องค์ความรู้ เรื่อง ๙ คำสอนจาก "คำพ่อสอน" หลักนำความสุขที่ยั่งยืนแห่งองค์พระราชา

เนื่องในวันที่ ๑๓ ตุลาคม "วันนวมินทรมหาราช" วันคล้ายวันสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปวงชนชาวไทยต่างน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลที่ทรงมีต่อแผ่นดินไทยตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ
พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานไว้เปรียบเสมือน "มรดกทางปัญญา" ที่ล้ำค่า เป็นดวงประทีปส่องทางให้พสกนิกรดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือ "คำพ่อสอน: ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสุขในการดำเนินชีวิต" ที่จัดทำขึ้นในโอกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ นั้น ได้รวบรวมหลักคิดสำคัญที่ครอบคลุมทุกมิติแห่งความเป็นมนุษย์ ทั้ง กาย จิต สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิด "สุขภาวะ" ที่แท้จริง"
ในวันสำคัญนี้ ขอเชิญชวนชาวไทยทุกคนน้อมนำพระบรมราโชวาททั้ง ๙ ประการนี้ มาสู่การประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง เพื่อนำมาซึ่ง ความสุขที่แท้จริงของชีวิตและความสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างยั่งยืน ตามพระราชปณิธานแห่งองค์พระบรมราชชนกนาถของเรา
จากเนื้อหาอันลึกซึ้งในหนังสือเล่มนี้ จึงขออัญเชิญ ๙ คำสอนหลัก ที่เป็นแก่นแห่งความสุขตามแนวพระราชดำริ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและนำทางในการประพฤติปฏิบัติสืบไป
๑. ความสุขด้านกาย: การใช้แรงกายให้พอดี
พระองค์ทรงสอนว่า สุขภาพกายเป็นรากฐานของชีวิต การมีสุขภาวะที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลร่างกายอย่างถูกต้องตามธรรมชาติ
พระราชดำรัส: "ร่างกายของเรานั้น ธรรมชาติสร้างมาสำหรับให้ออกแรงใช้งาน มิใช่ให้อยู่เฉย ๆ ถ้าใช้แรงให้พอเหมาะพอดีโดยสม่ำเสมอ ร่างกายก็เจริญแข็งแรง คล่องแคล่ว และคงทนยั่งยืน..." (หน้าที่ ๑๐)
๒. ความสุขด้านจิตใจ: การมี "สติ" และความสงบภายใน
ความสุขทางใจเกิดขึ้นจากการฝึกฝนจิตให้ตั้งมั่น รู้จักควบคุมความคิดและอารมณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการคิดและการกระทำที่ถูกต้อง
พระบรมราโชวาท: "การทำความสงบนั้นต้องเริ่มที่ภายในตัว ในใจก่อน เมื่อภายในสงบ ความคิดใจก็ตั้งมั่นสามารถคิดอ่านด้วยเหตุผล ความละเอียดรอบคอบและสามารถค้นหา จำแนกข้อเท็จจริง ถูกผิด ดีชั่วได้ โดยกระจ่างและถูกต้อง จึงเกื้อกูลให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีที่งามตามแนวทางที่สุจริตเหมาะสมได้" (หน้าที่ ๗๕)
๓. ความสุขของการอยู่ร่วมกัน: รากฐานแห่งความสามัคคี
ความสุขที่สมบูรณ์ต้องเป็นความสุขร่วมกันในสังคม ซึ่งเกิดขึ้นได้แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หากตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน
พระราชดำรัส: "ความสามัคคีนั้นอาจหมายความถึงเห็นชอบเห็นพ้องกันโดยไม่แย้งกัน ความจริงงานทุกอย่างหรือการอยู่เป็นสังคมย่อมต้องมีความแย้งกัน ความคิดต่างกันซึ่งไม่เสียหาย แต่อยู่ที่จิตใจของเรา ถ้าเราใช้หลักวิชาและความปรองดอง ด้วยการใช้ปัญญา การแย้งต่างๆ ย่อมเป็นประโยชน์" (หน้าที่ ๒๖๑)
๔. คุณธรรม: ความซื่อสัตย์สุจริตและความหนักแน่น
ความสุจริตและมั่นคงในจิตใจเป็นรากฐานสำคัญ ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความเจริญและตัดขาดจากความเสื่อมเสียทั้งปวง
พระบรมราโชวาท: "รากฐานที่นับว่าสำคัญ คือรากฐานทางจิตใจ อันได้แก่ความหนักแน่นมั่นคงในสุจริตธรรมอย่างหนึ่งในความมุ่งมั่นที่จะประกอบกิจการงานให้ดีจนสำเร็จอีกอย่างหนึ่ง เหตุใดจึงดึงต้องมีความสุจริตและความมุ่งมั่น ก็เพราะความสุจริตนั้นย่อมกีดกั้น บุคคลออกจากความชั่วและความเสื่อมเสียทั้งหมดได้" (หน้าที่ ๑๖๗)
๕. คุณธรรม: วิริยะอุตสาหะและความกล้าเผชิญตนเอง
ความสำเร็จทุกอย่างต้องอาศัยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ และกล้าที่จะเอาชนะความอ่อนแอหรือความขัดแย้งในตนเอง
พระราชดำรัส: "ความอุตสาหะหรือความกล้าก็เป็นคำที่สำคัญ ต้องกล้าที่เผชิญตัวเอง เมื่อกล้าเผชิญตัวเอง กล้าที่จะลบล้างความขี้เกียจเกียจคร้านในตัว หันมาพยายามอุตสาหะก็ได้เป็นวิริยะอุตสาหะ" (หน้าที่ ๑๘๗)
๖. คุณธรรม: การมีเหตุผลและความพอประมาณ (รู้จักประมาณตน)
การรู้จักประเมินตนเองตามความสามารถที่แท้จริง เป็นหนทางสู่การใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแก่นของความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก
พระบรมราโชวาท: "การรู้จักประมาณตน ได้แก่การรู้จักและยอมรับว่าตนเองมีภูมิปัญญาและความสามารถในด้านไหน เพียงใด และควรจะทำงานด้านไหน อย่างไร... ทั้งยังทำให้รู้จักขวนขวายศึกษาหาความรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์อยู่เสมอ" (หน้าที่ ๒๒๑)
๗. สังคม: ไมตรีจิตและการร่วมมือเกื้อกูลกัน
สังคมจะมั่นคงและเป็นสุขได้ ต้องอาศัยการยึดมั่นใน ไมตรี หรือความมีเมตตาหวังดีในกันและกัน นำไปสู่การร่วมมือที่สร้างสรรค์
พระราชดำรัส: "คุณธรรมข้อนั้นก็คือไมตรี ความมีเมตตาหวังดีในกันและกัน. คนที่มีไมตรีต่อกัน จะคิดอะไรก็คิดแต่ในทางสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน... จะทำอะไรก็ช่วยเหลือร่วมมือกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน" (หน้าที่ ๒๒๖)
๘. สังคม: ความเข้มแข็งในการยึดมั่นความดี
ท่ามกลางปัญหาและความเปลี่ยนแปลงของสังคม มนุษย์ต้องมีสติและปัญญาเป็นเครื่องกำกับ เพื่อไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงผิดไปในทางเสื่อมเสีย
พระราชดำรัส: "บุคคลผู้สามารถประคับประคองตนให้อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุขจึงต้องมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ที่จะยึดมั่นปฏิบัติมั่นตามแบบอย่างที่พิจารณารู้ชัดด้วยปัญญาแล้วว่าเป็นทางแห่งความดี ความเจริญไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้มัวเมาหลงผิดไปในทางเสื่อมเสีย" (หน้าที่ ๒๓๗)
๙. สิ่งแวดล้อม: การใช้ทรัพยากรอย่างฉลาด
ความสุขของประเทศชาติและความอุดมสมบูรณ์ถาวร ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างรอบคอบ มีเหตุผล และมุ่งถึงประโยชน์ในระยะยาว
พระราชดำรัส: "ข้อสำคัญเราจะต้องรู้จักใช้ทรัพยากรทั้งนั้นอย่างฉลาด คือไม่นำมาทุ่มเทใช้ให้สิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หากแต่ระมัดระวังใช้ด้วยความประหยัดรอบคอบ ประกอบด้วยความคิดพิจารณาตามหลักวิชา เหตุผล และความถูกต้องเหมาะสม" (หน้าที่ ๒๔๖)
ท่านที่สนใจ สามารถศึกษาค้นคว้าหนังสือ "คำพ่อสอน: ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสุขในการดำเนินชีวิต" (895.915 ภ671ค) เพิ่มเติมได้ที่ห้องหนังสือทั่วไป ชั้น ๑ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา
เรียบเรียงข้อมูลและแนะนำโดย: นางแพรว ธนภัทรพรชัย เจ้าพนักงานห้องสมุดชำนาญงาน
ออกแบบกราฟิกโดย: นายพีรยุทธ กษิติบดินทร์ชัย บรรณารักษ์ปฏิบัติการ
บรรณานุกรม
ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา. คำพ่อสอน : ประมวลพระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสุขในการดำเนินชีวิต. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ, ๒๕๕๙.
(จำนวนผู้เข้าชม 71 ครั้ง)