให้คนที่มางานศพทราบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ตาย แต่ปัจจุบันไม่ได้ทำในลักษณะนี้แล้ว ใช้วิธีการเขียนแทน โดยเขียนระบุบอกชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดและเสียชีวิตไว้บนตุง. เมื่อถึงวันเผาศพหรือเสียศพ จะมีคนแบกคันตุงสามหางพร้อมสะพายถุงข้าวด่วน เดินนำหน้าขบวนแห่ศพไปสู่สุสานหรือป่าช้า และนำไปไว้ติดกับเมรุเผาศพพร้อมเผาไปพร้อมกับศพด้วย มีความเชื่อกันว่าคนถือตุงห้ามหันหลังมองกลับมาจนกว่าจะไปถึงป่าช้า เพราะหากหันกลับมาเชื่อว่าจะมีคนตายเพิ่มอีก ในอดีตจะมีการเลือกคนที่ถือตุงนำขบวนจะต้องเป็นคนที่มีความประพฤติดี มีศีลธรรม แต่ปัจจุบันจะเป็นใครก็ได้ที่รับอาสาทำหน้าที่นี้ .ความหมายเกี่ยวกับตุงสามหางมีผู้ตีความไว้หลากหลายนัย อาทิเช่น เชื่อว่าหางตุงทั้ง 3 หางหมายถึง ที่พึ่งสูงสุดของมนุษย์คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บ้างก็เชื่อว่าหมายถึง โลกทั้ง 3 ของมนุษย์คือ สวรรค์ มนุษยโลก และนรกภูมิ บ้างก็เชื่อว่าหมายถึง อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เป็นต้น--------------------------------------------อ้างอิง- ยุพิน เข็มมุกด์. ช่อและตุง ศิลป์แห่งศรัทธา ภูมิปัญญาท้องถิ่น. เชียงใหม่ : โรงพิมพ์แสงศิลป์, 2553. หน้า 142, 191-199. - คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดเชียงใหม่. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2542 หน้า 151.- ดอกรัก พยัคศรี. ตุง. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สืบค้นเมื่อ 25 ตุลาคม 2566 จาก https://www.sac.or.th/.../trad.../th/equipment-detail.php...ภาพประกอบ- ตุงสามหาง จาก ร้านส.สว่าง ตุงสามหาง จังหวัดเชียงใหม่ (ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลและอนุญาตให้ถ่ายภาพ) - ตุงสามหางรูปคน จาก งานศพในจังหวัดลำปาง (ถ่ายโดยคุณอริยธัช มูลน้อย)

ผีปู่ย่า

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ผีปู่ย่า ผี ตามความเชื่อของชาวล้านนาไทยโบราณ นอกจากจะหมายถึง วิญญาณของคนที่ล่วงลับไปแล้ว ยังรวมถึง ผีในลัทธิที่เคารพนับถืออีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าเป็นผีที่มีอิทธิฤทธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้คุณและโทษแก่คนได้ โดยสามารถแบ่งผีออกได้เป็น 2 ประเภท คือ1. ผีที่เคารพยำเกรงสืบต่อกันมาในวงศ์ตระกูล เช่น ผีปู่ย่า ผีโป่งป่าถ้ำดอยหลวง2. ผีที่ต้องเคารพเชื่อถือตามความนิยมของชนชาวอื่นที่เข้ามาเป็นใหญ่หรือมาเป็นครูบาอาจารย์อยู่ในบ้านเมืองตั้งแต่โบราณ เช่น ผีครู (ผียักษ์), ผีมดหรือผีเมง, ผีแมน (ผีดิบ), ผีนาค.โดยในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ “ผีปู่ย่า” ซึ่งจัดอยู่ในผีประเภทแรก คือ ผีที่เคารพยำเกรงสืบต่อกันมาในวงศ์ตระกูล หรือเรียกได้ว่าเป็น ผีบรรพบุรุษ หรือ ผีประจำตระกูลผีปู่ย่า แบ่งออกมาได้เป็น 4 ชนิด คือ ผี สาง เทวดา และเปรต (เผด)1. ผี คือ วิญญาณของผู้ที่ตอนมีชีวิตอยู่ประพฤติตนดี ได้ก่อร่างสร้างวงศ์ตระกูล ผีจะอาศัยอยู่ยังตามอาสน์ หอ หรือสถานที่ที่ลูกหลานทำไว้ให้สถิต2. สาง คือ วิญญาณที่ตายโหง ตายห่า หรือตอนมีชีวิตอยู่ประพฤติตนเป็นคนชั่วช้า สางจะไม่มีที่อยู่อาศัย เพราะผีจะรังเกียจสาง คอยขับไล่ไม่ให้เข้ามาอยู่ปะปนกับผี ต้องคอยเร่ร่อนหลอกคนให้สะดุ้งตกใจ และแย่งเอาโชคลาภของคนไป หากญาติพี่น้องจะทำบุญอุทิศผลให้ก็ต้องแอบทำ ไม่ให้ผีรู้ คือไปทำตามตรอก ซอก ซอยทางสามแพร่ง หรือข้างทางแทน 3. เทวดา คือ วิญญาณของเจ้านาย เจ้าบ้านผ่านเมือง ที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่คนจำนวนมาก ที่เป็นกษัตริย์จะได้เป็น พระยาอินตา คือ พระอินทร์ 4. เปรต (เผด) คือ วิญญาณของเจ้านายเจ้าบ้านที่ทำตนไม่เที่ยงตรง โดยปกติเป็นคนพาล และคนที่ทำลายศาสนสถาน ฉ้อโกง ทำของปลอม เปรตต้องอาศัยอยู่ตามวัดคอยรับผลเมตตาจิต ต้องคอยตัดหญ้าในวัดโดยการกัดหญ้าทีละเส้น และแลบลิ้นเลียขัดพื้นโบสถ์วิหารให้สะอาด เพื่อใช้หนี้เวรกรรมที่ทำไว้เมื่อตอนเป็นคน อาหารก็ไม่สามารถกินจากที่ญาติอุทิศไปให้ได้ ต้องคอยกินเศษอาหารที่พระนำไปทิ้ง หรือคอยหลอกแล้วแย่งมากินเอา.สางกับเปรตจะเป็นผีที่น่าเกลียดน่ากลัว ไม่ทำคุณประโยชน์ให้แก่คน แต่ผีกับเทวดานั้นจะคอยช่วยเหลือ ปกปักรักษาคนให้มีความสุข ความเจริญ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นลูกหลานของผีเหล่านั้น จะได้รับประโยชน์จากผีหรือเทวดามากกว่าผู้อื่น มักจะคอยติดตามลูกหลานไปปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ ลูกหลานจึงเคารพยำเกรงและคอยเส้นไหว้บวงสรวงให้อยู่เสมอ พร้อมจัดที่ทางให้สถิตอยู่ เช่น ทำเป็นหิ้งไว้บนฝาหัวนอนเหมือนตั้งพระพุทธรูป หรือสร้างเป็นหอ เป็นห้องไว้ให้ .การบวงสรวงผีปู่ย่านั้น มักจะทำการประมาณเดือน 7-8-9 เหนือ (ตรงกับเดือนเมษายน – มิถุนายน) ของทุกปี แล้วแต่ความพร้อมหรือความสะดวกของแต่ละตระกูล โดยมีการนำเครื่องบวงสรวง เช่น หัวหมูไก่ต้ม สำรับคาวหวาน สุรา ดอกไม้ธูปเทียน น้ำขมิ้นส้มป่อย หรือแล้วแต่จะกำหนด มาสังเวย นอกจากนี้อาจจะทำเนื่องในโอกาสที่ญาติ ๆ บนบานศาลกล่าวผีปู่ย่าให้ช่วยคนในตระกูลแล้วหายเจ็บป่วยก็ได้ --------------------------------------อ้างอิง - แก้วมงคล ชัยสุริยันต์. ผีของชาวล้านนาไทยโบราณ. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2486. หน้า 4-19.- สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ. ชีวิตไทย ชุด ฮีตฮอยเฮา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2538 หน้า 185.

พระพุทธรูปปางมารวิชัย หินทรายสกุลช่างพะเยา

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่พระพุทธรูปปางมารวิชัย หินทรายสกุลช่างพะเยารูปแบบ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21วัสดุ : หินทรายประวัติ : โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคเหนือ) สำรวจรวบรวมได้จากวัดพระเกิดคงคาราม อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และมอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529ลักษณะ : พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับขัดสมาธิราบบนฐานหน้ากระดานเกลี้ยง พระพักตร์รูปไข่ พระขนงทำเป็นสัน ยาวต่อกันเป็นรูปปีกกา และเชื่อมต่อกับพระนาสิกที่โด่ง พระโอษฐ์บนหยัก ทำมุมตวัดขึ้นเป็นแนวร่องเชื่อมกับพระนาสิก เม็ดพระศกทำเป็นตารางสี่เหลี่ยมส่วนยอดแหลม พระวรกายยืดสูง บั้นพระองค์เล็ก ปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเสมอกัน ครองจีวรห่มเฉียง ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี ปลายแยก 2 แฉก---------------------------------------------สกุลช่างพะเยาจัดเป็นสกุลช่างหนึ่งในศิลปะล้านนา เนื่องจากพบการสร้างพระพุทธรูปที่มีรูปแบบเฉพาะ โดยช่างเมืองพะเยามักใช้หินทรายเป็นวัสดุหลักในการสร้างงานประติมากรรม .พระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยามีวิวัฒนาการสัมพันธ์กับพระพุทธรูปแบบสำริด ในระยะแรกจากหลักฐาน พบว่าอยู่ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 19 มีลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพระพุทธรูปแบบเชียงแสนสิงห์หนึ่ง ต่อมาราวช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จากการอัญเชิญพระสุมนเถระขึ้นมาเผยแพร่พุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ ทำให้ปรากฏอิทธิพลศิลปะสุโขทัย จนถึงช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคทองของล้านนาก็ได้พัฒนารูปแบบจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของสกุลช่างพะเยาเอง และเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่ราวช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 กลายเป็นแบบพื้นเมืองหรือท้องถิ่นมากขึ้น .พระพุทธรูปหินทรายที่จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่องค์นี้ มีลักษณะเฉพาะที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยา ตัวอย่างเช่น การทำพระขนงโก่งเป็นสันโค้งต่อกันเป็นรูปปีกกาเชื่อมต่อลงมากับพระนาสิก การทำเม็ดพระศกเป็นตารางสี่เหลี่ยมคล้ายทรงพีระมิด เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากข้อจำกัดของวัสดุหินทราย พระหัตถ์มีลักษณะอูม นิ้วพระหัตถ์ยาวเรียว ปลายนิ้วยาวเสมอกัน และหัตถ์ซ้ายโค้งเข้าหาพระวรกาย นอกจากนี้มีลักษณะบางประการที่มีวิวัฒนาการเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น พระวรกายที่ยืดสูง พระโอษฐ์ที่ตวัดขึ้นและทำเป็นแนวร่องเชื่อมต่อกับพระนาสิก สันนิษฐานว่าเป็นเทคนิคที่ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการพอกรัก เพื่อให้รักยึดติดกับหินได้.---------------------------------------------อ้างอิงศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 259-262.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. พระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา (The Payao School sandstone Buddha image) (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2532) หน้า 120-128.สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะภาคเหนือ : หริภุญชัย – ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2555. หน้า 152-156.

พระสาวก รูปแบบ ศิลปะหริภุญไชย พุทธศตวรรษที่ 17-18

พระสาวกรูปแบบ ศิลปะหริภุญไชย พุทธศตวรรษที่ 17-18วัสดุ ดินเผาประวัติ นายไกรศรี นิมมานเหมินทร์ มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ลักษณะ พระสาวกประทับนั่งขัดสมาธิเพชร พนมมือระดับพระอุระ พระขนงต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรกลมและพองโต ตรงกลางมีเจาะรูพระเนตร พระโอษฐ์แบะกว้าง เหนือพระโอษฐ์ทำเป็นร่องคล้ายพระมัสสุ มีขอบไรพระศก ขมวดพระเกศาเป็นทรงกรวยแหลม ทรงครองจีวรเรียบห่มคลุม ชายผ้าที่หน้าตักทำเป็นแผ่นรูปครึ่งวงกลม-------------------------------------------------พระสาวกองค์นี้เป็นประติมากรรมดินเผาในศิลปะหริภุญไชยที่ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยส่วนใหญ่มักพบแบบชำรุดหรือมีขนาดเล็ก มีลักษณะรูปแบบที่ใกล้เคียงกับพระพุทธรูปปางสมาธิดินเผา ที่พบใกล้กับเจดีย์เปตเลก (Hpet-Leik) หมู่บ้านติรัปยิตสยา (Thiripyisaya) เมืองพุกาม.เป็นงานที่มีทั้งอิทธิพลศิลปะพุกามและมีลักษณะเฉพาะของศิลปะหริภุญไชยเอง.โดยอิทธิพลจากพุกามเห็นได้จากการทำขัดสมาธิเพชรที่ไขว้กันจนเห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้างในระดับเดียวกันอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสายวิวัฒนาการที่ทำสืบต่อจากศิลปะปาละของอินเดีย และการทำชายผ้าที่หน้าตักเป็นแผ่นรูปครึ่งวงกลม.ส่วนลักษณะที่มีการพัฒนาเป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปะหริภุญชัยเอง ตัวอย่างเช่น การทำพระขนงต่อกันเป็นปีกกา และยกเป็นสันขึ้นมา พระเนตรกลมพองโตเป็นลักษณะเด่นซึ่งมักพบอยู่ในกลุ่มพระสาวก เทวดา และรูปบุคคล ร่องเหนือพระโอษฐ์คล้ายพระมัสสุ ขอบพระพักตร์เป็นสันขึ้นมาคล้ายไรพระศก เป็นต้น .นอกจากนี้ด้านหลังประติมากรรมมีลักษณะเรียบตรง มีขมวดพระเกศาเพียงครึ่งเดียวไม่เต็มพระเศียร แสดงให้เห็นว่า พระสาวกนี้เป็นประติมากรรมนูนสูงเพื่อใช้ประดับผนังก็เป็นได้-------------------------------------------------อ้างอิง- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 42-50.รูปภาพภาพพระพุทธรูปปางสมาธิ- Gordon H. Luce and Bo-Hmu Ba Shin. Old Burma: Early Pagán. Artibus Asiae. Supplementum, Vol. 25, Old Burma: Early Pagán. Volume Three: Plates (1970), plate 410 b.


Messenger