...

ด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์
พระพุทธรูปทรงเครื่องศิลปะล้านนา

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่พระพุทธรูปทรงเครื่องศิลปะล้านนารูปแบบ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21ประวัติ : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เลียบมณฑลฝ่ายเหนือ เมื่อปี พ.ศ. 2469 พระราชทาน แก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2469 และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ส่งมาจัดแสดง ลักษณะ : พระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ทรงสวมมงกุฎ กุณฑล สังวาลไขว้ ทับทรวงประดับพลอยสีแดง พาหุรัด ทองพระกร พระธำมรงค์ และสวมผ้านุ่งลายตาราง อยู่บนฐานบัวหงาย รองรับด้วยฐานหน้ากระดาน 6 เหลี่ยม มีขาสามขา -----------------------------------------------------------พระพุทธรูปทรงเครื่องในศิลปะล้านนา เป็นที่นิยมสร้างในช่วงต้นถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 21 น่าจะมีคติการสร้างมาจากพุทธประวัติตอนทรมานพญามหาชมพู ซึ่งได้พบหลักฐานว่าเป็นคตินิยมที่เกิดขึ้นในแถบล้านนาและล้านช้าง โดยได้พบรูปบุคคลสำริดนั่งพนมมือแต่งเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ชิ้นหนึ่งในศิลปะล้านช้างที่มีจารึกชื่อ “ชมภูปติ” .เรื่องราวเป็นตอนที่พญามหาชมพูซึ่งถือว่าตนเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้ใดเหนือตน ได้มาคุกคามและรบกวนพระเจ้าพิมพิสารอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าทรงเล็งพระญาณเห็นว่า จะโปรดพญามหาชมพูได้ จึงเนรมิตแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่า แล้วให้พระอินทร์แปลงเป็นราชทูตไปทูลเชิญพญาชมพูมาเข้าเฝ้า และทรงแสดงธรรมโปรดจนพญามหาชมพูหมดทิฐิมานะและขอบรรพชาอุปสมบท .ลักษณะพระพุทธรูปทรงเครื่องในศิลปะล้านนาแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มหนึ่งเป็น แบบที่มีการครองจีวรและมีเครื่องทรงมาสวมทับไว้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ แบบที่แสดงเครื่องทรงเพียงอย่างเดียว ไม่แสดงการครองจีวร โดยทั้งสองแบบน่าจะสร้างขึ้นพร้อมกันหรือห่างกันไม่มากเนื่องจากลักษณะรูปแบบโดยรวมใกล้เคียงกัน .พระพุทธรูปทรงเครื่องที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ องค์นี้ เป็นแบบกลุ่มที่แสดงเครื่องทรงเพียงอย่างเดียว ไม่แสดงการครองจีวร โดยปกติในกลุ่มนี้มักนิยมประทับนั่งขัดสมาธิราบ แต่องค์นี้ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลศิลปะปาละ มีเครื่องทรงที่แสดงอิทธิพลศิลปะลังกา คือ มีการสวมกรัณฑมกุฎ คือ มงกุฎทรงกรวยแหลม โดยประกอบขึ้นจากวงแหวนหรือลูกกลมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไปจนถึงยอดแหลม การสวมเครื่องทรงแบบนี้สามารถเทียบเคียงได้กับเทวดาปูนปั้นที่วัดเจ็ดยอด .นอกจากนี้ส่วนฐานบริเวณบัวคว่ำทำเป็นลวดลายประดิษฐ์แบบศิลปะจีน และมีลายประจำยามก้ามปูและเม็ดไข่ปลา ส่วนขาสามขาที่มาจากสายท่อชนวนที่ไม่ได้ตัดทิ้งก็เป็นแบบที่นิยมพบในพระพุทธรูปช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 -----------------------------------------------------------อ้างอิง- สมพร อยู่โพธิ์. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2514. หน้า 118.- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 247-251- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, 2565. หน้า 553-555.- เชษฐ์ ติงสัญชลี. บทบาทของศิลปะอินเดียต่อเครื่องแต่งกายประติมากรรมบุคคลในเอเชียอาคเนย์ : รายงานวิจัย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2562. หน้า 88.ที่มารูปภาพรูปบุคคลมีจารึกชื่อ ชมภูปติ- A. B. Griswold. “Notes on the Art of Siam, no. 5. The Conversion of Jambupati”.Artibus Asiae Vol. 24, No. 3/4 (1961), pp. 297.

พระบฏ

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่พระบฏ รูปแบบ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 20 -21วัสดุ : ผ้าประวัติ : พบที่กรุเจดีย์วัดเจดีย์สูง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อคราวที่สำรวจแหล่งโบราณคดีที่จะถูกน้ำท่วมก่อนการสร้างเขื่อนภูมิพลเมื่อปี พ.ศ. 2502-2503 โดยเริ่มขุดที่วัดเจดีย์สูงเป็นวัดแรก ลักษณะ : เป็นภาพจิตรกรรมรูปพระพุทธเจ้าและพระสาวก เขียนลงบนผ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าในแนวตั้ง ส่วนบนและล่างมีที่ไว้สำหรับใช้แขวน---------------------------------------------------------พระบฏ คือ ภาพที่เขียนลงบนผ้าเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า ใช้แขวนเพื่อเคารพบูชามีรากศัพท์เดิมมาจากภาษาบาลี คำว่า ปฏ (ปะ-ตะ) หมายถึง ผืนผ้า.ถึงแม้ว่าสภาพของพระบฏผืนนี้ บางส่วนของภาพค่อนข้างชำรุด จึงมีไม่เต็มภาพ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นองค์ประกอบหลักของภาพได้อยู่ .องค์ประกอบภาพ ตรงกลางเป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับยืนบนฐานบัว แสดงปางเปิดโลก เหนือพระเศียรเขียนภาพฉัตร โดยมีพระอัครสาวกคือ พระโมคคัลลานะ (เบื้องซ้าย) และพระสารีบุตร (เบื้องขวา) ยืนพนมมือขนาบอยู่ทั้งสองข้าง ฉากหลังเป็นพื้นสีแดง ปรากฏภาพดอกไม้สวรรค์ หรือ ดอกไม้ร่วงนานาพันธุ์ เช่น ดอกบัว ดอกโบตั๋น ดอกจำปี ดอกจำปา ดอกปีบ เป็นต้น ส่วนด้านบนทางซ้ายและขวา เป็นภาพพระจันทร์ มีกระต่ายอยู่ด้านใน และก้อนเมฆล้อมรอบ อีกฝั่งที่ชำรุดเสียหายสันนิษฐานว่าคือภาพพระอาทิตย์ .จากองค์ประกอบภาพและการโคจรของพระอาทิตย์และพระจันทร์จะอยู่ระดับเหนือยอดเขายุคันธร อันเป็นหนึ่งในเขาสัตบริภัณฑ์ซึ่งอยู่ต่ำกว่าเขาพระสุเมรุ ยอดเขาพระสุเมรุคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงหมายถึงเรื่องราวใน พุทธประวัติ ตอนหลังจากเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเสด็จลงมาถึงโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัสสะแล้ว. รูปแบบจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่บริเวณพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าปรากฏพระเนตรที่เรียวยาวเหลือบมองต่ำ และร่องรอยลายเส้นคาดว่าน่าจะมีชายสังฆาฏิยาว แสดงให้เห็นถึงการได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย ส่วนพื้นหลังที่มีดอกไม้ร่วงนานาชนิด ลักษณะลวดลายของดอกไม้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะจีน ซึ่งได้รับความนิยมในงานศิลปกรรมของล้านนาช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 21 สันนิษฐานว่าช่างล้านนาได้นำลายดอกไม้จีนมาจากเครื่องถ้วยจีน เนื่องจากได้พบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิงภายในกรุเดียวกันกับพระบฏ นอกจากนี้ยังมีลายก้อนเมฆและลายหยักคลื่นก็ได้รับอิทธิพลศิลปะจีนเช่นเดียวกัน.การเขียนภาพใช้เทคนิคสีฝุ่นบนผ้าใบ การใช้สีเป็นประเภทพหุรงค์ โดยใช้หลายสีคือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง สีเขียว สีขาว และสีดำ.จากการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนการสร้างเขื่อนภูมิพลนี้ ยังได้พบพระบฏอีกผืนที่มีขนาดใกล้เคียงกันด้วย โดยพบบรรจุอยู่ในหม้อดินที่กรุเจดีย์วัดดอกเงิน อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นภาพตอนกำลังเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ กรุงเทพฯ . ขณะนี้ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ได้มีการปรับปรุงห้องจัดแสดงใหม่ โดยได้นำผ้าพระบฏที่พบจากวัดเจดีย์สูง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่นี้ กลับมาจัดแสดงอีกครั้ง ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถเข้าชมความงามและร่องรอยงานจิตรกรรมสมัยอาณาจักรล้านนาที่เหลือหลักฐานอยู่ไม่มากได้ที่ชั้น 2 ห้องพระพุทธศาสนาในอาณาจักรล้านนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เปิดทำการวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 09:00 -16:00 น. หยุดทุกวันจันทร์ – วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์-----------------------------------------------------อ้างอิง- กรมศิลปากร. ศัพทานุกรมโบราณคดี. นครปฐม : รุ่งศิลป์การพิมพ์ , 2550 หน้า 372.- สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะภาคเหนือ : หริภุญชัย-ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2555. หน้า 159-161.- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 323-325.- Chiang Mai House of Photography by Associate Professor Kanta Poonpipat Foundation. ภาพเขียนจิตรกรรมบนผืนผ้า (พระบฏ) วัดเจดีย์สูง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อ 12 กันยายน 2565, จาก : https://cmhop.org/product/พระบฏกรุวัดเจดีย์สูง/ - อาทิตยา สืบมาแต่ปั้น. เปรียบเทียบพระบฏแสดงภาพพุทธประวัติตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สมัยล้านนาและรัตนโกสินทร์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2552.

พระเจ้าเก้าตื้อ วัดบุปผาราม

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่พระเจ้าเก้าตื้อ วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่รูปแบบ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 วัสดุ : สำริด ลงรักปิดทองประวัติ : พระเมืองแก้วโปรดให้สร้างขึ้น เริ่มทำการหล่อพระพุทธรูปเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีชวด จุลศักราช 866 (พ.ศ. 2047) เสร็จแล้วได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดบุปผาราม เมื่อวันพุธ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 จุลศักราช 871 (พ.ศ. 2052) สถานที่ : ปัจจุบันประดิษฐานภายในวิหารพระเจ้าเก้าตื้อ ลักษณะ : พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบบนฐานหน้ากระดานเกลี้ยง พระพักตร์รูปไข่ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ยาวจรดพระนาภี ----------------------------------------------------------“พระเจ้าเก้าตื้อ” เป็นพระพุทธรูปสำริดศิลปะล้านนาสภาพสมบูรณ์ที่ใหญ่ที่สุด คำว่า “เก้าตื้อ” หมายถึงพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่หนักมากถึง 9 ตื้อ โดยมีขนาดหน้าตักกว้าง 2.90 เมตร และสูง 3.87 เมตร .ลักษณะของพระพุทธรูปเป็นแบบเชียงแสนสิงห์สอง คือกลุ่มที่มีอิทธิพลศิลปะสุโขทัยแบบหมวดใหญ่ เห็นได้จากลักษณะของพระพักตร์รูปไข่ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี เป็นตามแบบพระพุทธรูปศิลปะล้านนาที่พบมากในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 21 แต่ชายสังฆาฏิทำเป็นแผ่นใหญ่เป็นลักษณะอิทธิพลของศิลปะอยุธยาเข้ามาผสมด้วย จากลักษณะรูปแบบของพระพุทธรูปมีความสอดคล้องกับเอกสารที่กล่าวถึงการสร้าง----------------------------------------------อ้างอิง- พระรัตนปัญญาเถระ, แสง มนวิทูร, แปล. ชินกาลมาลีปกรณ์. พระนคร : กรมศิลปากร, 2501. หน้า 119-121.- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 244-245.- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, 2565. หน้า 552.- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. คู่มือนำชม ศิลปกรรมโบราณล้านนา. นนทบุรี : เมืองโบราณ, 2563. หน้า 110.- กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. 108 องค์พระปฏิมา พระพุทธรูปคู่แผ่นดิน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนา, 2560. หน้า 37.

ปางพิจารณาชราธรรม

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ >> ปางพิจารณาชราธรรม <<ลักษณะ : พระพุทธรูปในอิริยาบถนั่ง พระหัตถ์ซ้ายและขวาวางคว่ำบริเวณพระชานุทั้งสองข้าง เป็นปางจากพุทธประวัติของเหตุการณ์ในพรรษาที่ 45 พรรษาสุดท้ายแห่งพระชนมายุ พระพุทธองค์ประทับ ณ บ้านเวฬุวคาม ทรงประชวรหนักเกิดทุกขเวทนา ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาด้วยอธิวาสนขันติ และบำบัดขับไล่อาพาธให้สงบระงับด้วยความเพียรในอิทธิบาทภาวนาครั้นหายประชวรเป็นปกติแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่พระอานนท์ว่า “บัดนี้ เราแก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยเสียแล้ว ชนมายุกาลแห่งเราถึง 80 ปีเข้าแล้วนี่ กายแห่งคถาคตย่อมเป็นประหนึ่งเกวียนชำรุดที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ มิใช่สัมภาระเกวียนฉะนั้น” พระองค์ทรงเปรียบเทียบสังขารว่าเหมือนเกวียนเก่า ซึ่งต้องใช้ไม้ไผ่ผูกดามกระหนาบ----------------------------------------------------------ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) มีพระราชประสงค์จะบำเพ็ญพระราชกุศลเช่นบูรพกษัติรย์ในสมัยอยุธยาได้เคยปฏิบัติ คือ การสร้างพระพุทธรูปถวายเป็นพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงคิดค้นคัดเลือกพุทธอิริยาบถปางต่าง ๆ ตามเรื่องที่มีในพุทธประวัติ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพิ่มเติมขึ้น อาทิ ปางทุกรกิริยา ปางรับมธุปายาส ปางลอยถาด ปางรับกำหญ้าคา ฯลฯ โดยมี “ปางพิจารณาชราธรรม” รวมอยู่ด้วย ซึ่งปางนี้ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1.พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคราวนี้เป็นแบบอย่างของพุทธศิลปะแบบแผนสกุลช่างกรุงเทพฯ ที่สำคัญ ปัจจุบันพระพุทธรูปดังกล่าวได้ประดิษฐานในหอราชกรมานุสรณ์ และหอราชพงศานุสรณ์ ทางด้านตะวันตกของพระอุโบสถวัดศรีรัตนศาสดาราม.ปางพิจารณาชราธรรมเป็นปางที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการสร้างเหมือนกับปางมารวิชัย หรือ ปางสมาธิที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้มักพบเจอพระพุทธรูปปางนี้ได้ไม่บ่อยนัก.ตัวอย่างหนึ่งที่พบในสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) ได้มีการสร้างพระพุทธรูป 80 องค์รอบพระระเบียงองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม สร้างขึ้นจากศรัทธาบริจาคของพุทธศาสนิกชน โดยมี 66 องค์เป็นปางที่สร้างขึ้นตามเหตุการณ์สำคัญตอนต่าง ๆ ในพุทธประวัติ และหนึ่งในนั้นก็ได้สร้างพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรมนี้ไว้ด้วย.และจากเหตุการณ์เจดีย์ถล่มที่วัดศรีสุพรรณ ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้มีการพบพระพุทธรูปที่ถูกบรรจุอยู่ภายในเจดีย์จำนวนมาก และหนึ่งในนั้นก็ได้พบพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรมเช่นกัน ซึ่งแทบไม่เคยพบในพระพุทธรูปล้านนามาก่อน จากประวัติการคิดค้นปางนี้มีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา จึงสันนิษฐานได้ว่าพระพุทธรูปปางนี้น่าจะเป็นการบรรจุเพิ่มปะปนรวมกับพระพุทธรูปของเดิมสมัยพระเมืองแก้วกลับเข้าไปในตอนซ่อมเจดีย์ในสมัยหลังก็เป็นได้--------------------------------------------------------อ้างอิง- สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, ม.ร.ว. พระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง. กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2535. หน้า 178-179.- กรมศิลปากร. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. พิมพ์ครั้งที่ 4. นครปฐม : รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2558. หน้า 12-13, 90.- สมพร อยู่โพธิ์. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2514. หน้า 7-10, 128-129.- ไขศรี ศรีอรุณ. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ในสยามประเทศ. พิมพ์ครั้งที่ 6. นนทบุรี : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด, 2561. หน้า 71.- ธนากิต. ประวัติพระพุทธรูปปางต่าง ๆ. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2544. หน้า 261-263.ที่มาของภาพ1. ภาพพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรม ประดิษฐานภายในหอราชกรมานุสร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม- สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, ม.ร.ว. พระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง. กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2535. 2. ภาพพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรม ประดิษฐานรอบพระระเบียงองค์พระปฐมเจดีย์- กรมศิลปากร. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. พิมพ์ครั้งที่ 4. นครปฐม : รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2558. 3. ภาพลายเส้นพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรม - สมพร อยู่โพธิ์. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2514.

พระพุทธรูปปางมารวิชัย

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่พระพุทธรูปปางมารวิชัยรูปแบบ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 วัสดุ : สำริด ลงรักปิดทองประวัติ : พบที่วัดศรีโขง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อคราวที่สำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนสร้างเขื่อนภูมิพลเมื่อปีพ.ศ. 2502-2503ลักษณะ : พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบ แสดงปางมารวิชัย มีพระรัศมีเป็นเปลว ขมวดพระเกศาเล็ก พระเนตรหรี่เหลือบต่ำฝังมุกและพลอย ครองจีวรห่มเฉียง ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภีปลายเป็นรูปลายสี่กลีบ ฐานเป็นแบบบัวคว่ำ- บัวหงาย มีลายเกสรบัว มีประดับเม็ดไข่ปลา รองรับด้วยฐานหกเหลี่ยม เจาะช่องกระจก และมีขาสามขา ----------------------------------------------------พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะที่เหมือนกันกับพระพุทธรูปปางวิชัย ที่วัดพันเตา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีจารึกระบุปีที่สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. 2040 โดยจัดเป็นพระพุทธรูปกลุ่มขัดสมาธิราบที่ได้รับอิทธิพลศิลปะสุโขทัยในยุคสมัยของพระเมืองแก้ว กำหนดอายุได้ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 21 ในยุคนี้ได้ค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและนิยมการสร้างพระพุทธรูปเป็นอย่างมาก .จากลักษณะรูปแบบจะเห็นได้ว่ามีลักษณะสำคัญหลายประการที่เป็นข้อสังเกตของพระพุทธรูปในสมัยพระเมืองแก้ว ตัวอย่างเช่น .ส่วนของพระเนตรที่ทำหรี่เหลือบมองต่ำ ต่างจากพระพุทธรูปแบบเดียวกันในสมัยพระเจ้าติโลกราชที่นิยมทำพระเนตรเปิดกว้างและมองตรงมากกว่า.ส่วนของฐานที่ทำเป็นบัวคว่ำ-บัวหงาย มีลายเกสรบัวด้านใน ที่ฐานเหลี่ยมด้านล่างมีการเจาะช่องคล้ายลายก้อนเมฆ เรียกว่า “ช่องกระจก” ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะจีน สันนิษฐานว่าช่างล้านนานำลายที่ปรากฏบนเครื่องถ้วยจีนมาดัดแปลงเป็นลายประดับฐานและอาจจะช่วยความสะดวกในเรื่องการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปก็เป็นได้.ส่วนการทำขาสามขารองรับ โดยส่วนนี้มาจากสายท่อชนวนสำหรับหล่อพระพุทธรูปและเหลือไว้ไม่ตัดทิ้ง (โดยปกติเมื่อเสร็จแล้วจะตัดทิ้ง) จึงกลายเป็นลักษณะเฉพาะที่ได้รับความนิยมในสมัยนี้ .ส่วนของชายสังฆาฏิทำเป็นแผ่นค่อนข้างใหญ่ มักพบในศิลปะอยุธยา จึงสันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากศิลปะอยุธยามาผสมด้วย ส่วนปลายมีลักษณะพิเศษ โดยตัดตรงและตกแต่งลวดลายบนส่วนปลาย เป็นลักษณะของพระพุทธรูปกลุ่มหนึ่งที่นิยมในสมัยนี้ อีกกลุ่มหนึ่งยังคงทำเป็นแบบปลายแยก 2 ชายม้วนเข้าหากันคล้ายเขี้ยวตะขาบ.นอกจากลักษณะดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีลักษณะสำคัญอื่น ๆ ที่มักปรากฏในกลุ่มพระพุทธรูปอิทธิพลศิลปะสุโขทัยในสมัยนี้ คือ นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเท่ากันและเรียวยาว ส่วนใหญ่นิยมจารึกบอกศักราชปีที่สร้าง ตัวอย่างสำคัญคือ พระเจ้าเก้าตื้อ วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ----------------------------------------------------อ้างอิง- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 243-244.ที่มารูปภาพพระพุทธรูปปางมารวิชัย วัดพันเตา- ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ. (2547, 14 พฤษภาคม) ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 121 ตอนที่ 55ง. หน้า 69.

หีบพระธรรมลายรดน้ำ

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ หีบพระธรรมลายรดน้ำ รูปแบบ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 24วัสดุ : ไม้ ลงรักปิดทอง ประดับกระจกประวัติ : พุทธสถานเชียงใหม่มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดแสดงลักษณะเป็นหีบพระธรรมทรงลุ้ง คือ หีบทรงสูงที่มีส่วนบนกว้าง ส่วนล่างสอบลง และมีฝาปิดครอบด้านบน ตกแต่งด้วยการลงรักปิดทอง แสดงภาพทศชาติชาดกและพุทธประวัติ ตั้งอยู่บนฐานบัวลูกแก้วอกไก่ประดับกระจก มีห่วงวงกลม 4 วงรองรับเพื่อใช้สำหรับสอดไม้คานหามได้ ---------------------------------------------------ภาพเขียนลงรักปิดทองของหีบพระธรรมใบนี้ มีรูปแบบผสมอิทธิพลศิลปะรัตนโกสินทร์ ล้านนา และจีน โดยเห็นได้จากเครื่องทรงของตัวละครหลัก และสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี เป็นแบบอิทธิพลศิลปะรัตนโกสินทร์ ในขณะที่เครื่องแต่งกายและทรงผมของเหล่านางกำนัลเป็นแบบศิลปะล้านนา ส่วนฉากประกอบธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ ลวดลายที่ขอบและบนฝาหีบพระธรรม เช่น รูปมังกร ก้อนเมฆ มีอิทธิพลของศิลปะจีนผสมอยู่.ช่างได้เขียนภาพเล่าเรื่อง “ทศชาติชาดก และ พุทธประวัติ” โดยเลือกทศชาติชาดกมา 3 ชาติ คือ ชาติที่ 8 นารทชาดก, ชาติที่ 9 วิทูรชาดก และชาติที่ 10 เวสสันดรชาดก ส่วนพุทธประวัติ คือ ตอนออกมหาภิเนษกรมณ์.- ด้านที่ 1 “นารทชาดก”เป็นชาติที่ 8 เพื่อบำเพ็ญอุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นท้าวมหาพรหม ชื่อว่า นารทะ ในครั้งนั้นพระเจ้าอังคติราชมีความเห็นผิดว่า นรก สวรรค์ ไม่มีจริง นารทะพรหมจึงได้เสด็จลงมาแสดงโทษแห่งความเห็นผิดให้พระเจ้าอังคติราชสดับฟัง ทำให้พระองค์คลายจากมิจฉาทิฐิละความเห็นผิด กลับมาปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ฉากที่เลือกมาเขียน เป็นฉากตอนที่นารทะพรหมหาบสาแหรกทองคำ เหาะลงมายังปราสาทของพระเจ้าอังคติราช โดยมีพระธิดาเข้าเฝ้าอยู่ เพื่อแสดงโทษแห่งความเห็นผิดให้พระเจ้าอังคติราชฟัง.- ด้านที่ 2 “วิทูรชาดก” เป็นชาติที่ 9 เพื่อบำเพ็ญสัจจบารมี พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นอำมาตย์ ชื่อว่า วิทูระ เป็นผู้สอนอรรถและธรรมแด่พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ แห่งกรุงอินทปัตถ์ เมื่อปุณณกยักษ์มาท้าพนันเล่นสกากับพระเจ้าธนัญชัย โดยมีวิทูรบัณฑิตเป็นเดิมพัน เพื่อหวังเอาหัวใจไปให้นางวิมาลาซึ่งเป็นมเหสีของพญานาค พระเจ้าธนัญชัยทรงแพ้ แม้วิทูรบัณฑิตจะรู้ดีว่า หากตอบว่าตนไม่ใช่ทาสของพระราชาก็จะพ้นจากสถานการณ์นี้ แต่ก็ยังคงตอบตามความเป็นจริงไป เพราะยึดมั่นในสัจจะฉากที่เลือกมาเขียน เป็นฉากตอนที่ปุณณกยักษ์ปรารถนาจะได้หัวใจวิทูรบัณฑิตไปให้นางวิมาลามเหสี จึงควบม้าไปในทางที่มีต้นไม้และภูเขา โดยให้วิทูรบัณฑิตจับที่หางม้าไว้ หวังเหวี่ยงให้ร่างวิทูรบัณฑิตกระแทกต้นไม้และภูเขาตายไปโดยชอบธรรม แต่ทั้งต้นไม้และภูเขากลับแหวกทางออกให้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ.- ด้านที่ 3 “เวสสันดรชาดก”เป็นชาติที่ 10 เพื่อบำเพ็ญทานบารมี ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะทรงอุบัติเป็นพระโคตมพุทธเจ้า โดยชาตินี้เสวยชาติเป็น พระเวสสันดร พระองค์ทรงตั้งปณิธานในการบริจาคทาน แม้จะมีใครขอสิ่งที่รัก สิ่งที่หวงแหนก็ทรงบริจาคเป็นทานได้ฉากที่เลือกมาเขียน เป็นฉากในตอนของกัณฑ์ที่ 2 คือ กัณฑ์หิมพานต์ เป็นตอนที่พระเวสสันดรทรงมอบช้างปัจจัยนาเคนทร์ ช้างเผือกมงคลที่ไปที่ไหนฝนก็ตกที่นั่นให้แก่เหล่าพราหมณ์ทั้ง 8 (ในภาพวาดเพียง 7 คน) จากเมืองกลิงคราษฎร์ที่กำลังประสบปัญหาฝนแล้ง โดยพระหัตถ์หนึ่งกำลังหลั่งน้ำสิโณทก ไปที่มือของพราหมณ์ อีกพระหัตถ์จับงวงช้างไว้.- ด้านที่ 4 “ออกมหาภิเนษกรมณ์”เป็นตอนในพุทธประวัติ หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ที่เทวดาแสร้งนิมิตไว้ แล้วทรงสังเวช แสวงหาอุบายแก้ทุกข์ จึงตัดสินใจออกผนวชฉากที่เลือกมาเขียน เป็นฉากในตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปยังปราสาท เพื่อทอดพระเนตรพระนางพิมพา (พระมเหสี) และพระราหุล (พระโอรส) ที่เพิ่งประสูติ ซึ่งทั้งสองกำลังบรรทมอยู่ และมีเหล่านางกำนัลกำลังหลับใหล ที่ด้านนอกปราสาทมีนายฉันทะที่เตรียมม้ากัณฐกะรออยู่ เพื่อเสด็จออกจากพระนครเพื่อออกผนวช ---------------------------------------------------อ้างอิง- ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ฉบับญาณวชิระ. สมุทรปราการ : เมืองโบราณ, 2565.- วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. พุทธประวัติ เล่ม 1. พระนคร : โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, 2455.