ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

        บาตรประดับมุก         ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๖๒         สมเด็จพระอริยวงศาคตญาน สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ประทานยืมจัดแสดง         ผลงานศิลปกรรมออกแบบและจัดสร้างโดย สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร จัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน – ๑๗ กันยายน ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. วันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร)         ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒  กรมศิลปากรมอบหมายให้สำนักช่างสิบหมู่  ดำเนินการจัดสร้างศิลปกรรมที่ใช้สำหรับงานพระราชพิธี ๑ ชุด  คือ  เครื่องไทยธรรม หมายถึง สิ่งของที่ถวายพระภิกษุสงฆ์ ประกอบด้วย #บาตรประดับมุก และ #หีบประดับมุก (หีบใบใหญ่ภายในบรรจุหีบใบเล็กสามใบ)           โดยเครื่องไทยธรรมชุดนี้ถวายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาน สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ในวันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ในช่วงท้ายของพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์  พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประเคนภัตตาหารแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาน สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก รับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์  พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์  ทรงหลั่งทักษิโณทก เสด็จออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย         บาตรประดับมุก  ประกอบด้วย  บาตร  ฝาบาตร  และเชิงบาตร  บาตรประดับมุกเป็นบาตรทรงมะนาวแป้น  พื้นฝาบาตรประดับมุกทึบเต็มพื้นที่ (ปูพื้นอย่างโมเสก) ประดับเป็นรูปเหลี่ยมเพชร  ฝาบาตรด้านบนประดับด้วยโลหะสลักดุนนูน  ฉลุทองแดงชุบทอง  รูปพระราชลัญจกรประจำรัชกาล  พระจุฬมงกุฎมหาวชิราวุธประดิษฐานบนพานปากกระจับ ๒ ชั้น ประกอบด้านซ้ายและขวาด้วยฉัตรบริวาร  ล้อมด้วยสายสร้อยและดวงตราเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์           รอบฝาบาตรประดับโลหะสลักดุนนูนรูปอัฏฐพิธมงคล หรือ #สัญลักษณ์มงคล ๘ ประการ  ได้แก่ ๑.อุณหิสหรือกรอบหน้า ๒.คทาหรือกระบอง ๓.สังข์ ๔.จักร ๕.ธงชัย ๖.อังกุศหรือขอช้าง ๗.โคอุสภ ๘.กุมภ์หรือหม้อน้ำ สัญลักษณ์ของมงคล ๘ ประการนี้เป็นความเชื่อที่คนไทยแต่โบราณได้รับคติมาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยสิ่งที่เป็นมงคลทั้งแปดนี้ มีความสัมพันธ์เนื่องในพระเป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์       ผู้ที่สนใจกระบวนการสร้างบาตรประดับมุก  สามารถอ่านได้จากลิ้งค์ด้านล่างนี้ https://datasipmu.finearts.go.th/academic/38  



ชื่อเรื่อง                    สพ.ส.57 กฎหมายลักษณะต่างๆประเภทวัสดุ/มีเดีย       สมุดไทยดำISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                  กฏหมายลักษณะวัสดุ              39; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง                    กฎหมายลักษณะต่างๆ                    ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   ประวัติวัดป่าเลไลยก์ ต.รั้วใหญ่  อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 16 ส.ค..2538


          เอกชัยเหินหาว และเอกชัยหลาวทอง เป็นชื่อเรือ 2 ลำคู่กัน ลักษณะใกล้เคียงกันคือหัวเรือเป็นรูปดั้งเชิดสูงงอนขึ้นไป ลงรักปิดทองเขียนลายรดน้ำรูปเหรา (อ่านเห-รา) ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนาน ลักษณะคล้ายมังกรแต่มีหัวเป็นงูหรือนาค อย่างไรก็ตามเรือ 2 ลำนี้มีรูปลักษณ์ของหัวเรือที่ต่างกันอยู่บ้างเป็นที่สังเกตได้           เอกชัยเหินหาว และเอกชัยหลาวทอง เป็นชื่อเรือ 2 ลำคู่กัน ลักษณะใกล้เคียงกันคือหัวเรือเป็นรูปดั้งเชิดสูงงอนขึ้นไป ลงรักปิดทองเขียนลายรดน้ำรูปเหรา (อ่าน เห-รา) ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนาน ลักษณะคล้ายมังกรแต่มีหัวเป็นงูหรือนาค อย่างไรก็ตามเรือ 2 ลำนี้มีรูปลักษณ์ของหัวเรือที่ต่างกันอยู่บ้างเป็นที่สังเกตได้ เอกชัยเหินหาว แปลว่า “ชัยชนะสูงสุดทะยานสู่ท้องฟ้า” เอกชัยหลาวทอง แปลว่า “เรือทองที่บรรจงสร้าง (โดยการหลาวหรือเหลา) เพื่อชัยชนะ” หรือแปลว่า “หลาว (อาวุธ) ทองคำที่นำชัยชนะ” ชื่อเรือ 2 ลำนี้ปรากฏอยู่ในสมุดภาพเรือในกระบวนพยุหยาตราชลมารคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช 2199 - 2231) แห่งกรุงศรีอยุธยา           เรือเอกชัยเหินหาว และเอกชัยหลาวทองตามรูปลักษณ์ปัจจุบัน สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 (พุทธศักราช 2325 - 2352) เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดจากอากาศยานที่ถล่มกรุงเทพมหานครสร้างความเสียหายให้กับเรือพระราชพิธีทั้งสองลำนี้มาก ดังนั้นในพุทธศักราช 2508 กองทัพเรือและกรมศิลปากรร่วมกันบูรณะเรือสองลำนี้ใหม่โดยใช้หัวเรือเดิมมาประกอบ           เรือ 2 ลำถือว่าเป็นเรือคู่ชัก หมายความว่าใช้เป็นเรือชักลากเรือพระที่นั่ง เช่น ชักลากเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เมื่อน้ำเชี่ยวหรือต้องการให้แล่นเร็วขึ้น และเป็นเรือคู่นำหน้าเรือพระที่นั่ง ต่อมาใช้เป็นเรือสำหรับให้ข้าราชการชั้นสูงนั่ง เรือแต่ละลำมีความยาว 27.50 เมตร กว้าง 1.97 เมตร ลึกถึงท้องเรือ 60 เซนติเมตร กินน้ำลึก 72 เซนติเมตร น้ำหนัก 7.7 ตัน แต่ละลำมีกำลังพลประกอบด้วย ฝีพาย 38 คน นายเรือ 2 คน นายท้าย 2 คน คนถือธงท้าย 1 คน พลสัญญาณ 1 คน ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/royalbarges



            กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวยามค่ำคืน อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ยลโขนมรดกโลกสัญจร ตระการตากับการแสดงมหัศจรรย์แสงแห่งศรีเทพ Si Thep World Heritage Illumination 2024 ภาพ เสียง และสีสันสุดอลังการ เฉลิมฉลองเมืองโบราณศรีเทพได้รับการประกาศเป็นแหล่งมรดกโลกจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)              นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ตามที่เมืองโบราณศรีเทพและโบราณสถานในสมัยทวารวดีที่เกี่ยวข้อง เข้าสู่บัญชีมรดกโลกทางวัฒนธรรมได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย เกิดกระแสมีผู้เข้าเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพมากขึ้นกว่า 10 เท่า และนับจากวันที่ได้รับมรดกโลกจนถึงขณะนี้มีนักท่องเที่ยวครบ 1 ล้านคนแล้ว กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จึงจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว ณ โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ 3 – 5 พฤษภาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 18.00 – 21.00 น. เพื่อให้ประชาชนได้สัมผัสบรรยากาศการท่องเที่ยวโบราณสถานสำคัญที่สวยงามในช่วงค่ำคืน โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย             1. นิทรรศการ 120 ปี แห่งการค้นพบเมืองโบราณศรีเทพ นำเสนอข้อมูลนับตั้งแต่การค้นพบเมืองโบราณร้างในเขตมณฑลเพชรบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2447 สู่เมืองโบราณศรีเทพ แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าโดดเด่น จนได้รับการยอมรับว่าเป็น “เมืองมรดกโลก” ในปัจจุบัน             2. กิจกรรมส่งเสริมการสร้างงานศิลปกรรมแก่ชุมชน ชมการสาธิตการทอผ้า การจักสาน และผลิตภัณฑ์จากชุมชนเมืองโบราณศรีเทพ ที่ออกแบบโดยสำนักช่างสิบหมู่  ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากงานศิลปกรรม ที่พบ ณ เมืองโบราณศรีเทพ             3. การแสดง Light & Sound “มหัศจรรย์แสงแห่งศรีเทพ Si Thep World Heritage Illumination 2024” ด้วยเทคนิคการฉาย Projection Mapping บนโบราณสถานเขาคลังนอก ชมการเติมเต็ม ต่อยอดมหาสถูปเขาคลังนอกเป็นครั้งแรกผ่านการฉายแสงเลเซอร์ และอุโมงค์แสง             4. ยลโขนมรดกโลกสัญจร เยือนนครประวัติศาสตร์ศรีเทพ พิเศษในวันที่ 3 และ 5 พฤษภาคม 2567 เวลา 20.00 – 21.30 น. พบกับการแสดงโขน ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จากยูเนสโก โดยสำนักการสังคีต นำการแสดง โขน ตอนลักนางสีดา ยกรบ ไปจัดแสดงท่ามกลางความงดงามของโบราณสถานยามค่ำคืน พร้อมการแสดงระบำศรีเทพที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ด้วยแนวคิดการประดิษฐ์ท่ารำจากลักษณะทางสถาปัตยกรรม โบราณวัตถุ รวมทั้งประติมากรรมปูนปั้นที่ฐานของโบราณสถาน              นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษการถ่ายภาพลงตราไปรษณียากร “Personalized Stamp” และการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้าน โดยนักเรียนและชาวบ้านในชุมชนโดยรอบเมืองโบราณศรีเทพอีกด้วย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.sithep.org


โรงเรียนชลประทานวิทยา จ.นนทบุรี (เวลา 13.00 น.) จำนวน 255 คนวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๙.๐๐ น. คณะนักเรียน จากโรงเรียนชลประทานวิทยา จ.นนทบุรี จำนวน ๒๕๕ คน เข้าเยี่ยมชม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ โดยมีว่าที่ร้อยตรีรุ่งเรือง ชื่นชม ตำแหน่ง พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ เป็นวิทยากรนำชมในครั้งนี้



           กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงาน “๔ วัด ๑ วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” ณ วัดพระราม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถอ่านรายละเอียด และลงทะเบียนได้ทาง QR-code หรือทางลิ้งนี้ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSexOHIlzh9--JWQUGZPI8_BHYqw8WwGDTCWlCxkm3JmhKNQiw/viewform?fbclid=IwY2xjawGW8-pleHRuA2FlbQIxMAABHbeHkDy46TwXuUMFctqL4EXyX-u-1wRKm_5Lbdt_8xgIuhpNZVZjGyCxGw_aem_KH4HyZl_5iBvxAsTVV5m1g โดยเดินทางไปด้วยรถไฟขบวนพิเศษ (*มีรถไฟบริการฟรี เฉพาะเที่ยวไปเท่านั้น) รับจำนวนจำกัดเพียง ๑๕๐ ที่นั่ง------------------------------------------------------ **โปรดอ่าน***รายละเอียดการเดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรมกำหนดการเชิญชวนประชาชนร่วมงาน ๔ วัด ๑ วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ (วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ วัดพระราม วัดไชยวัฒนาราม และ พระราชวังจันทรเกษม) วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ณ วัดพระราม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา   เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๐.๒๐ น.                  ผู้เข้าร่วมกิจกรรมลงทะเบียนที่จุดลงทะเบียนบริเวณสถานีรถไฟหัวลำโพง เวลา ๑๐.๓๐ - ๑๑.๕๕ น.                  ออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ด้วยรถไฟขบวนพิเศษ ถึงสถานีรถไฟบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (มีรถไฟบริการฟรี เฉพาะเที่ยวไป รถออกเวลา ๑๐.๓๐ น.) เวลา ๑๑.๕๕ - ๑๖.๓๐ น.                 เที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณพื้นที่บางปะอินตามอัธยาศัย (ผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง) - มีกิจกรรมถ่ายภาพย้อนยุคโดยห้องภาพฉายานิติกร ณ อาคารพลับพลา สถานีรถไฟบางปะอิน (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) เวลา ๑๗.๐๐ - ๑๗.๑๕ น.                  ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเดินทางด้วยรถไฟขบวนพิเศษออกจากสถานีบางปะอินถึงสถานีอยุธยา (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) เวลา ๑๗.๑๕ - ๑๘.๐๐ น.                  เดินทางจากสถานีรถไฟอยุธยาถึงวัดพระราม เวลา ๑๘.๒๐ - ๑๙.๐๐ น.                   การแสดงต้อนรับและพิธีเปิดงาน เวลา ๑๙.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.                   ชมการแสดงระเบ็ง และโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอนนารายณ์ปราบนทุก และตอนพระรามข้ามสมุทร โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร  --------------------------------------ข้อมูลการเดินทางสำหรับประชาชน         การเดินทางจากสถานีรถไฟบางปะอิน            มีบริการรถเช่าสาธารณะ (รถตุ๊กตุ๊ก) สำหรับว่าจ้างไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในเขตพื้นที่บางปะอิน เช่น พระราชวังบางปะอิน วัดนิเวศธรรมประวัติ วัดชุมพลนิกายาราม ร้านอาหาร คาเฟ่ต่าง ๆ  เป็นต้น โดยราคาตามแต่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตกลงกับผู้ให้บริการและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง            หากผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ประสงค์ท่องเที่ยวภายในเขตพื้นที่บางปะอิน สามารถเดินทางต่อไปยังตัวเมืองอยุธยาได้โดยขบวนรถไฟจากสถานีบางปะอิน ซึ่งมี ๓ เที่ยว ได้แก่ ๑.     ขบวนรถไฟที่ ๒๓๓ ออกเดินทางเวลา ๑๒.๕๕ น. ถึงสถานีอยุธยาเวลา ๑๓.๐๖ น. ๒.     ขบวนรถไฟที่ ๒๑๑ ออกเดินทางเวลา ๑๔.๑๙ น. ถึงสถานีอยุธยาเวลา ๑๔.๓๑ น. ๓.     ขบวนรถไฟที่ ๒๐๗ ออกเดินทางเวลา ๑๕.๔๓ น. ถึงสถานีอยุธยาเวลา ๑๕.๕๗ น. **ขบวนรถทั้ง ๓ เที่ยวมีค่าโดยสารราคา ๓ บาท ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง**            หากผู้เข้าร่วมกิจกรรมประสงค์เดินทางต่อกับขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษไปยังสถานีอยุธยา ขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษจะออกจากสถานีบางปะอินเวลา ๑๗.๐๐ น. และถึงสถานีอยุธยาเวลา ๑๗.๑๕ น. (ไม่คิดค่าโดยสาร) การเดินทางจากสถานีรถไฟอยุธยาและการเดินทางเพื่อเที่ยวชมงาน ๔ วัด ๑ วังเมื่อครั้งต้นกรุงฯ            มีบริการรถเช่าสาธารณะ (รถตุ๊กตุ๊ก) จากสถานีรถไฟอยุธยาสำหรับเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณเมืองอยุธยา ***ราคาตามแต่ตกลงกับผู้รับจ้าง            มีบริการรถเช่าสาธารณะ (รถตุ๊กตุ๊ก) ประจำบริเวณวัดทั้ง ๔ วัด ได้แก่ วัดพระราม วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ วัดไชยวัฒนาราม และพระราชวังจันทรเกษม สำหรับว่าจ้างเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ***ราคาตามแต่ตกลงกับผู้รับจ้าง   การเดินทางจากอยุธยากลับกรุงเทพฯ            ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถเดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้เองตามอัธยาศัย โดยสามารถเดินทางได้หลายวิธีทั้งรถไฟและรถตู้สาธารณะ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้   รถไฟ   จากสถานีอยุธยา ถึงสถานีหัวลำโพง (ขบวนรถขาเข้า) -   ขบวนรถที่ ๒๑๐ บ้านตาคลี - กรุงเทพ (หัวลำโพง) ออกจากสถานีอยุธยา เวลา ๑๘.๔๘ น. ถึงสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา ๒๐.๓๕ น. (ค่าโดยสาร ๑๕ บาท) จากสถานีอยุธยา ถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ (ขบวนรถขาเข้า) -   ขบวนรถที่ ๑๐๒ เชียงใหม่ - กรุงเทพอภิวัฒน์ ออกจากสถานีอยุธยา เวลา ๑๙.๑๖ น. ถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา ๒๐.๒๕ น. (ค่าโดยสาร ๒๐ บาท) รถตู้สาธารณะ -            ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถขึ้นรถได้ที่ บขส. อยุธยา มีรถให้บริการเที่ยวแรกเวลา ๐๔.๐๐ น. เที่ยวสุดท้ายออกเวลา ๑๗.๓๐ น. (วิ่งเส้นทาง อยุธยา – รังสิต – ลาดพร้าว - BTS หมอชิต) (ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรับผิดชอบค่าโดยสารเอง) **บริการเสริมพิเศษ**              ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสามารถจองรถตู้ล่วงหน้าเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้ในราคา ๑๕๐ บาท โดยรถจะออกเดินทางจากวัดพระรามซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน ๔ วัด ๑ วังเมื่อครั้งต้นกรุงฯ ในเวลา ๒๐.๓๐ น. ปลายทาง bts หมอชิต (วิ่งเส้นอยุธยา รังสิต ลาดพร้าว bts หมอชิต) แต่ต้องแจ้งให้ผู้จัดงานทราบล่วงหน้ารวมถึงต้องชำระเงินล่วงหน้าภายในวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ โดยสามารถโอนเงินเพื่อสำรองที่นั่งได้ที่บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่ ๔๓๕-๐๘๘๙๗๐-๐ ชื่อบัญชี น.ส.นภาพิมพ์ จินสกุล พร้อมเก็บสำเนาสลิปแจ้งการโอนเงินไว้เป็นหลักฐานสำหรับแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตอนเดินทางกลับ หมายเลขติดต่อ คุณนภาพิมพ์ โทร. ๐๘๕-๐๘๘-๖๗๗๓  


         อานม้าประดับมุก          แบบศิลปะ : รัตนโกสินทร์          ลักษณะ : เครื่องรองนั่งบนหลังม้าทำจากไม้ เป็นแท่นวงรีและแอ่นโค้งทาสีแดง เจาะช่องตรงกลางตามแนวยาวสำหรับวางผ้าบุนวม และด้านข้างเจาะช่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กสำหรับผูกสายโกลน มีเชิงยื่นออกมาเป็นขามุมมนด้านละสองข้าง ติดห่วงกลมทำจากโลหะใช้คล้องสายเหาและเครื่องผูก พนักรอบนอกประดับมุก ทำจากชิ้นเปลือกมุกขนาดเล็กต่อกันปูพื้นจนเต็ม ขอบรอบนอกทำจากโลหะตีลายวงกลมเรียงต่อกัน พนักด้านหลังค่อนข้างเตี้ยตกแต่งด้วยโลหะเส้นแบนทำเป็นลวดลายก้านขด ส่วนพนักด้านหน้าสูงมีความโค้งเว้าปลายงอน ใช้คล้องวางเก็บสายบังเหียน ตกแต่งด้วยโลหะเส้นแบนผูกลายเป็นก้านขดคล้ายรูปหัวใจสองดวงหัวปลายเข้าหากัน          ความสำคัญ : อานม้าประดับมุกสำหรับขุนนาง ใช้เทคนิคการตกแต่งด้วยงานประดับมุก ทำเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กเรียงต่อกัน และทำโลหะเป็นเส้นลายก้านขดวางบนมุกอีกชั้นหนึ่ง เป็นศิลปวัตถุที่ต้องอาศัยความประณีตและความชำนาญของช่างฝีมือ โดยพระยาเพ็ชรพิชัย (ทองจีน) ทำให้แก่บุตรในงานเกียรติยศฯ คือเจ้าพระยาสุรบดินทร์ (พร จารุจินดา) เป็นบุคคลที่มีความสำคัญได้รับพระราชทานนามสกุล “จารุจินดา” ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก อุปราชมณฑลพายัพ และองคมนตรีสมัยรัชกาลที่ 6          สันนิษฐานว่าเจ้าพระยาสุรบดินทร์คงมีความเชี่ยวชาญในการบังคับม้า ได้เข้ารับราชการ พ.ศ. 2428 รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นนายรองฉันมหาเล็กเวรศักดิ์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และต่อมาเมื่อพ.ศ. 2429 ได้เลื่อนเป็นจ่าห้าวยุทธการในกรมพระตำรวจขวา จากการแสดงขี่ม้ารำทวนถวายทอดพระเนตรหน้าพลับพลาในงานพระเมรุสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ36 ซึ่งคุณหญิงชอุ่ม สุรบดินทร์ได้มอบเครื่องม้าโบราณที่ใช้ในการขี่ม้ารำทวนชุดนั้นให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพร้อมกันด้วย ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ          ชนิด : ไม้ทาสีแดง โลหะ ประดับมุก          อายุ/สมัย : พุทธศตวรรษที่ 25          ประวัติ/ตำนาน : เป็นของพระยาเพ็ชรพิชัย (ทองจีน จารุจินดา) ผู้เป็นบิดาเจ้าพระยาสุรบดินทร์ (พร จารุจินดา) ทำให้แก่บุตรของท่านในงานเกียรติยศฯ ได้รับมอบจากคุณหญิงชอุ่ม สุรบดินทร์ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=52876   ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th



ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       65/7หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               22 หน้า : กว้าง 4.8 ซม. ยาว 53.5 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด  ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อผู้เรียบเรียง            แก้ว  อัจฉริยะกูล (แก้วฟ้า). ชื่อหนังสือ                 อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายแก้ว  อัจฉริยะกูล (แก้วฟ้า) ครั้งที่พิมพ์                 พิมพ์ครั้งแรก สถานที่พิมพ์              กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์                โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม ปีที่พิมพ์                    ๒๕๒๔. จำนวนหน้า               ๓๐๓ หน้า : ภาพประกอบ ISBN                        - เลขเรียกหนังสือ         ๙๒๗.๘ ก ๘๙๑ อ         เลขทะเบียนหนังสือ    ๐๒๔๐๕๙ หมายเหตุ               อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายแก้ว  อัจฉริยะกูล (แก้วฟ้า) ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร ๒๙ ธันวาคม ๒๕๒๔.                                                 การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ “แก้วฟ้า” ครูเพลงและนักประพันธ์ชื่อดัง ครั้งนี้เศร้าความสลดใจแผ่ปกคลุมไปทั่ววงการบันเทิงอีกครั้งในวัย ๖๖ปี ด้วยโรคแทรกซ้อนมากมาย คือ ความดันโลหิตสูง ตับแข็งและร่างกายบวมเป็นหนังสือของวงการบันเทิง ที่ร่วมไว้อาลัย จากไปไม่กลับ


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       79/3หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               46 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 54 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลานฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา 


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       87/4หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               46 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.5 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.