การปฏิรูประบบเงินตราถือเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่ง คือ การประกาศใช้หน่วยเงินตราใหม่ในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2441 ซึ่งนับเป็นการปรับโครงสร้างระบบเงินตราไทยให้มีมาตรฐานสากล โดยกำหนดให้ “บาท” เป็นหน่วยเงินตราหลักแทนการใช้หน่วยเงินโบราณที่ซับซ้อน
ก่อนการกำหนดให้ “บาท” เป็นหน่วยมาตรฐานของเงินตราไทยนั้น ประเทศไทยใช้หน่วยเงินตราหลากหลายรูปแบบ เช่น เบี้ย สตางค์ โสฬส เฟื้อง เสี้ยว อัฐ ซีก ตำลึง ฯลฯ ซึ่งมิได้อิงกับระบบทศนิยม ทำให้การคำนวณ การแลกเปลี่ยน และการค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างยุ่งยาก นอกจากนี้ยังมีการใช้เงินพดด้วงและเงินตราต่างประเทศร่วมด้วย ยังส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจขาดความเป็นเอกภาพ และไม่สอดคล้องกับการค้าโลกที่กำลังขยายตัวในขณะนั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นถึงความจำเป็นในการปฏิรูประบบเงินตรา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมาตราเงินตราระบบเดิมจากน้ำหนักเป็นระบบทศนิยม โดยกำหนดให้เงิน “1 บาท” มีค่าเท่ากับ “100 สตางค์” และสั่งทำเหรียญกษาปณ์ทองขาวที่เรียกกันว่า เบี้ยสตางค์ทองขาว ซึ่งมีหน่วยเป็นสตางค์ นำออกให้ทดลองใช้เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2441 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของไทยที่ได้ก้าวสู่ระบบเงินตราสมัยใหม่ ต่อมาใน พ.ศ. 2446 จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา รัตนโกสินทร ศก 122 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่เกี่ยวกับหน่วยเงินตราโดยตรงและระบบเงินอย่างเป็นทางการของไทย

เหรียญเบี้ยสตางค์ทองขาว ที่ผลิตขึ้นนำออกใช้เมื่อครั้งเปลี่ยนหน่วยเงินตราใหม่ โดยเหรียญกษาปณ์รุ่นนี้มีอักษรไทยคำว่า “สยามราชอาณาจักร” จึงนิยมเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “เหรียญสยามราชอาณาจักร” ใช้หน่วย “สตางค์” เป็นครั้งแรก หน่วยสตางค์มาจากคำว่า “องค์” หมายถึงภาคหรือส่วน และ คำว่า “สต” ที่แปลว่า 100 คำว่าสตางค์จึงแปลว่า ส่วนของร้อย เมื่อบัญญัติศัพท์นี้ขึ้นแล้ว หน่วยของเงินตราไทยจึงเหลือแต่หน่วย “บาท” และ “สตางค์”
การปฏิรูประบบเงินตราของไทยนั้น มีพัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากต้องใช้เวลาเพื่อให้ประชาชนได้ปรับตัวและมีความเข้าใจในรูปแบบของระบบเงินตราที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้เวลานานถึง 28 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2440 ถึง พ.ศ. 2468 จึงประสบผลสำเร็จ การประกาศใช้หน่วยเงินตราใหม่นี้ส่งผลต่อประเทศไทยในหลายมิติ ในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้การคำนวณและการซื้อขายมีความสะดวก รวดเร็ว และลดความสับสนจากหน่วยเงินที่ซับซ้อน ด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการมีมาตราเงินตราระบบทศนิยมทำให้เอื้อต่อการค้าระหว่างประเทศ
สามารถบูรณาการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การใช้เงินตรามาตรฐานเดียวกันยังช่วยสร้างเอกภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นของความทันสมัยทางการเงินอีกด้วย
วันที่ 21 สิงหาคม จึงเป็นวันสำคัญที่สะท้อนถึงการเข้าสู่ระบบเงินตราสมัยใหม่ของไทย เป็นวันที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ระบบการเงินแบบใหม่อย่างเป็นสากล “บาท” กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพทางเศรษฐกิจ และยังคงเป็นหน่วยเงินตราที่คนไทยใช้กันมานานกว่าหนึ่งศตวรรษจนถึงทุกวันนี้
แหล่งข้อมูลอ้างอิงและภาพประกอบ
นวรัตน์ เลขะกุล. เบี้ย บาท กษาปณ์ แบงก์. กรุงเทพฯ: สารคดี, 2542.
พระราชบัญญัติเงินตรา รัตนโกสินทร ศก 122. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2568, จาก https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1026197.pdf
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่ม 29. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, 2550.
เรียบเรียงโดย นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กรมศิลปากร
(จำนวนผู้เข้าชม 71 ครั้ง)