ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

       แผ่นดินเผารูปกินรี พบจากเจดีย์หมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง        แผ่นดินเผารูปสัตว์ผสม พบจากเจดีย์หมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง จัดแสดงห้องโบราณคดีเมืองอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง        แผ่นดินเผาขนาดกว้าง ๒๓ เซนติเมตร สูง ๒๓.๕ เซนติเมตร ประติมากรรมมีสภาพชำรุด ชิ้นส่วนหักหายและรายละเอียดลบเลือนบางส่วน ด้านหน้าเป็นภาพนูนต่ำ นักวิชาการส่วนใหญ่ตีความว่า หมายถึงรูปกินรี ซึ่งเป็นอมนุษย์ที่มีลักษณะเป็นสัตว์ผสมระหว่างคนกับนก โดยมีใบหน้าเป็นคนสวมเครื่องประดับศีรษะ อยู่ในท่าเคลื่อนไหว เอียงศีรษะ แขนขวากางออกไปทางด้านหลัง มีผ้าคล้องคอและแขน ลำตัวโค้ง ยกขาซ้ายเหยียดไปด้านหลัง ส่วนหางหรืออาจเป็นปีกแผ่ไปทางด้านหลัง ด้านหลังของแผ่นดินเผาแบนเรียบ มีร่องรอยแกลบข้าวในเนื้อดิน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของอิฐ หรือประติมากรรมดินเผาที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๕ หรือประมาณ ๑,๑๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว          เนื่องจากประติมากรรมดินเผาชิ้นนี้มีรายละเอียดลบเลือนบางส่วน ทำให้นักวิชาการบางท่านเสนอว่า เมื่อพิจารณาจากส่วนล่าง ลำตัวและขา พบว่าน่าจะเป็นลักษณะของสิงห์มากกว่านก ดังนั้นแผ่นดินเผาชิ้นนี้อาจเป็นรูปนรสิงห์ ซึ่งมีลักษณะเป็นสิงห์ที่มีใบหน้าเป็นคน ก็เป็นได้         สันนิษฐานว่าแผ่นดินเผานี้ใช้สำหรับประดับส่วนฐานของเจดีย์ ในลักษณะเดียวกับประติมากรรมรูปคนแคระแบกที่พบทั่วไปตามศาสนสถานในเมืองโบราณสมัยทวารวดี ซึ่งอาจใช้ประกอบอยู่กับภาพเล่าเรื่อง หรือใช้ประดับฐานเจดีย์ก็เป็นได้         นอกจากแผ่นดินเผารูปกินรีชิ้นนี้แล้ว ยังพบประติมากรรมรูปกินรีและกินนร ทำจากดินเผาหรือปูนปั้นสำหรับประดับศาสนสถานตามเมืองโบราณอื่น ๆ สมัยทวารวดี ด้วย เช่น ประติมากรรมปูนปั้นรูปกินนรกำลังเล่นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายพิณเปี๊ยะ พบจากเจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม ประติมากรรมปูนปั้นรูปกินรี พบจากเจดีย์หมายเลข ๓ บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ และยังพบเครื่องประดับทองคำรูปกินรีที่เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี อีกด้วย   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. สหมิตรพริ้นติ้ง : นนทบุรี, ๒๕๔๕. ดวงกมล  อนันต์วัชรกุล. “คติความเชื่อเรื่องสัตว์ที่ปรากฏในวัฒนธรรมทวารวดี.” เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.


เลขทะเบียน : นพ.บ.404/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 36 หน้า ; 4.5 x 57.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 146  (58-70) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : มาลัยแสน--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.535/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4 x 48 ซ.ม. : ล่องรัก-รักทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 180  (292-302) ผูก 2 (2566)หัวเรื่อง : ลำสุตตโสม--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง : ประมวลพระราชดำรัส และ พระบรมราโชวาท ที่พระราชทานในโอกาสต่างๆตั้งแต่เดือน ธันวาคม ๒๕๑๒ จนถึงเดือน พฤศจิกายน ๒๕๑๓ พิมพ์ขึ้นในโอกาสงานพระราชพิธีรัชดาภิเษก ๙ มิถุนายน ๒๕๑๔ ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2514สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร จำนวนหน้า : 446 หน้า สาระสังเขป : พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทบรรดาที่ประมวลไว้เล่มนี้ เป็นพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ คณะ ในโอกาสต่างๆกัน ตั้งแต่เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒ จนถึงเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๓



พระพฤหัสบดีพระอิศวรสร้างจากฤษี ๑๙ ตน บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีส้มแดง พรมน้ำอมฤตได้เป็นพระพฤหัสบดี มีผิวกายสีส้มแดง ทรงกวางเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตก เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ มักทำอะไรด้วยความระมัดระวัง สุขุม รอบคอบ เมตตาปรานีต่อผู้อื่น เป็นมิตรกับพระอาทิตย์ และเป็นศัตรูกับพระจันทร์ สัญลักษณ์เลข ๕ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๙ เป็นครูของเทพทั้งหลาย จึงนิยมทำพิธีไหว้ครูในวันพฤหัสบดี



          วันอังคารที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลตรี ปราชญ์เปรื่อง โชติกเสถียร ราชองครักษ์ในพระองค์ เป็นประธานการประชุมส่วนหน้า (เตรียมการรับเสด็จ) พร้อมด้วยนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายรณภพ เวียงสิมมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นางรักชนก โคจรานนท์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายบพิตร วิทยาวิโรจน์ รองอธิบดีกรมศิลปากร ร้อยเอก บุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นางพูนทิพย์ สร้อยสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง และนางสาวศิริรัตน์ ทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ เข้าร่วมการประชุมเตรียมการรับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า และคณะภาคส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้บริหาร ข้าราชการเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี


-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : เล่าเรื่องเมืองพิจิตร จากรายงานตรวจราชการ (ตอนที่ 1) -- เมื่อเดือนตุลาคม ร.ศ. 117 (พ.ศ. 2441) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (พระยศ-ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้เสด็จฯ ตรวจราชการหัวเมืองในมณฑลพิษณุโลก อันได้แก่ เมืองพิจิตร และเมืองพิษณุโลก โดยที่เมืองพิจิตร พระองค์ได้ทรงตรวจตรากิจการต่างๆ ภายในเมือง และภายหลังได้ทรงมีรายงานการตรวจราชการมาถึงพระยาศรีสหเทพ ซึ่งจากรายงานฉบับนี้ทำให้เราทราบถึงสภาพบ้านเมืองของเมืองพิจิตรเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ ที่อาจไม่พบในเอกสารในชั้นหลัง ดังเรื่องราวที่จะนำเสนอต่อไปนี้- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - อำเภอตัวอย่าง วันที่ 29 ตุลาคม ร.ศ. 117 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสด็จฯ จากบ้านชุมแสง แขวงเมืองนครสวรรค์โดยทางเรือ ถึงพรมแดนเมืองพิจิตร พระยาเทพาธิบดี ผู้ว่าราชการเมืองพิจิตรมาคอยรับเสด็จ เวลาบ่าย 2 โมง เสด็จฯ ถึงที่พักที่บางบุญนาค และได้ทรงตรวจการที่อำเภอเมืองภูมิ (ปัจจุบันคืออำเภอบางมูลนาก – ผู้เขียน) ซึ่งตั้งอยู่ที่บางบุญนาค อำเภอแห่งนี้มีการจัดการงานที่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างมาก ถึงกับที่กรมหมื่นดำรงราชานุภาพทรงชมว่า “ทุกๆ อย่างหาที่ติไม่ได้ ดีกว่าที่ทำได้ในมณฑลอื่นๆ ทั้งสิ้น” โดยเฉพาะการบันทึกข้อความในสมุดตรวจการที่แบ่งเป็นข้อๆ ชัดเจน กรมการอำเภอสามารถเข้าใจได้ง่าย การเก็บหนังสือราชการก็ทำได้ดีไม่แพ้ในศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะเมื่อต้องการเรียกดูหนังสือใดก็สามารถหาได้ทันที- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ทำรั้วริมน้ำ รุ่งเช้าวันที่ 30 ตุลาคม เสด็จฯ จากบางบุญนาค ทางเรือต่อไปยังตัวเมืองพิจิตร ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าสองฟากของลำน้ำเมืองพิจิตรมีคนมาถางพื้นที่เพื่อปลูกต้นไม้ต่างๆ มากขึ้น และได้ทรงเล่าว่า ตั้งแต่เสด็จฯ ขึ้นมาจากเมืองนครสวรรค์ก็ทรงพบว่า ตามตลิ่งสองข้างลำน้ำมีบ้านเรือนที่ทำรั้วด้วยไม้ไผ่หน้าบ้าน และมีถนนริมน้ำเหมือนกันทุกแห่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลกสั่งการให้กรมการอำเภอไปแนะนำให้ราษฎรทำขึ้น อย่างไรก็ตาม พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตรมีความเห็นว่ารั้วไม้ไผ่นั้นไม่คงทน เพราะเมื่อถึงฤดูน้ำ น้ำจะพัดทำให้รั้วเอนเอียง ต้องเสียค่าซ่อมแซมทุกปี ควรเปลี่ยนเป็นการปลูกต้นไม้ให้เป็นรั้วแทน แต่กรมหมื่นดำรงราชานุภาพทรงมีพระดำริแย้งว่า ตลิ่งแม่น้ำมักมีการเปลี่ยนแปลงไปปีละมากๆ เสมอ ต้นไม้ที่ปลูกไว้เป็นรั้วไม่ทันโตก็จะพังลงน้ำตามตลิ่งไป ควรทำเป็นรั้วไม้ไผ่ดังที่เป็นอยู่ดีกว่า หากเสียหายก็ซ่อมแซมกันครั้งหนึ่งไม่เป็นการเดือดร้อนอย่างใด เวลาบ่าย เสด็จฯ ถึงวัดคะมัง (ปัจจุบันสะกดว่า ฆะมัง – ผู้เขียน) ซึ่งได้เคยเสด็จฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นทรงออกเรือจากวัดคะมังขึ้นมาถึงเมืองพิจิตรเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  เรื่องราวในระหว่างการตรวจราชการเมืองพิจิตรของกรมหมื่นดำรงราชานุภาพยังไม่หมดเพียงเท่านี้ โปรดติดตามในตอนต่อไปผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)เอกสารอ้างอิง: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงมหาดไทย. ร.5 ม 2.14/82 เรื่อง รายงานกรมหมื่นดำรงฯ ตรวจราชการ เมืองพิจิตร เมืองพิษณุโลก [ 12 ต.ค. – 26 พ.ย. 117 ].#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ


          พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสิินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกรอบ ปั้นปูนน้ำมัน           เทคนิค : ภาพเขียนสีน้ำมัน - กรอบปั้นปูนน้ำมัน              ขนาด : กว้าง ๑๒๐ เซนติเมตร  ยาว ๓๐๐ เซนติเมตร           ศิลปิน (ภาพเขียน) : นายลาภ  อำไพรัตน์  นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน  กลุ่มจิตรกรรม  สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร           ศิลปิน (งานปั้น) : นายฐิติ  หัตถกิจ  นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน  กลุ่มงานช่างหุ่น  ปั้นลายและช่างมุก  กลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร           ผลงานศิลปกรรมออกแบบและจัดสร้างโดย กลุ่มงานช่างหุ่น  ปั้นลายและช่างมุก  และกลุ่มจิตรกรรม  สำนักช่างสิบหมู่  กรมศิลปากร  จัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  ระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน – ๑๗ กันยายน ๒๕๖๖  เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. วันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร)   สามารถรับชมขั้นตอนการจัดสร้างกรอบปั้นปูนน้ำมันได้ทาง YouTube ตามลิ้งค์ด้านล่างนะคะ https://youtu.be/Vwwrj-pcSrY


ชื่อเรื่อง                         ปริวารปาลิ(ปริวาร)อย.บ.                            297/6หมวดหมู่                       พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                  54 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                         พระไตรปิฏก                                                        บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา


         ชื่อพระพุทธรูป หลวงพ่อขนมต้ม          สถานที่ประดิษฐาน กุฏิเจ้าอาวาส วัดบางลําภู ต.บางครก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี          ประวัติ หลวงพ่อขนมต้มเป็นพระที่อยู่คู่กับชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนมอญมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยชาวมอญบางลําภูเป็นชาวมอญที่หนีภัยสงครามมาจากทางใต้ของประเทศเมียนมาร์ในปัจจุบัน จากการบอกเล่าของพระครูโสภิตวัชรกิจ (หลวงพ่อสงวน) เจ้าอาวาสวัดบางลําภู กล่าวว่า          “. . . ในครั้งอพยพในครั้งบรรพบุรุษได้อัญเชิญหลวงพ่อขนมต้มมาด้วย เมื่อมืดค่ำที่ใด ก็พักค้างที่นั่น โดยจะนําหลวงพ่อขนมต้มขึ้นประดิษฐานในที่พักและสวดมนต์กราบไหว้ ตลอดการเดินทางจนถึงเมืองเพชรบุรี และได้ตั้งชุมชนที่บริเวณบ้านนามอญใกล้เมืองเพชรบุรี ต่อมาย้ายมาอยู่บริเวณบ้านทุ่งใหญ่ซึ่งอยู่ติดแม่น้ำเพชรบุรี ใกล้ตัวอําเภอบ้านแหลม เนื่องจาก น้ำเค็มรุกขึ้นสูงจนทํามาหากินไม่ได้ จึงย้ายมาอยู่บริเวณวัดบางลําภูปัจจุบันที่อยู่ด้านเหนือบ้านทุ่งใหญ่เล็กน้อย . . .”          หลวงพ่อขนมต้ม เป็นชื่อที่เรียกตามลักษณะของพระพุทธสิหิงค์แห่งเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง แต่สําหรับชาวมอญที่บ้านบางลําภู เรียกว่า “อะละกาวซอ” เป็นชื่อในภาษามอญ โดยมีความหมายว่า เจ้าของบุญกุศลที่จะประสิทธิประสาทพรให้แก่เรา (อะละ แปลว่า เจ้าของ ส่วน กาวซอ แปลว่า บุญกุศล) จากชื่อภาษามอญ ดังกล่าวนั้น เพื่อสื่อสารกับพุทธศาสนิกชนทั่วไป จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “หลวงพ่อบุญฤทธิ์”          หลวงพ่อขนมต้ม / หลวงพ่ออะละกาวซอ / หลวงพ่อบุญฤทธิ์ เป็นที่สักการะกราบไหว้ของชาวบ้านบางลําภู ตลอดถึงชาวบ้านทั้งใกล้และไกล โดยมีความเชื่อว่าท่านสามารถดลบันดาลให้ได้รับสิ่งประสงค์ดั่งใจปรารถนาแก่ผู้มากราบไหว้ ทั้งการสอบเข้าเรียนต่อ สอบเข้ารับราชการ สอบเลื่อนขั้นเลื่อนตําแหน่ง เจ็บไข้ได้ป่วย ประกอบอาชีพประมง ค้าขาย การขึ้นโรงขึ้นศาล ฯลฯ หรือจะเรียกว่าท่านช่วยได้ “อเนกประสงค์” สิ่งของที่นิยม นํามาถวาย ได้แก่ ข้าวต้มมัด          ประเพณี / ความเชื่อ ในช่วงสงกรานต์ ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ เมษายนของทุกปี จะเชิญหลวงพ่อขนมต้มมาให้ชาวบ้านปิดทองตลอดช่วงสงกรานต์ ในวันสุดท้ายคือวันที่ ๑๗ เมษายน จะสรงน้ำหลวงพ่อแล้วอัญเชิญกลับสู่บนศาลาวัด      


ชื่อเรื่อง                    สพ.ส.59 โคบุตรประเภทวัสดุ/มีเดีย       สมุดไทยดำISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                  วรรณคดีลักษณะวัสดุ              71; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง                    โคบุตร                    ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   ประวัติวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์  อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 15 ส.ค..2538


          ชื่อเรือ 2 ลำนี้คือ พาลีรั้งทวีปและสุครีพครองเมือง สะท้อนความรับรู้เรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พุทธศักราช 2325 - 2351) เป็นวรรณกรรมที่ดำเนินเรื่องตามมหากาพย์รามายณะของอินเดีย           ชื่อเรือ ๒ ลำนี้คือ พาลีรั้งทวีปและสุครีพครองเมือง สะท้อนความรับรู้เรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พุทธศักราช 2325 - 2352) เป็นวรรณกรรมที่ดำเนินเรื่องตามมหากาพย์รามายณะของอินเดีย           โขนเรือพาลีรั้งทวีป เป็นรูปวานร (ลิง) สวมมงกุฎ ร่างกายสีเขียว เครื่องประดับกายและผ้านุ่งลงรักปิดทองประดับกระจก ชื่อเรือและลักษณะโขนเรือเช่นนี้ทำให้ทราบว่า เป็นรูปของพาลี พระราชาเมืองขีดขิน แห่งอาณาจักรวานร ในเรื่องรามเกียรติ์ (ในมหากาพย์รามายณะเรียกว่า วาลี ส่วนเมืองชื่อ กีษกินธะ) ชื่อเรือ พาลีรั้งทวีป มาจากเรื่องราวของพาลีผู้อาจหาญ ทุกๆ เช้าจะข้ามทวีปจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกและจากเหนือไปใต้เพื่อกราบไหว้พระอาทิตย์ (พระสูรยะ)           โขนเรือสุครีพครองเมือง เป็นรูปวานร (ลิง) สวมมงกุฎ ร่างกายสีแดง เครื่องประดับกายและผ้านุ่งลงรักปิดทองประดับกระจก ชื่อเรือและลักษณะโขนเรือเช่นนี้ทำให้ทราบว่า เป็นรูปของสุครีพ (ในมหากาพย์รามายณะ เรียกว่า สุครีวะ) น้องชายของพาลี ขึ้นครองเมืองขีดขินหลังจากพาลีวายชนม์ อาณาจักรวานรที่สุครีพขึ้นครองเมืองได้นี้ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากหนุมานและพระรามซึ่งเป็นพระเอกในเรื่องรามเกียรติ์           เรือ 2 ลำนี้สร้างครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พุทธศักราช 2325 - 2352) แต่ชื่อเรือพาลีรั้งทวีปใช้ว่า เรือพาลีล้างทวีป หัวเรือกว้างมีรูกลมสำหรับติดตั้งปืนใหญ่ เรือแต่ละลำมีความยาว 27.54 เมตร กว้าง 1.99 เมตร ลึกถึงท้องเรือ 59 เซนติเมตร น้ำหนัก 6.97 ตัน มีกำลังพลประกอบด้วย ฝีพาย 34 คน นายเรือ 1 คน นายท้าย 2 คน คนถือธงท้าย 1 คน พลสัญญาณ 1 คน คนกระทุ้งเส้า (ให้จังหวะ) 2 คนที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/royalbarges


ชื่อเรื่อง                               สระศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสี่แห่งเมืองสุพรรณบุรีผู้แต่ง                                 สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรีประเภทวัสดุ/มีเดีย                 หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN                           -หมวดหมู่                             ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์เลขหมู่                                959.373 ศ528สสถานที่พิมพ์                         สุพรรณบุรีสำนักพิมพ์                           สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี กรมศิลปากรปีที่พิมพ์                              2562ลักษณะวัสดุ                         32 หน้า : ภาพประกอบ ; 21 ซม.หัวเรื่อง                               สุพรรณบุรี – โบราณสถาน                                        สุพรรณบุรี – ประวัติศาสตร์ ภาษา                                 ไทยบทคัดย่อ/บันทึก     รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ตามโบราณราชประเพณีที่ใช้เป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบต่อกันมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์  


black ribbon.