ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,748 รายการ
>>รอยพระพุทธบาทหลังเต่า ได้ชื่อมาจาก เพิงหินรูปร่างคล้ายเต่าที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งรอยพระพุทธบาทหลังเต่าตั้งอยู่ทางใต้สุดของกลุ่มแหล่งโบราณคดีในอุทยานประวัติศาสตร์ ลักษณะของรอยพระพุทธบาทเป็นรูปร่างคล้ายฝ่าเท้าเป็นเว้าลึกลงบนพื้นหิน โดยที่ปลายเท้าชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตรงกลางฝ่าพระบาทมีรอยสลักนูนรูปดอกบัวบานซ้อนกลีบ นอกจากนี้รอบๆรอยพระบาทยังพบรอยสกัดเป็นหลุมกลมและสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียงกันเป็นแถว ลักษณะคล้ายกับหลุมเสาของอาคารอีกด้วย ซึ่งการพบรอยหลุมกลมหรือรอยสกัดในลักษณะนี้ เราสามารถพบได้ตามโบราณสถานของภูพระบาท เช่น หอนางอุสา ลานหินหน้าวัดพ่อตา กู่นางอุสา เป็นต้น
>>>จากการสัมภาษณ์ของชาวบ้านเมื่อครั้งที่มีการสำรวจพบรอยพระพุทธบาทหลังเต่าได้ระบุว่า แต่เดิมรอยพระพุทธบาทหลังเต่าเป็นเพียงรอยสกัดบนพื้นหินอย่างหยาบๆ มีเศษหินเรียงก่อล้อม ต่อมาจึงถูกโบกปูนทับทำรูปนิ้วให้ครบถ้วนโดยชาวบ้านที่มาพบและมีความศรัทธา
>>>สำหรับอายุสมัยของรอยพระพุทธบาทหลังเต่านั้นยังไม่สามารถกำหนดอายุได้อย่างชัดเจนว่ามีอายุเก่าสุดเท่าไหร่ นักวิชาการบางท่านก็สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยทวารวดี (ราว 1000 ปีมาแล้ว) ในขณะที่บางท่านเสนอว่า น่าจะมีอายุไม่เก่ากว่าสมัยล้านช้าง จากเศษภาชนะดินเผาที่พบ
ชื่อเรื่อง มหานิปาต (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกปาลิ ขุทฺทกนิกาย (คาถาพัน)สพ.บ. 164/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 70 หน้า กว้าง 6 ซ.ม. ยาว 67 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
คาถาพระเจ้า 5 พระองค์ ชบ.ส. ๑๐๑
เจ้าอาวาสวัดเขาคันธมาทน์ ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.31/1-7
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
นิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ประจำปี ๒๕๖๔ เรื่อง “ศักย ขุนพลพิทักษ์” ได้ขยายเวลาจัดแสดงนิทรรศการออกไปถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ศักย ขุนพลพิทักษ์ : ศิลปินผู้ประสานจิตรกรรมไทยและตะวันตกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ในบรรดางานจิตรกรรมแบบสมัยใหม่ ที่รับอิทธิพลตะวันตกในแนววิชาการแบบตะวันตก (academic) พื้นฐานงานมักเริ่มจาก ภาพหุ่นนิ่ง (still life) ภาพทิวทัศน์ (landscape) และภาพเหมือน (portrait) ซึ่งให้ความสำคัญกับเรียนรู้ในแนวเสมือนจริง ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนลดทอนรูปร่าง พัฒนาเทคนิค และนำเสนอเรื่องราวให้หลากหลายยิ่งขึ้น ในกลุ่มผลงานต่างๆที่กล่าวมานั้น งานกลุ่มภาพเหมือนถือเป็นงานที่มีความเข้มข้นและมีวิวัฒนาการต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ศิลปินภาพเหมือนในประเทศไทยนั้น มีอยู่จำนวนไม่น้อย แต่บุคคลที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือ และความลึกซึ้งในผลงานนั้น กลับมีไม่มากนัก ศักย ขุนพลพิทักษ์ อดีตจิตรกรเชี่ยวชาญ ของกรมศิลปากร ถือเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในแวดวงศิลปะแนวภาพเหมือน ถึงแม้ ศักย จะเป็นชื่อที่กลุ่มคนในแวดวงงานศิลปะกลุ่มอื่นอาจจะมีความรับรู้ หรือจดจำไม่มากนัก แต่ในแวดวงศิลปะของทั้งกรมศิลปากร และมหาวิทยาลัยศิลปากร ศักย ขุนพลพิทักษ์ คือครู คือศิลปินภาพเหมือนผู้มุ่งมั่นในสไตล์งานที่มีพื้นฐานแบบตะวันตก ในขณะเดียวกันยังเป็นศิลปินที่สามารถเขียนภาพจิตรกรรมไทยแบบดั้งเดิมและภาพจิตรกรรมแบบใหม่ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้อย่างลงตัว โดยได้ฝากฝีมือการออกแบบ เขียนภาพจิตรกรรมไทย ในวัดสำคัญๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศไว้เป็นจำนวนมาก กรมศิลปากรขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส "ศักย ขุนพลพิทักษ์" ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ณ อาคารนิทรรศการ ๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เปิดทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ - วันอังคาร
"เหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ”
เหรียญโบราณที่พบในแหล่งโบราณคดีภาคใต้ของไทย
ภาคใต้ของไทยมีการค้นพบเหรียญโบราณที่มีรูปสัญลักษณ์มงคลของอินเดีย ซึ่งสันนิษฐานว่าใช้เป็น “เงินตรา” หรือเป็น “สื่อกลาง” ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนทางการค้าในสมัยโบราณ โดยพบมากบริเวณเมืองท่าและเมืองโบราณสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดีย เช่น แหล่งโบราณคดีเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งโบราณคดีคลองท่อม จังหวัดกระบี่ และแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก จังหวัดพังงา
สำหรับเหรียญที่นำมากล่าวถึงในองค์ความรู้ชุดนี้ คือ “เหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ” พบที่บ้านทุ่งน้ำเค็ม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ ลักษณะเป็นเหรียญทรงกลมแบน ทำจากโลหะเงิน มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย ๓ เซนติเมตร พบทั้งเหรียญที่มีสภาพสมบูรณ์ และเหรียญที่มีการตัดแบ่งออกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ (สองส่วนและสี่ส่วน) ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการตัดแบ่งเหรียญเพื่อให้เป็นหน่วยย่อยในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปพระอาทิตย์ มีเส้นรอบวงและลายไข่ปลาล้อมรอบ ส่วนด้านหลังของเหรียญเป็นรูปศรีวัตสะ และมีสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลล้อมรอบ ประกอบด้วย ฑมรุ (กลอง ๒ หน้า) สวัสดิกะ พระจันทร์ และพระอาทิตย์
รูปพระอาทิตย์ และศรีวัตสะ เป็นสัญลักษณ์มงคลตามคติความเชื่อของชาวอินเดีย มีการศึกษาพบว่าสัญลักษณ์ที่มักปรากฏบนเหรียญโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ ศรีวัตสะ สังข์ และวัวมีโหนก ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มสัญลักษณ์ของมงคล ๘ ประการ (อัษฏมงคล) และกลุ่มสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ (อัฏฐุตตรสตะมงคล) ของอินเดีย และเป็นสัญลักษณ์ที่เคยปรากฏมาก่อนบนเหรียญและตราประทับของกษัตริย์อินเดียสมัยราชวงศ์สาตวาหนะ (พุทธศตวรรษที่ ๕ - ๘) สมัยราชวงศ์คุปตะ (พุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๑) และสมัยราชวงศ์ปัลลวะ (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)
ความหมายของสัญลักษณ์รูป “พระอาทิตย์” (Rising Sun) ที่ปรากฏบนเหรียญ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และความเป็นมงคล ซึ่งการบูชาพระอาทิตย์ในฐานะเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และพืชพันธ์ธัญญาหารมีมาอย่างยาวนานในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอินเดียสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์จะพบมากบนเหรียญประเภทเหรียญตอกลาย (punch-marked coins) ของกษัตริย์อินเดียโบราณ โดยมักปรากฏอยู่ด้านหน้าของเหรียญ ส่วนสัญลักษณ์รูป “ศรีวัตสะ” (Srivatsa) แปลตามรูปศัพท์ว่า “ที่ประทับของศรี” เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศรีหรือลักษมีในรูปคชลักษมีหรืออภิเษกของศรี ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง มีการสันนิษฐานว่ารูปศรีวัตสะที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของเหรียญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบมาจากรูปศรีวัตสะที่ปรากฏบนเหรียญของกษัตริย์อินเดียราชวงศ์ศาสวาหนะ (ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๔-๘) ต่อมาเมื่อรูปศรีวัตสะมาปรากฏบนเหรียญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งผลิตโดยกษัตริย์ท้องถิ่น จึงมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรอบศรีวัตสะทำให้มีรูปแบบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น สำหรับสัญลักษณ์ที่ล้อมรอบศรีวัตสะ ได้แก่ ฑมรุ (กลอง ๒ หน้า) มีความหมายสื่อถึงการสร้างโลก และเป็นสัญลักษณ์ที่มักปรากฏอยู่ในพระหัตถ์ของพระศิวะ ส่วนสัญลักษณ์รูปสวัสดิกะ ถือเป็นหนึ่งในอัษฏมงคล ในพระราชพิธีราชาภิเษก
จากการศึกษาพบว่า เหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ พบที่บ้านทุ่งน้ำเค็ม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราชดังกล่าวมานี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับเหรียญเงินรูปพระอาทิตย์ - ศรีวัตสะที่พบแพร่หลายในเมืองโบราณสมัยทวารวดีเกือบทุกแหล่งในทางภาคกลางของไทย เช่น เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม และบ้านเมืองอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เมืองออกแก้ว ประเทศเวียดนาม เมืองไบถาโน เมืองศรีเกษตร และเมืองฮาลิน ประเทศพม่า ส่วนในภาคใต้ของไทยพบเหรียญลักษณะเดียวกันนี้ เช่น แหล่งโบราณคดีเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ที่น่าสนใจคือพบว่ามีการค้นพบแม่พิมพ์เหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ (และแม่พิมพ์รูปสังข์ – ศรีวัตสะ) ในเมืองโบราณสมัยทวารดีในภาคกลางของประเทศไทย เช่น เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และเมืองจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ จึงมีการสันนิษฐานว่าเหรียญดังกล่าวน่าจะมีการผลิตขึ้นเองในรัฐทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย โดยนำเอาสัญลักษณ์มงคลตามความเชื่อของอินเดีย ซึ่งสื่อความหมายถึงความเป็นมงคล ความอุดมสมบูรณ์ และพระราชอำนาจของกษัตริย์มาใช้ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการผลิตเหรียญสำหรับใช้เป็นเงินตรา เพื่อที่จะควบคุมค่าเงินในการค้าขายกับชุมชนภายนอก
ดังนั้น การค้นพบเหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ ที่บ้านทุ่งน้ำเค็ม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงแสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างระหว่างผู้คนในชุมชนโบราณภาคใต้ กับรัฐทวารวดีทางภาคกลางของไทย รวมถึงบ้านเมืองอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันเหรียญพระอาทิตย์ – ศรีวัตสะ จากบ้านทุ่งน้ำเค็ม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ดังกล่าว เก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
เรียบเรียง/กราฟิก: นภัคมน ทองเฝือ นักโบราณคดีชำนาญการ
กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช
อ้างอิง
๑.ฉวีวรรณ วิริยะบุศย์. เหรียญกษาปณ์ในประเทศไทย .กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๑๖.
๒.ผาสุข อินทราวุธ. ทวารวดี การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสมัย, ๒๕๔๒.
๓.อนันต์ โพธิ์กลิ่นกลับ. “การศึกษาความหมายและรูปแบบของตราประทับสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี,” วิทยานิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิตสาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗.
๔.J.Allan. Catalogue of Coins of Ancient India in the British Museum. New Delhi : Oriental Book Reprint Coration, ๑๙๗๕.
๕.Kiran Thaplyal. Studies in Ancient India Seals . Lucknow : Prem Printing Press, ๑๙๗๒.
"สถูปดินเผา" ซึ่งเป็นโบราณวัตถุที่พบได้ตามแหล่งโบราณคดีหรือโบราณสถานสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ และแหล่งโบราณคดีสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์เพียงแห่งเดียวในจังหวัดสตูล นั่นก็คือแหล่งโบราณคดีเขาขาว เขาขาว ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ บ้านหาญ ตำบลเขาขาว อำเภอละงู จังหวัดสตูล มีลักษณะ เป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่วางตัวยาวตามแนวแกนทิศเหนือ – ทิศใต้ และมีคลองละงูไหลผ่านทางด้านทิศตะวันออก บริเวณด้านทิศใต้ของเขาขาวเป็นที่ตั้งของเพิงผาขนาดใหญ่ ด้านหน้าเพิงผาเดิมที่ทางเดินแคบๆสำหรับสัญจรผ่านไปมาได้ จนกระทั่งพ.ศ.๒๕๕๑ จึงมีการขยายทางหลวงสายบ้านโกตา-บ้านหาญ ส่งผลให้พื้นที่เพิงผาสูญหายไปส่วนหนึ่งยอดสถูปดินเผาที่เขาขาว การสำรวจทางโบราณคดีในพ.ศ.๒๕๕๑ ทำให้ได้พบหลักฐานสำคัญคือ “ยอดสถูปดินเผา” เนื้อดินสีเทา-สีส้ม สถูปเหล่านี้ในสภาพสมบูรณ์สามารถถอดประกอบได้เป็นหลายส่วน โดยส่วนประกอบหลักได้แก่ ฐาน ลำตัว ฉัตรวลี(ปล้องไฉน) และส่วนยอด ทั้งนี้สถูปดินเผาในลักษณะนี้มีการค้นพบในโบราณสถานสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์หลายแห่งเช่น เมืองโบราณยะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ถ้ำศิลป อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา โคกทอง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา นาพละ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เขาคุรำ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง บ้านพญาขันธ์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง และเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยอาจกำหนดอายุย้อนกลับไปได้ถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ สถูปดินเผาสร้างเพื่ออะไร การสร้างสถูปเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำบุญทำกุศลตามความนิยมในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน โดยเชื่อว่าผลบุญที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้เกิดใหม่ในแดนสุขาวดีไปจนถึงการมีอายุวัฒนะและเข้าถึงการรู้แจ้ง ดังคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรระบุไว้ตอนหนึ่งว่า "...ผู้ใดสร้างสถูป แม้แต่เด็กชายเล็กๆ ผู้เพียงช่วยขนทรายด้วยจิตใจมุ่งมั่นที่จะอุทิศถวายแด่พระชินพุทธเจ้า ผู้นั้นย่อมบรรลุความรู้แจ้ง..." นอกจากนี้การสร้างสถูปยังนับเข้าอยู่ในการสร้าง “อุเทสิกเจดีย์” เพื่อถวายในพุทธศาสนา แต่ที่ปรากฏการสร้างในลักษณะของสถูปซึ่งมีขนาดเล็กนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานข้อสังเกตไว้ในพระนิพนธ์ "ตำนานพระพุทธเจดีย์" ตอนหนึ่งว่า "...แต่สังเกตพระสถูปที่สร้างกันตามนานาประเทศภายนอกอินเดีย ยังถือเป็นคติต่างกัน ประเทศที่ถือลัทธิหินยาน เช่นลังกา พม่า มอญ ไทย มักสร้างพระสถูปเป็นธาตุเจดีย์ บางทีใหญ่โต แต่ฝ่ายประเทศที่ถือลัทธิมหายาน เช่นทิเบต จีน ญี่ปุ่น (แม้ชวาและขอมโบราณ) มักสร้างพระสถูปเป็นอุเทสิกะเจดีย์อย่างเป็นเครื่องหมายของพระพุทธศาสนา ไม่ขวนขวายในข้อที่จะทำให้ใหญ่โต...” ---------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1372851239719702&id=461661324172036
พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพัฒนา ณ ลำพูน ณ สุสานบ้านหลวย จังหวัดลำพูน วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๒
ชื่อเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนอภิเษกสมรสบทร้องและบทพากย์ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราวุธผู้แต่งเพิ่ม พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ วรรณกรรมเลขหมู่ 895.9112 ม113รสถานที่พิมพ์ พระนคร สำนักพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลัยปีที่พิมพ์ 2495ลักษณะวัสดุ 52 หน้าหัวเรื่อง รามเกียรติ์ วรรณคดีไทย ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเนื้อหาภายในประกอบด้วยอธิบายรามเกียรติ์ ตอนอภิเษกสมรสบทร้องและบทพากย์พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราวุธ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทบรามเกียรติ์ที่แต่งขึ้นนี้สำหรับเล่นโขน มีความตั้งใจที่จะดำเนินเรื่องโดยทางที่แปลกกว่าที่เคยมีมาก่อน แต่ไม่ได้ตั้งใจแต่งบทนี้ขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับพระราชนิพนธ์เก่า