ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
ผู้แต่ง : -
ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1
สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ.
ปีที่พิมพ์ : 2500
หมายเหตุ : จัดทำเป็นภาพประกอบคำบรรยายพุทธจริยาประวัติ อำนวยการพิมพ์ขึ้นโดยสำนักข่าวสารอเมริกัน เพื่อบรรณาการแก่ประชากรไทยในนามแห่งประชากรอเมริกันในโอกาสงานฉลองพุทธยี่สิบห้าศตวรรษ พ.ศ.2500
สมุดภาพพุทธจริยาประวัติ ตามภาพ บนผนังโบสถ์วิหารในประเทศไทยเล่มนี้ เป็นการรวบรวมภาพพุทธประวัติตอนต่าง ๆ โดยการลอกแบบภาพมาจากภาพเขียนตามฝาผนังโบสถ์วิหารที่ได้เขียนขึ้นตามธรรมเนียมประเพณีไทยในยุคโน้น ที่มีอยู่ในประเทศไทย มาจัดพิมพ์พร้อมทั้งให้คำบรรยายภาพแต่ล่ะภาพด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อันเป็นประโยชน์ในการศึกษาเรื่องราวพระพุทธประวัติ
ชื่อเรื่อง : รวมพระธรรมเทศนา และ คำถาม-คำตอบ ปัญหาธรรมของท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณฺสมฺปณฺโณ หม่อมหลวงทวีวัฒน์ สนิทวงศ์ และ คุณจรัส สนิทวงศ์ ณ อยุธยา พิมพ์เป็นธรรมวิทยาธาน ชื่อผู้แต่ง : พระมหาบัว ญาณฺสมฺปณฺโณ ปีที่พิมพ์ : 2512สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์ จำนวนหน้า : 750 หน้า สาระสังเขป : หนังสือรวมพระธรรมเทศนา และ คำถาม-คำตอบ ปัญหาธรรมของท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณฺสมฺปณฺโณ เล่มนี้ ได้รวบรวมคำถาม-คำตอบ ปัญหาธรรม อาทิเช่น ศีล สมาธิ ปัญญา พระธรรมเทศนา เรื่องต่าง ๆ ในวัดต่าง ๆ
ชื่อเรื่อง : สารคดีชุด “เมืองไทยที่รัก” ชื่อผู้แต่ง : โอภาส เสวิกุล ปีที่พิมพ์ : 2512สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โอเดียนบุ๊คสโตร์ จำนวนหน้า : 324 หน้า สาระสังเขป : หนังสือสารคดีชุด “เมืองไทยที่รัก”เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ของเมืองไทย อาทิเช่นพิธีโกนจุก ราชาดนตรี พระมงกุฏเกล้ากับหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์กับเมืองไทย หวยรัฐบาล ลูกเสือไทย
ผลการตรวจสอบวัดบ้านยางชุมใหญ่ (วัดโพธิชัยศรี) ตำบลยางชุมใหญ่ อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ พบว่าโบราณสถานตั้งอยู่ในวัดบ้านยางชุมใหญ่ เป็นศาลาการเปรียญของวัด จากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดให้ข้อมูลว่า วาดขึ้นในราวปี พ.ศ.๒๔๘๕ พร้อมๆกับการสร้างศาลาการเปรียญ
จากการสำรวจพบว่า อาคารศาลาการเปรียญ เป็นอาคารโถงมีหลังคาคลุมออกมารอบๆทั้งสี่ด้าน ส่วนหลังคาและพื้นอาคารได้รับการบูรณะใหม่หมดแล้ว เหลือเพียงส่วนหน้าบันและฝ้าเพดาน หน้าบันไม้ฉาบปูน ประดับเป็นปูนปั้นระบายสีด้วยสีฝุ่น หน้าบันด้านตะวันออกบอกปีที่สร้างในพ.ศ.๒๔๘๕ ปั้นเป็นราหูกำลังอมจันทร์ ด้านตะวันตกเป็นรูปเทพพนม
ภาพเขียนบนฝ้าเพดานแบ่งออกเป็นสามช่อง เขียนในราวปีพ.ศ.๒๔๘๕ พร้อมกับสร้างศาลา ภาพเขียนด้วยสีฝุ่นบนพื้นไม้ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องราวในเรื่องรามเกียรติ์ทั้งสามตอน สภาพค่อนข้างลบเลือน แผ่นไม้มีรอยแตกสภาพสีหลุดร่อนบางส่วน
ข้อมูลโดย นายกิตติพงษ์ สนเล็ก นักโบราณคดี ชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี
เรือยอกอง
เรือยอกอง เป็นเรือประมงพื้นถิ่นที่ใช้หาปลาทั้งในแม่น้ำลำคลองและในทะเล ทำจากไม้ตะเคียน ขนาดของเรือมีทั้ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่
ตัวเรือ ตกแต่งด้วยการทาสีและเขียนลวดลายอย่างสวยงาม
เรือยอกองสิแย หมายถึง เรือยอกองแบบสยาม ซึ่งจะมีลักษณะเด่น คือ บริเวณหัวเรือจะมีการทำจมูกเรือ ลักษณะเป็นงวงขนาดเล็ก และส่วนสันตรงส่วนหัวและท้ายเรือจะเป็นเส้นโค้ง
เรือยอกองมาเลย์ มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่าเรือ “ดอฆอ” มีลักษณะที่ต่างจากเรือยอกองสิแย คือส่วนหัวเรือจะมีลักษณะคล้ายหน้าหนู และส่วนสันตรงส่วนหัวและท้ายเรือจะตัดเฉียง
การแข่งขันเรือยอกอง
ในพ.ศ.๒๕๒๓ เรือยอกองได้ถูกนำไปแข่งขันหน้าพระที่นั่งในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ร.๙) เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส โดยเรือที่ชนะจะได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานเช่นเดียวกับการแข่งขันเรือกอและ และนับแต่นั้นการการแข่งขันเรือยอกองหน้าพระที่นั่ง ก็ได้ถูกจัดขึ้นพร้อมกับการแข่งเรือกอและและเรือคชสีห์สืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นายอาหะมัด สาและ อู่ต่อเรือบ้านทอนนาอีม ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส
เรียบเรียงโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา
ชื่อเรื่อง พิมพาภิลาป (นิทานพิมพาพิลาป)สพ.บ. 103/1กประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า กว้าง 4.3 ซ.ม. ยาว 56.5 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดประสพสุข ต.ทับตีเหล็ก อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง สุวัณณมุกขะ (สุวัณณมุกขะ)สพ.บ. 203/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 54 หน้า : กว้าง 4.9 ซ.ม. ยาว 57.7 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดกกม่วง ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
บานประตูไม้จำหลักรูปเซี่ยวกาง ซึ่งจัดแสดงในห้องเครื่องไม้จำหลัก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
เซี่ยวกาง หรือรูปอารักษ์แบบจีน
มักเป็นทวารบาลรักษาประตู มีหนวดเครายาว แต่งกายท่อนบนคล้ายกับยักษ์คือสวมมงกุฎยอดน้ำเต้าหรือมงกุฎยอดหางไก่ สวมเสื้อเกราะ แต่นุ่งผ้าทิ้งชายสามเหลี่ยมระหว่างขา ยืนบนสิงห์โตแบบจีน
ในห้องเครื่องไม้จำหลัก มุขเด็จด้านตะวันตก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดแสดงบานประตูไม้จำหลักรูปเซี่ยวกางคู่หนึ่ง ตามประวัติระบุว่าเดิมเป็นบานประตูซุ้มทางขึ้นฐานไพทีปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ เมื่อทรงปรับปรุงอัฒจันทร์ทางขึ้นปราสาทพระเทพบิดรจึงรื้อซุ้มประตูทิศตะวันออก ทิศใต้ฟากตะวันออก และทิศเหนือลง และในภายหลังจึงนำบานประตูไม้จำหลักรูปเซี่ยวกางมาจัดแสดงในห้องโถงทางขึ้นพระที่นั่งพรหมเมศธาดาด้านตะวันออกเมื่อโปรดเกล้าฯ พระราชทานหมู่พระวิมานพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครในรัชกาลที่ ๗ แล้วจึงได้ย้ายมาจัดในแสดงในมุขเด็จด้านตะวันตกจนถึงปัจจุบัน
ท่านที่สนใจยังสามารถไปชมบานประตูไม้จำหลักรูปเซี่ยวกาง อีก ๒ คู่ ซึ่งคงอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม คือ ซุ้มประตูทางขึ้นฐานไพทีปราสาทพระเทพบิดร ทิศตะวันตก และทิศใต้ฟากตะวันตก สำหรับอีกคู่หนึ่งนั้นปัจจุบันเก็บรักษาที่คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี
บานประตูไม้จำหลักรูปเซี่ยวกาง ซึ่งเก็บรักษาที่คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานีรายละเอียดภาพจำหลักรูปวิถีชีวิตที่เชิงบานประตูไม้จำหลักทั้ง ๔ บานภาพถ่ายเก่าราวต้นรัชกาลที่ ๖ ปรากฏซุ้มทางขึ้นฐานไพทีปราสาทพระเทพบิดร ด้านทิศตะวันออกภาพถ่ายในรัชกาลที่ ๕ ยังคงเห็นซุ้มทางขึ้นฐานไพทีปราสาทพระเทพบิดร ด้านทิศเหนือฟากตะวันออกซุ้มทางขึ้นฐานไพทีปราสาทพระเทพบิดร ด้านทิศตะวันตกในปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๖๔)
เลขทะเบียน : นพ.บ.90/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 68 หน้า ; 4.5 x 53 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 53 (118-121) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : วินยกิจฺจ (สัปวินัยกิจ นามศัพท์-แปล) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง อุโปสถกรานิสํสกถา (อานิสงส์สร้างอุโบสถ)สพ.บ. 157/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 54 ซ.ม. หัวเรื่อง ธรรมเทศนา พุทธศาสนา อานิสงส์ สร้างอุโบสถ
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี
ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๗๗
เจ้าอาวาสวัดเทพประสาท ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.28/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
....ผืนป่าเมืองน่าน ( ตอนที่ ๑ ) ...
ป่าไม้ คือปัจจัยหลักของความอุดมสมบูรณ์ เพราะเป็นแหล่งกำเนิดของสายน้ำลำธาร พันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ และทรัพยากรธรรมชาติอีกนานัปการ
ประมาณทศวรรษที่ ๒๕๐๐ - ๒๕๑๐ กรมป่าไม้สำรวจพื้นที่ป่าทั่วประเทศ หนึ่งในนั้นคือผืนป่าน้ำสาฝั่งซ้าย อำเภอสา จังหวัดน่าน
จากเอกสารจดหมายเหตุประเภทแผนที่ แสดงสภาพป่าดังกล่าวด้วยมาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐ อย่างชัดเจนว่า มีลำห้วย ทางน้ำไหล เฉดสีพันธุ์ไม้ และอาณาเขตป่า
สิ่งที่น่าสนใจคือ " เฉดสีพันธุ์ไม้ " นั้น สีชมพูแทนป่าเบญจพรรณ ( Mixed Deciduous Forest ) หรือจำพวกไม้ผสมผลัดใบ และสีส้มแทนป่าแดง ( Deciduous Dipterocarp Forest ) หรือไม้เต็งรังในภูมิภาคเขตร้อนชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปกคลุมพื้นที่ส่วนบนของห้วยน้ำสาอย่างหนาแน่น อีกทั้งยังมีลำห้วย ๒ แห่งช่วยหล่อเลี้ยงบริเวณนี้สม่ำเสมอ
ความสำคัญของแผนที่นี้ บ่งบอกถึงปริมาณทรัพยากรธรรมชาติและความบริสุทธิ์ของอากาศได้ดีเยี่ยม
นอกจากผืนป่าน้ำสาฝั่งซ้ายแล้ว กรมป่าไม้ได้สำรวจพื้นที่อื่นๆ ในจังหวัดน่านด้วย ส่วนสภาพจะเป็นเช่นไร ความหนาแน่นของป่าไม้ ณ ขณะนั้นมีมากน้อยแค่ไหน ?
โปรดติดตาม ...
ผู้เขียน : นายธานินทร์ ทิพยางค์ ( นักจดหมายเหตุ )
เอกสารอ้างอิง : หจช.พย. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผจ นน 1.6 / 17 แผนที่สังเขปแสดง
สภาพป่า ป่าน้ำสาฝั่งซ้าย อำเภอสา จังหวัดน่าน ( ม.ท. )
ข้อมูลใหม่จากการขุดค้นทางโบราณคดี
ณ โบราณสถานวัดหลง
.
เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ถึง ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามโครงการขุดค้นชุมชนโบราณไชยา อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาชุมชนโบราณในเส้นทางข้ามคาบสมุทรในภาคใต้ตอนบนของประเทศไทย โดยทำการขุดค้นทางโบราณคดีจำนวน ๗ หลุม ได้แก่ (๑) หลุมขุดค้น TP.1 แหลมโพธิ์ ๑ (๒) หลุมขุดค้น TP.2 แหลมโพธิ์ ๒ (๓) หลุมขุดค้น TP.3 ศรียาภัยอนุสรณ์ (๔) หลุมขุดค้น TP.4 วัดแก้ว (๕) หลุมขุดค้น TP.5 วัดหลง (๖) หลุมขุดค้น TP.6 วัดพุมเรียง และ (๗) หลุมขุดค้น TP.7 วัดอุบล สำหรับองค์ความรู้ชุดนี้เป็นการนำเสนอผลการขุดค้นทางโบราณคดีของหลุมขุดค้นที่ ๕ (TP.5) วัดหลง ดังนี้
.
โบราณสถานวัดหลง ตั้งอยู่ในตำบลตลาด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถือเป็นหนึ่งในศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนานิกายมหายานที่สำคัญของภาคใต้ และยังเป็นสถาปัตยกรรมสมัยศรีวิชัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในเมืองโบราณไชยา โบราณสถานวัดหลงได้รับการขุดศึกษาทางโบราณคดีครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ โดย Jean Yves Claeys นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ซึ่งทำการขุดตรวจฐานรากโบราณสถานวัดหลง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๔๙๐ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ เข้ามาดำเนินการขุดตรวจฐานรากอาคารโบราณสถานวัดหลง พบว่าเป็นโบราณสถานก่ออิฐแบบไม่สอปูน ลักษณะแผนผังอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
.
จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๒๗ กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานวัดหลง พบร่องรอยเจดีย์ก่ออิฐซึ่งเหลือเพียงส่วนฐาน ลักษณะฐานเจดีย์อยู่ในผังรูปกากบาท ขนาดประมาณ ๒๑.๖๕ x ๒๑.๖๕ เมตร ลักษณะผังสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมรับกับเรือนธาตุทรงจตุรมุข ตัวเรือนธาตุมีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน โดยมีมุขทางเข้าอยู่ด้านทิศตะวันออก จากรูปแบบสถาปัตยกรรมแสดงให้เห็นว่าฐานอาคารเดิมของเจดีย์วัดหลงสร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ ส่วนฐานชั้นล่างของเจดีย์ สันนิษฐานว่าถูกสร้างเพิ่มเติมในภายหลัง คือราวสมัยอยุธยา โดยการก่ออิฐล้อมรอบฐานเจดีย์แล้วถมดินเป็นลานกว้าง ลักษณะคล้ายแนวกำแพงกันดินสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ แล้วทำทางขึ้นใหม่ตรงกับมุขทั้งสี่ด้านของเรือนธาตุ สำหรับโบราณวัตถุที่พบร่วมกับการขุดแต่ง ได้แก่ พระพิมพ์ดินดิบ อิทธิพลศิลปะทวารวดีและขอม อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์สุ้งและราชวงศ์หยวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ – ๑๙ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง เครื่องถ้วยสุโขทัย และภาชนะดินเผาพื้นเมือง ทั้งนี้ ในการขุดแต่งครั้งดังกล่าว นักโบราณคดีได้ทำการขุดตรวจเพื่อค้นหาโบราณสถานอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเจดีย์ เช่น กำแพงแก้ว และเจดีย์ทิศ โดยเลือกพื้นที่นอกกำแพงกันดินมาทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศใต้ ห่างออกมาด้านละ ๘ เมตร ซึ่งผลการขุดตรวจไม่พบรากฐานของสิ่งก่อสร้างใด ๆ ในบริเวณใกล้เคียงเจดีย์วัดหลง
.
ในปีงบประมาณ ๒๕๖๔ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโบราณสถานวัดหลง ผลการขุดค้นพบ “แนวอิฐ” ตั้งอยู่ห่างจากเจดีย์วัดหลงมาประมาณ ๒๖ เมตร แนวอิฐดังกล่าวอยู่ลึกจากผิวดินปัจจุบันประมาณ ๗๐ เซนติเมตร ขนาดกว้างประมาณ ๗๓ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑๖๐ เซนติเมตร วางตัวยาวตามแนวทิศเหนือ - ใต้ ขนานกับแนวกำแพงกันดินสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ก่อล้อมรอบฐานเจดีย์ ซึ่งนักวิชาการสันนิษฐานว่าแนวกำแพงกันดินข้างต้นน่าจะถูกสร้างเพิ่มเติมในสมัยอยุธยา และที่น่าสนใจคือพบว่าแนวอิฐที่พบใหม่นี้มีขนาดความกว้างของแนวอิฐเท่ากันกับแนวกำแพงกันดิน (คือกว้างประมาณ ๗๓ เซนติเมตร) รวมทั้งมีเทคนิคการก่ออิฐและการวางเรียงอิฐรูปแบบเดียวกัน คือเป็นการก่ออิฐแบบไม่สอปูน และวางเรียงอิฐด้วยการนำอิฐหักมาเรียงเป็นกรอบ แล้วถมอัดด้านในด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นขนาดเล็ก ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการนำเศษอิฐหักจากส่วนประกอบของโครงสร้างเจดีย์วัดหลงมาใช้ในการก่อสร้าง นอกจากนั้น ในการขุดค้นครั้งนี้ยังพบโบราณวัตถุสมัยอยุธยาในระดับชั้นดินเดียวกันกับแนวอิฐ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๒) จากข้อมูลดังกล่าว ในเบื้องต้นจึงสันนิษฐานว่าแนวอิฐที่พบใหม่นี้น่าจะเป็น “ฐานอาคารโบราณสถาน” หรืออาจเป็น “แนวกำแพงแก้ว” ของโบราณสถานวัดหลง ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ในระยะเดียวกับการก่อสร้างแนวกำแพงกันดินล้อมรอบเจดีย์ อย่างไรก็ตาม จะมีการดำเนินการขุดตรวจแนวอิฐที่ต่อเนื่องมาจากหลุมขุดค้นเดิมลงมาทางด้านทิศใต้อีกครั้ง เพื่อเป็นการตรวจสอบขอบเขตของแนวอิฐ และเพื่อให้ทราบถึงลักษณะของโบราณสถานดังกล่าวได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
.
สำหรับโบราณวัตถุอื่น ๆ ที่พบจากการขุดค้นในครั้งนี้ เช่น ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินกึ่งมีค่า ชิ้นส่วนเครื่องแก้วสีเขียว อิฐบัว อิฐดินเผา ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อดินมีลายกดประทับ ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์สุ้ง (พุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๙) ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน (พุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐) เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๒) และเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ชิง (พุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๕) จากหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงร่องรอยหลักฐานการใช้พื้นที่ของโบราณสถานวัดหลง ซึ่งปรากฏมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัย และมีการใช้พื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีการเข้ามาก่อสร้างเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยอยุธยา และสันนิษฐานว่าคงมีการใช้พื้นที่สืบเนื่องมาถึงยุคสมัยหลังด้วย เนื่องจากยังคงพบชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีนที่ต่อเนื่องมาถึงสมัยราชวงศ์ชิง (พุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๕) ทั้งนี้ สำหรับหลักฐานทางโบราณคดีที่พบจากการขุดค้นในครั้งนี้ จะทำการศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำเป็นรายงานเผยแพร่ต่อไป
.
เรียบเรียง/กราฟิก : นางสาวนภัคมน ทองเฝือ นักโบราณคดีชำนาญการ
กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช
.
อ้างอิง
๑. กรมศิลปากร. โครงการขุดแต่งและบูรณะวัดหลง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. กรุงเทพฯ : หน่วยศิลปากรที่ ๑๔ กองโบราณคดี กรมศิลปากร, ๒๕๒๕.
๒. กรมศิลปากร. รายงานการปฏิบัติงานโครงการขุดแต่งและบูรณะวัดหลง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. กรุงเทพฯ : หน่วยศิลปากรที่ ๑๔ กองโบราณคดี กรมศิลปากร, ๒๕๒๖.
๓. กรมศิลปากร. รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์โบราณคดีศรีวิชัย ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ ๒๕-๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕. กรุงเทพ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, ๒๕๒๕.