ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

"วันอัฏฐมีบูชา"  วันอัฏฐมีบูชา เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันถวายพระเพลิงพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๘  วัน ตรงกับวันแรม ๘  ค่ำ เดือน ๖ (เดือนวิสาขะ) ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ในปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ ๒๗ ธาตุวิภัชนปริวรรต กล่าวถึงเหตุการณ์หลังจากที่พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานว่า ในครั้งนั้นเหล่ากษัตริย์มัลลราช ได้นำของหอม ดอกไม้ ผ้าสาฎก ๕๐๐ คู่ และประโคมด้วยเครื่องดนตรีหลากชนิด เพื่อบูชาและตกแต่งพระบรมศพพระพุทธเจ้า โดยทำการสักการบูชาอยู่ ๖ วัน  ครั้นถึงวันที่ ๗ กษัตริย์มัลลราชทั้ง ๘ องค์ จึงมีดำริจะอัญเชิญพระบรมศพพร้อมด้วยเครื่องสักการบูชาและเครื่องดนตรีทั้งหลาย ไปทางทิศตะวันออกไปสู่มกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา เพื่อถวายพระเพลิง และปรึกษาพระอานนท์ว่าจะตกแต่งพระบรมศพอย่างไรจึงจะเหมาะสม พระอานนท์กล่าวแก่เหล่ากษัตริย์ว่า “ให้หุ้มห่อพระศพพระชินสีห์ด้วยพระภูษาจนถ้วนได้ ๕๐๐ ชั้น แล้วจงเชิญลงในพระหีบทองอันเต็มไปด้วยน้ำมัน แล้วให้เชิญพระหีบขึ้นสู่พระเชิงตะกอน อันประกอบด้วยสรรพสิ่งเสาวคนธชาติ จึงถวายพระเพลิง”  กษัตริย์มัลลราชกระทำตามคำพระอานนท์ทุกประการ แต่ไม่สามารถจุดไฟที่เชิงตะกอนให้ติดได้ จึงสอบถามสาเหตุจากพระอนุรุทธเถระ พระอนุรุทธเถระจึงบอกว่า "อธิบายแห่งเทพยดาทั้งหลายจะคอยท่าพระมหากัสสปเถรอันเป็นพระสาวกผู้ใหญ่ก่อน เบื้องว่าพระมหากัสสปยังมิได้มานมัสการพระบาทยุคลพระทศพลตราบใดเพลิงก็ยังมิได้ไหม้พระเชิงตะกอนตราบนั้น” เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึงสถานที่ถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ จึงน้อมนมัสการพระบรมศพ ครั้นเปลวเพลิงก็ลุกท่วมพระสรีระของพระศาสดา ด้วยอำนาจของเทวดา ในการเผาไหม้นี้ ไม่มีควันหรือเขม่าใด ๆ ฟุ้งขึ้นเลย ภายหลังจากถวายพระเพลิงพุทธสรีระของพระพุทธเจ้าแล้ว โทณพราหมณ์ได้เข้ามาเป็นคนกลางในการแบ่งพระธาตุ โดยการจัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเท่า ๆ กัน มอบให้แก่กษัตริย์ ผู้ครองนครต่าง ๆ รวมทั้งเทวดา พรหม และนาค มาอัญเชิญไปบูชายังสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้ “พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำฝ่ายขวาก็ไปประดิษฐานอยู่ ณ เมืองกาลึงคราษฐ์ กาลบัดนี้ไปสถิตอยู่ในลังกาทวีป พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนฝ่ายซ้าย ไปประดิษฐานอยู่ ณ เมืองคันธารราษฐ์ พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำฝ่ายซ้ายไปประดิษฐานอยู่ในนาคพิภพ พระรากขวัญเบื้องช้ายกับพระอุณหิศ ขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในทุสเจดีย์ ณ พรหมโลก พระทนต์ทั้ง ๓๖ แลพระเกศาโลมาแลพระนขาทั้ง ๒๐ นั้นเทพยดานำไปองค์ละองค์สู่จักรวาลต่างๆ ต่อๆ กันไป แลพระปริขารธาตุทั้งหลายนั้นพระกายพันธน์ไปสถิตอยู่ ณ เมืองปาตลีบุตร”   ภาพ: จิตรกรรมพุทธประวัติ เขียนบนไม้กระดานคอสอง ภายในอุโบสถหลังเก่า วัดท้าวโคตร  อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ปริเฉทที่ ๒๗ (ธาตุวิภัชนปริวัตต์) เล่าเรื่องตอนอัญเชิญพระบรมศพของพระพุทธเจ้าไปยังมกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา และพระมหากัสปะมานมัสการพระบรมศพ / ภาพด้านซ้ายเป็นขบวนแห่พระบรมศพซึ่งทรงเครื่องประดับอันมีชื่อว่ามหาลดาปสาธน์ แวดล้อมด้วยพระสงฆ์สาวก และเหล่ามัลลกษัตริย์ ภาพกลางเป็นภาพเครื่องดนตรีสมโภชน์พระบรมศพ และภาพด้านขวาเป็นภาพพระมหากัสปะน้อมนมัสการพระบรมศพของพระพุทธเจ้า เรียบเรียง/ภาพ: นภัคมน ทองเฝือ นักโบราณคดีชำนาญการ อ้างอิง: สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. พระปฐมสมโพธิกถา . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ธรรมบรรณาคาร, ๒๕๓๙.



          ตอนนี้เรื่องของกัญชามีกระแสมาแรง ไม่ว่าจะนำมาเป็นส่วนผสมทำอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่ม และเมนูอื่นอีกหลากหลาย ผู้เขียนไม่อยากตกกระแสจึงต้องรีบค้นคว้าหาเอกสารจดหมายเรื่องนี้ว่าจะมีข้อมูลอะไรบ้างเพื่อนำมาเล่าสู่กันค่ะ จากการค้นคว้าพบว่าใน พ.ศ.2474 มีเอกสารจดหมายเหตุกล่าวถึงว่ากรมตรวจกสิกรรม(ปัจจุบันเป็นกรมวิชาการเกษตร)สังกัดกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมว่ามีการสำรวจจังหวัดต่างๆในเรื่องการเพาะปลูกกัญชามากน้อยเพียงใด          จากการสำรวจในครั้งนั้นพบว่าจันทบุรี ไม่นิยมปลูกกัญชาแต่ประการใด มีเพียงท้องที่กิ่งกำพุช สังกัดอำเภอมะขาม เพียงแห่งเดียวที่มีการเพาะปลูกกัญชา โดยมีชาวบ้านทำการเพาะปลูกประมาณ 10 คน พื้นที่ปลูกรวมประมาณ 1 ไร่ เก็บได้ครั้งละประมาณ 1 หาบหรือ 100 ชั่งจีน ราคาซื้อขายกันชั่งละ 50 สตางค์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลผลิตที่จำหน่ายจะเป็นต้นกัญชากับกระหรี่กัญชา ซึ่งกว่าต้นกัญชาตัวเมียออกดอกหรือนักสูบเรียกว่า"กระหรี่แก่"จะใช้เวลาปลูกยาวนานอยู่หลายเดือน(พฤษภาคม ถึง ธันวาคม) ซึ่งต่างจากการปลูกในปัจจุบัน ที่ไม่สามารถใช้ ช่อ ดอกและเมล็ดของกัญชา เพราะยังถือว่าเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5          หากใครสนใจอยากลองชิมเมนูอาหารหวานคาวที่มาจากส่วนผสมของกัญชา ก็ต้องไปร้านที่ได้รับอนุญาตนำส่วนประกอบของกัญชาที่ไม่ใช่ยาเสพติด เช่น เส้นใย เปลือก กิ่ง ก้าน ราก และใบกัญชาที่ไม่มียอดหรือช่อดอก จากสถานที่ปลูกหรือผลิตในที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ในการนำเสนอข้อมูลเรื่องกัญชาของผู้เขียนครั้งนี้เป็นเพียงอยากบอกเล่าว่าในอดีต จังหวัดจันทบุรี ไม่ได้มีผู้สนใจปลูกกัญชากันสักเท่าไหร่ อาจเพราะเป็นเมืองกสิกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ ปลูกผักผลไม้ ปลูกข้าว ปลูกพริกไทยหรือปลูกกาแฟได้ผลผลิตและมีกำไรดีกว่าก็เป็นได้--------------------------------------------------------------------ผู้เขียน : สุมลฑริกาญจณ์ มายะรังษี นักจดหมายเหตุชำนาญการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี--------------------------------------------------------------------อ้างอิง หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี. (13)มท2.5/38 เอกสารเอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดมณฑลจันทบุรี. เรื่องกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ส่งคำถามของกรมตรวจกสิกรรม เรื่องขอทราบการเพาะปลูกกัญชามาให้สอบสวน (15 มีนาคม 2474 – 22 เมษายน 2475



องค์ความรู้ สรรพสาระ อยุธยา... เนื่องในวันอนุรักษ์ มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๔ เรื่อง “แนวทางการรักษาโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา” เรียบเรียงโดย นายวีระศักดิ์ แสนสะอาด นักโบราณคดีชำนาญการ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา


เลขทะเบียน: กจ.บ.7/1-7:1ก-7ก ชื่อเรื่อง: พระสงฺคิณี พระสมนฺตมหาปฏฐาน เผด็จ ข้อมูลลักษณะ: อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ประวัติ : ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 จำนวน 1คัมภีร์ 14 ผูก จำนวนหน้า: 46 หน้า


ชื่อเรื่อง                     ประชุมกาพย์เห่เรือผู้แต่ง                       -ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   วรรณคดีเลขหมู่                      895.9111082 ฉ253ปชสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์ รุ่งเรืองธรรมปีที่พิมพ์                    2503ลักษณะวัสดุ               140 หน้า หัวเรื่อง                     กวีนิพนธ์ไทย – รวมเรื่องภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกอธิบายตำนานแห่เรือ บทเห่เรือ กาพย์เห่เรือ


ชื่อเรื่อง                                ปาติโมกข์แปล (สัปปาฏิโมกข์)  สพ.บ.                                  366/1ขประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           48 หน้า กว้าง 6 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน                                           ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


          ในวาระที่องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียน “โนรา” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษย์ชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช จึงได้จัดแสดงกระเบื้องมุงหลังคาชิ้นพิเศษที่มีรอยประทับรูปบุคคลทำท่าคล้ายรำโนรา พร้อมด้วยกระเบื้องมุงหลังคาที่มีรอยประทับลายอื่นๆ และกระเบื้องเชิงชาย จากขุดค้นทางโบราณคดี ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งดำเนินการโดยสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลจากการขุดค้นทางโบราณคดี และสร้างความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของโบราณสถานในท้องถิ่น ก่อให้เกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์และหวงแหนมรดกทางศิลปวัฒนธรรม โดยจัดแสดงโบราณวัตถุ กระเบื้องมุงหลังคาและกระเบื้องเชิงชาย จำนวน ๑๓ รายการ           ผู้สนใจสามารถเข้าชมการจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นสำคัญนี้ได้ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ เปิดทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช (ตรงข้ามวัดสวนหลวง) ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โทร. ๐ ๗๕๓๔ ๑๐๗๕


เลขทะเบียน : นพ.บ.186/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  42 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 107 (123-132) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : มหาวิภงฺคปาลิ, ปาจิตฺติปาลิ(บาฬีปาจิตตี)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเลื่อนการแสดงละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ รอบพิเศษ จากวันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ และวันอาทิตย์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เป็นวันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๕ และวันอาทิตย์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ โรงละครแห่งชาติ


#เครื่องมือเครื่องใช้ในภาคเหนือแซะแซะ คือ เครื่องช้อนปลาบริเวณท้องนาหรือหนองน้ำตื้น ๆ ส่วนใหญ่ใช้ช้อนปลาเล็กและแมลงบางประเภท ลักษณะเป็นปากกรอบทรงสามเหลี่ยม กว้าง เอียงหงายทะแยงขึ้น ๔๕ องศา มีด้ามจับยาวประมาณ ๓๐ - ๖๕ เซนติเมตร ส่วนท้ายยกสูงยึดติดกับด้ามจับ มีหลายขนาด ขอบหลังของแซะรูปร่าง คล้ายตัวยูสานลายขัดแตะ ตัวแซะสานด้วยลายสองตา เพื่อให้น้ำไหลผ่านสะดวกแต่กันกุ้ง ปลา หรือแมลงตัวเล็กได้ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่ ชุดภาพส่วนบุคคลของนายบุญเสริม สาตราภัยอ้างอิง : เทพพิทักษ์ บุญทา. ม.ป.ป. คู่มือเครื่องมือประมงพื้นบ้านภาคเหนือภายใต้โครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม. คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่.




รับบริจาคหนังสือทุกประเภท จากนั้นจะมีการคัดแยกประเภทหมวดหมู่หนังสือ เพื่อให้บริการ และบริจาคต่อไปยังห้องสมุดตามโรงเรียน เรือนจำ และวัด



black ribbon.