ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
ก่อนกำเนิดแคว้นสุโขทัย
บริเวณที่ราบตอนล่างของลุ่มแม่น้ำยม ปิง น่าน ที่ราบลุ่มแม่น้ำเมย และที่ราบตอนบนของ แม่น้ำป่าสัก เคยเป็นที่ชุมนุมของบ้านเมืองในแคว้นสุโขทัย ซึ่งเจริญรุ่งเรืองอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๑ บริเวณดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และเจริญมาก่อน นั่นคืออาณาจักรพุกามทางด้านตะวันตกและอาณาจักรเขมร ในด้านตะวันออก
ก่อนกำเนิดแคว้นสุโขทัยซึ่งมีทั้งศิลาจารึกและโบราณสถานมากมาย เป็นเครื่องสนับสนุนความเป็นแว่นแคว้นที่ปรากฏขึ้นเมื่อราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้น ดินแดนสุโขทัยมีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อได้ศึกษาย้อนเวลาขึ้นไปอีกจากหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งพบเครื่องมือหินที่เขาเขน เขากา อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย หรือแม้กระทั่งการพบโครงกระดูกมนุษย์ที่บ้านบึงหญ้า อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ได้พบเครื่องมือหินที่สัมพันธ์กับชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในแถบประเทศกัมพูชา ลาว และเวียดนาม
ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เหล่านี้ อาจอยู่ต่อเนื่องกันและตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นในเวลาต่อมา จนกระทั่งถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมา ได้มีการติดต่อกับดินแดนอื่นแถบบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมแบบทวารวดีโดยได้พบโบราณวัตถุที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันได้แก่ การค้นพบลูกปัด เครื่องมือเครื่องใช้เหล็ก สำริด เหรียญเงินที่มีรูปพระอาทิตย์ รวมทั้งหลักฐานโครงกระดูกมนุษย์ที่วัดชมชื่น ในเขตเมืองเก่าศรีสัชนาลัย ซึ่งมีแท่งดินเผามีลวดลายปรากฏร่วมด้วย
การค้นพบโบราณสถานในศิลปะเขมรตั้งอยู่บนภูเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่ง ในแถบบ้านนาเชิง อำเภอคีรีมาศ เรียกตามปากชาวบ้านว่าปรางค์ปู่จานั้น เป็นหลักฐานการเข้ามาของวัฒนธรรมเขมรโบราณที่สำคัญ แต่การกำหนดอายุให้แน่นอนทำได้ลำบาก เนื่องจากลักษณะสำคัญได้ชำรุดสูญหายไปเป็นอันมาก อย่างไรก็ดีหากคิดว่าวัฒนธรรมเขมรผ่านเข้ามาทางเมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ แสดงว่าดินแดนที่ต่อมาเป็นแคว้นสุโขทัยนี้ได้เคยมีการติดต่อกับอาณาจักรเขมรโบราณมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ แล้วก็ได้
การแผ่กระจายของวัฒนธรรมเขมรปรากฏเป็นระยะต่อเนื่องเรื่อยมา นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หลักฐานโบราณสถานที่เด่นชัดได้แก่ ศาลตาผาแดง ในเขตเมืองเก่าสุโขทัย เป็นโบราณสถานร่วมสมัยกับสมัยบายน ในศิลปะเขมร เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และดูเหมือนว่านี่เป็นพัฒนาการของเมืองในวัฒนธรรมเขมรในบริเวณที่ราบเชิงเขาประทักษ์เป็นครั้งแรก
ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในอาณาจักรเขมร เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หันมานับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานและถือเป็นศาสนาหลักในราชอาณาจักรของพระองค์ การสร้างศาสนสถานซึ่งแต่เดิมประดิษฐานรูปเคารพในศาสนาฮินดู เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มีการนำเรื่องราวทางพุทธศาสนามาประดับสถาปัตยกรรมและใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแทน ลักษณะดังกล่าวนี้ยังปรากฏตามศาสนสถานในศิลปะเขมรที่พบในประเทศไทย ที่สร้างขึ้นในระยะเวลาเดียวกันหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น ที่ปรางค์สามยอดกับปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่จังหวัดลพบุรี และที่ปราสาทวัดพระพายหลวงเมืองเก่าสุโขทัย เป็นต้น
ชุมชนที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเขมรแถบสุโขทัยยังคงอยู่สืบต่อกันมา เรื่องราวการตั้งตนขึ้นเป็นอิสระเพื่อปกครองสุโขทัยของกลุ่มชน ซึ่งต่อมาเป็นบรรพบุรุษของคนไทยในปัจจุบันได้เริ่มปรากฏขึ้นในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘
เมืองสุโขทัย
ศิลาจารึกหลักที่ ๒ ซึ่งพบอยู่ในอุโมงค์วัดศรีชุม ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนอกเมืองสุโขทัยได้ให้เรื่องราวเกี่ยวกับสุโขทัยในระยะต้นว่า เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุมเจ้าเมืองสุโขทัยสิ้นพระชนม์ลง ขอม สบาดโขลญลำพงได้เข้าครอบครองเมืองสุโขทัย พ่อขุนผาเมืองโอรสพ่อขุนศรีนาวนำถุมที่ครองเมืองราด ได้ชักชวนพระสหายคือพ่อขุนบางกลางหาว เข้าร่วมชิงเมืองสุโขทัยกลับคืนมาได้ แต่พ่อขุนผาเมืองกลับยกเมืองสุโขทัยของพระบิดา พร้อมกับได้มอบพระขรรค์ชัยศรีและพระนามศรีอินทรบดินทราทิตย์ของพระองค์ให้กับพระสหาย พ่อขุนบางกลางหาวจึงมีพระนามเป็นที่รู้จักกันว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้ปกครองกรุงสุโขทัยเป็นต้นราชวงศ์สุโขทัยสืบมา
สุโขทัยนามเมืองที่มีความหมายว่ารุ่งอรุณแห่งความสุขนั้น เมื่อสิ้นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนบานเมืองโอรสองค์ใหญ่ได้ปกครองต่อมา ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าในระยะต้นนี้ศูนย์กลางของเมืองยังคงอยู่ในบริเวณวัดพระพายหลวง ซึ่งมีพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมและมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ หรือย้ายมาที่เมืองใหม่ที่มีวัดมหาธาตุเป็นศูนย์กลางแล้ว แต่เมื่อพ่อขุนรามคำแหงพระอนุชาได้ขึ้นปกครองสุโขทัยต่อมา ข้อมูลจากศิลาจารึกหลักที่ ๑ บอกให้ทราบว่าได้ย้ายเมืองมาอยู่ตรงที่มีวัดมหาธาตุเป็นศูนย์กลางแล้ว ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้กล่าวถึงความเกรียงไกรของพ่อขุนรามคำแหงไว้มากมาย พระองค์ทรงเป็นนักรบผู้ปรีชาสามารถเอาชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ตั้งแต่พระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา อาณาเขตของแคว้นสุโขทัยในสมัยนี้แผ่ขยายไปถึงเมืองหลวงพระบางและสุดแหลมมลายู ในทางตะวันตกติดเขตแดนเมาะตะมะ อาณาเขตที่กว้างใหญ่นี้นักวิชาการเชื่อว่า เป็นความสัมพันธ์ของเมืองสุโขทัยกับบรรดาเมืองน้อยใหญ่เหล่านี้ในลักษณะบ้านพี่เมืองน้อง
พ่อขุนรามคำแหงทรงนำพุทธศาสนาแบบเถรวาทที่กำลังเจริญอยู่ที่นครศรีธรรมราช เข้ามาเผยแพร่ที่สุโขทัย อันนับเป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ความนับถืออย่างใหม่ให้แก่คนสุโขทัย พระองค์ทรงโปรดให้มีการฟังเทศน์ในวันธรรมสวนะ
ศิลาจารึกได้ให้ภาพความเป็นผู้นำของพ่อขุนรามคำแหงทั้งในทางโลกและทางธรรม กล่าวคือทรงมีความสามารถในการเป็นนักรบที่ปกครองไพร่ฟ้าให้มีความเป็นอยู่ที่ดี บ้านเมืองเป็นปกติสุข ประชาชนมีอิสระในการทำการค้า ถึงกับมีคำกล่าวว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า” พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พุทธศาสนา โปรดให้มีการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุกลางเมืองศรีสัชนาลัยอันเป็นเมืองคู่ของสุโขทัย และก่อสร้างอาราม พระพุทธรูปต่างๆขึ้นในสุโขทัย ในช่วงเทศกาลออกพรรษา พ่อขุนรามคำแหงทรงช้างขึ้นไปไหว้พระในเขตอรัญญิกที่วัดสะพานหินเพื่อกรานกฐิน พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้แก่กษัตริย์ไทยในเวลาต่อมา ความเป็นปึกแผ่นของเมืองสุโขทัยนอกจากจะมีกำลังที่เข้มแข็ง บ้านเมืองเป็นสุขดังกล่าวแล้ว ยังมีตำนานเล่ากันในสมัยหลังต่อมาว่า พระองค์คือผู้ที่ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เป็นพระองค์แรกด้วย
เมื่อสิ้นรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหง สุโขทัยไม่สามารถดำรงความเป็นบ้านเมืองที่รุ่งเรืองมากเหมือนแต่ก่อนไว้ได้ อาจเป็นในสมัยของพระยาเลอไท โอรสของพ่อขุนรามคำแหงหรือภายหลังสมัยของพระยาเลอไทก็ได้ ที่เมืองต่าง ๆ ภายในแคว้นสุโขทัยได้แตกแยกกันเป็นอิสระปกครองกันเอง ไม่ยอมขึ้นกับเมืองสุโขทัยที่เคยเป็นศูนย์กลางเช่นเดิม ดังนั้น เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๐ พระมหาธรรมราชาลิไท พระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งขณะนั้นครองเมืองศรีสัชนาลัย จึงนำกองทัพเข้ามาปราบจนเป็นผลสำเร็จ ได้ขึ้นครองสุโขทัย และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้แก่แคว้นสุโขทัยซึ่งประกอบด้วยเมืองต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง
ในสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไทเมืองสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ได้อาราธนาพระมหาสามีสังฆราชจากนครพัน อันเป็นเมืองหนึ่งทางตอนใต้ของพม่า ขณะนั้นพุทธศาสนาจากลังกากำลังเจริญอยู่ที่นั่น ด้วยความเลื่อมใสในพุทธศาสนา พระมหาธรรมราชาลิไทได้ออกผนวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดป่ามะม่วง ทางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย พระองค์ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมทางพุทธศาสนาขึ้นเรียกว่า เตภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง เพื่อสั่งสอนอบรมประชาชนของพระองค์ ให้เลื่อมใสในพุทธศาสนาด้วย
ในสมัยนี้มีความเจริญรุ่งเรืองอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับพุทธศาสนา เพราะเป็นสิ่งที่เกิดจากความเลื่อมใสศรัทธานั่นคือ ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมซึ่งมีความงดงาม เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนถึงความรู้ทางเทคนิควิทยาการต่าง ๆ เป็นอย่างดี จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคทองของศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมทีเดียว เช่น การสร้างพระพุทธรูปลีลาอันเป็นงานประติมากรรมลอยตัวที่หล่อได้อย่างวิเศษสุด เจดีย์ทรงดอกบัวตูมอันเป็นเอกลักษณ์ของทรงสถูปสุโขทัย ก็นิยมสร้างขึ้นในสมัยนี้จนเป็นแบบฉบับที่ลงตัว
พระมหาธรรมราชาลิไททรงพระปรีชาสามารถ ทรงเห็นคุณประโยชน์ของพุทธศาสนา จึงได้นำมาปรับใช้ในด้านการเมืองการปกครอง โปรดให้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนของพระองค์ ตลอดจนคนต่างเมือง โดยเฉพาะแคว้นล้านนาและกรุงศรีอยุธยา มีโอกาสได้สักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ การสร้างเจดีย์ทรงดอกบัวตูมซึ่งเป็นเสมือนเครื่องหมายความสัมพันธ์ทางการเมืองและศาสนาในเมืองต่างๆ จึงเกิดขึ้นในสมัยนี้ เช่น วัดบรมธาตุนครชุม กำแพงเพชร , วัดสวนดอก เชียงใหม่ , วัดเจดีย์ยอดทอง พิษณุโลก เป็นอาทิ (ปัจจุบันวัดที่กำแพงเพชรและเชียงใหม่ดังกล่าว ไม่มีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมปรากฏให้เห็นแล้ว)
การสิ้นสุดของแคว้นสุโขทัย
ตั้งแต่ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา เกิดอาณาจักรที่มีอำนาจขึ้น ๒ อาณาจักร ทางเหนือของสุโขทัยมีอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ สามารถแผ่อาณาเขตมาถึงเมืองตากซึ่งเคยเป็นของสุโขทัย ส่วนทางใต้ของสุโขทัย คือ อาณาจักรอยุธยาที่ได้ สถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ และสามารถควบคุมเมืองในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไว้ได้ เป็นเหตุให้กษัตริย์ของสุโขทัยในระยะนี้ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก
ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ยกทัพมายึดเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ไว้ได้ พระมหาธรรมราชาลิไทต้องถวายบรรณาการเพื่อขอเมืองคืน อาจเป็นเหตุให้พระองค์ต้องเสด็จไปประทับอยู่ที่นั่น เมื่อทรงได้รับคืนเมืองสองแควแล้ว และโปรดให้พระขนิษฐาของพระองค์ปกครองสุโขทัยแทน เหตุการณ์ตอนนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ราชบัลลังก์สุโขทัยได้ถูกทำลายคุณลักษณะในการเป็นที่ตั้งอำนาจอันชอบธรรมของผู้ที่จะปกครองแคว้นสุโขทัยทั้งมวลลงไป
ปรากฏหลักฐานว่า เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๑ พระมหาธรรมราชาลิไททรงพยายามฟื้นฟูความเป็นเมืองศูนย์กลางของสุโขทัยอีกครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จกลับสุโขทัยพร้อมไพร่พลบริวารที่เป็นเจ้าเมืองต่าง ๆ ของแคว้นสุโขทัยที่ยังจงรักภักดี แต่พระองค์ก็ไม่สามารถแสดงบทบาทด้านการเมืองต่อไปได้นาน พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๓ – ๑๙๑๔ อันเป็นเวลาที่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (พ่องั่ว) ได้เสวยราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยา และส่งกำลังเข้ายึดเมืองสุโขทัยและเมืองอื่น ๆ ในแว่นแคว้นไว้ได้หมด
ประวัติศาสตร์แคว้นสุโขทัยในช่วงเวลาต่อไปประมาณครึ่งศตวรรษ เป็นเรื่องที่กษัตริย์ราชวงศ์สุพรรณภูมิที่มีอำนาจอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาและสุพรรณบุรี พยายามที่จะเข้าครอบงำแคว้นสุโขทัยทีละเล็กทีละน้อย โดยการสมรสระหว่างเจ้านายของทั้งสองราชวงศ์ การใช้ระบบขุนนางเข้าแทรกซึม ตลอดจนการสนับสนุนด้านกำลังแก่เจ้านายสุโขทัยที่เป็นพรรคพวก เครือญาติ ที่ฝ่ายสุพรรณภูมิมีศักดิ์เหนือกว่า
ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่าอย่างน้อยก็เมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๑ ที่แคว้นสุโขทัยทั้งหมด ได้กลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา ที่ชาวอยุธยาเรียกว่าเมืองเหนือแล้ว เพราะในปีนี้เป็นปีที่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (สมเด็จเจ้าสามพระยา) ได้ส่งโอรสที่สมภพจากพระชายาราชวงศ์สุโขทัย มาครองเมืองพิษณุโลก ในตำแหน่งพระราเมศวร อันเป็นตำแหน่งพระมหาอุปราช ปกครองกลุ่มเมืองเหนือทั้งมวล โดยขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาอีกทีหนึ่ง
จาก ศุกร์, 21 กุมภาพันธ์ 2556 - 10:00
ถึง ศุกร์, 31 กุมภาพันธ์ 2556 - 1:00
เชิญร่วมกิจกรรมสันทนาการเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ปี ๒๕๕๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น
สถานที่ เชิญร่วมกิจกรรมสันทนาการเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ปี ๒๕๕๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น
ติดต่อ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา
กำหนดจัดประชุมชี้แจงโครงการขุดลอกบารายเมืองพิมาย
ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
เพื่อหาข้อยุติในการกำหนดพื้นที่ดำเนินการที่ชัดเจน
โดยเชิญอธิบดีกรมศิลปากร (นายบวรเวท รุ่งรุจี)
เป็นประธานประชุมชี้แจงต่อผู้ถือเอกสารสิทธิ์
ในเขตที่ดินบริเวณดังกล่าว จำนวน ๖๒ ราย
วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย
อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ชื่อเรื่อง : หัดธรรม เสียงธรรมสตรี สมัย ร.๕
ผู้เขียน : ธรรมกถิกาจารย์
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์พระพุทธศาสนาของธรรมสภา
ปีพิมพ์ : ๒๕๖๑
เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ : ๙๗๘-๖๑๖-๐๓-๐๙๕๖-๖
เลขเรียกหนังสือ : ๒๙๔.๓๐๗๖ ธ๓๒๑ห
ประเภทหนังสือ : หนังสือทั่วไป
ห้องบริการ : ห้องหนังสือทั่วไป ๑สาระสังเขป : "หัดธรรม เสียงธรรมสตรี สมัย ร.๕" เป็นการนำมาเรียบเรียงจัดพิมพ์ใหม่ จากเดิมต้นฉบับหนังสือเรื่อง "หัดพูดธัมมะ สำหรับเปนบทเรียนพูด เรียนถาม" ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ร.ศ. ๑๒๓ โดยเริ่มต้นด้วยธรรมะระดับพื้นๆ เช่น ทาน ศีล สมาธ ปัญญา เมตตา และกรุณา จากนั้นจะก้าวสู่ธรรมขั้นสูง ที่เขียนโดยฆราวาส มีวิธีการเรียบเรียงที่แตกต่างจากพระภิกษุส่วนใหญ่ในสมัยนั้น ไม่ได้แสดงแบบธรรมเทศนาหรือเทศนาโวหาร หากแต่สื่อธรรมด้วยวิธีปุจฉา-วิสัชชนา ทำให้ชวนอ่าน ไม่เคร่งเครียดเกินไป ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ด้วยมุ่งหวังสำหรับเป็นบทเรียนพูดเรียนถามหรือเป็นแบบอย่างสำหรับฆราวาสในการซักถามและอธิบายธรรมะ โดยผ่านตัวละครทั้งหลายในเรื่องนี้ที่เป็นเสมือนตัวแทนของผู้ใฝ่ธรรมที่มีการปฏิบัติแตกต่างกัน ทำให้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันไปด้วย แต่ทุกครั้งที่สนทนาจบก็จะได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องต้องกันและครอบคลุมหลากหลายแง่มุม ซึ่งนำเสนอหลากหลายเรื่องราวแบ่งออกเป็นบท เช่น แม่รักกับแม่อารี (พูดเรื่องศีลกับทาน) แม่ชอบนิ่งกับแม่ช่างตรอง และแม่เรียนจำ (พูดเรื่องบาปและที่เกิดของบาป) ครูกับแม่รู้จริง (พูดเรื่องเห็นจริงรู้จริง) แม่หยุดใจพูดกับแม่ทำไป (ด้วยเรื่องสิ่งไม่เที่ยงเห็นสิ่งเที่ยงได้) เป็นต้น แม้หนังสือต้นฉบับเดิมจะเขียนมายาวนานกว่าร้อยปีแล้ว หากแต่เนื้อหาเรื่องราวที่นำเสนอนั้นยังคงสามารถนำมาศึกษาปรับใช้กับปัจจุบันได้เพราะเป็นหนังสืออธิบายธรรมตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับสูงที่ชาวพุทธในปัจจุบันควรให้ความสนใจและนำไปศึกษาปฏิบัติ
เอกสารทางวิชาการฉบับนี้ได้ให้ความสำคัญเรื่องการบริหารยุทธศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งองค์กรสมัยใหม่ที่ประสบความสำเร็จได้นั้นมักจะให้ความสำคัญต่อการยึดยุทธศาสตร์เป็นหลักในการดำเนินงาน และผู้บริหารสูงสุดขององค์การหรือซีอีโอต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการนำการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ ซึ่งเอกสารทางวิชาการฉบับนี้ เรียบเรียงโดย นางวรรณพร สุทธปรีดา ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร สำนักงาน ก.พ.ร.
หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลีหัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 18 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากพระอธิการเด่น ปญฺญาทีโป วัดคิรีรัตนาราม ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ดำเนินการอนุรักษ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2534
รายงานการเดินทางไปราชการ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา
๑. ชื่อโครงการ โครงการอบรมเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของเครือข่ายชุมชนและเยาวชนในพื้นที่เมืองมรดกโลกอย่างยั่งยืน
๒. วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนทุกภาคส่วนได้ศึกษาเรียนรู้การบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกอย่างมีระบบและยั่งยืน โดยศึกษาจากสถานที่และสถานการณ์จริง เพื่อนำประสบการณ์ที่ได้รับมาปรับใช้กับการบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชร
๓. กำหนดเวลา วันที่ ๒-๕ สิงหาคม ๒๕๕๙
๔. สถานที่ ๑. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อังกอร์ (Angkor National Museum)
๒. ศูนย์ส่งเสริมหัตถกรรมอังกอร์ (L’artisan d’angkor)
๓. ปราสาทบันทายศรี
๔. ปราสาทนครวัด
๕. ปราสาทตาพรหม
๖. ปราสาทบายน
๕. หน่วยงานผู้จัด องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน องค์การมหาชน สำนักงานพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร (อพท.๔)
๖. หน่วยงานสนับสนุน –
๗. กิจกรรม
วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๗.๐๐ น. ผู้ผ่านการสอบคัดเลือกและผู้เข้าร่วมเดินทางทั้งสิ้นจำนวน ๕๒ คน ประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานและองค์กรด้านการท่องเที่ยวในเขตเมืองมรดกโลกสุโขทัย-ศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชร นักเรียนในพื้นที่ที่ได้รับการคัดเลือก เจ้าหน้าที่จาก อพท.๔ พร้อมกันที่สำนักงาน อพท.๔ แล้วออกเดินทางสู่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ระหว่างทางมีการบรรยายสรุปเกี่ยวกับภารกิจที่ต้องทำระหว่างศึกษาดูงาน ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา คือการสังเกตและศึกษากระบวนการใช้ประโยชน์และดูแลแหล่งมรดกโลก ตลอดจนการสื่อความหมาย การต่อยอดมรดกทางภูมิปัญญาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว
วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๔.๓๐ น. โดยประมาณ คณะศึกษาดูงานเดินทางถึงอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว แวะทำธุระส่วนตัวที่โรงแรมพร้อมรับประทานอาหารเช้า จากนั้นเดินทางไปด่านตรวจคนเข้าเมืองคลองลึกเพื่อข้ามพรมแดนเข้าราชอาณาจักรกัมพูชา เมืองปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย เปลี่ยนรถบัสแล้วเดินทางต่อไปยังจังหวัดเสียมเรียบ ใช้เวลาเดินทาง ๒ ชั่วโมง แวะพักครึ่งทางที่หมู่บ้านแกะสลักหินทรายของจังหวัดบันทายมีชัย
เดินทางถึงเมืองเสียมเรียบเวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น. รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านโตนเลสาป ซึ่งเป็นภัตตาคารระดับสามดาว บริการอาหารแบบบุฟเฟต์ จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อังกอร์ (Angkor National Museum) ซึ่งเป็นสถานที่เก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ขุดค้นได้ในเมืองเสียมเรียบ ส่วนใหญ่เป็นโบราณวัตถุในยุคเมืองพระนคร โดยมีบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นส่วนสำคัญในการก่อตั้ง ภายในอาคารจัดแสดงนอกจากมีโบราณวัตถุจัดแสดงกว่า ๓,๐๐๐ ชิ้นแล้ว ยังมีการให้ความรู้ผ่านระบบมัลติมีเดียผ่านจอภาพในห้องฉายวีดิทัศน์ที่จุผู้ชมได้ ๒๗ ที่นั่ง เรียกว่าห้อง Briefing room เพื่อแนะนำพิพิธภัณฑ์ การจัดแสดง การเข้าชมและเนื้อหาโดยสรุปของนิทรรศการทั้งหมด จากนั้นเป็นห้องจัดแสดงพิเศษ Exclusive Gallery หรือห้องจัดแสดงพระพุทธรูป ๑,๐๐๐ องค์ ซึ่งจัดแสดงพระพุทธรูปขนาดต่างๆ ศิลปะต่างๆ วัสดุต่างๆจำนวน ๑,๐๐๐ องค์ ต่อจากนั้นเป็นห้องจัดแสดง A-G ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ค้นพบในเมืองโบราณของเขตจังหวัดเสียมเรียบ นำเสนอประวัติศาสตร์ โบราณคดี คติความเชื่อ ศาสนา ค่านิยม รูปแบบศิลปกรรมและพระราชประวัติของพระมหากษัตริย์พระองค์สำคัญของยุคเมืองพระนคร อาทิ รูปพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗และพระนางชัยราชจุฑามณี พบที่ชัยคีรีหรือปราสาทบายน เทวรูปพระวิษณุ ศิลปะสมัยพระนคร พบที่ปราสาทนครวัด เป็นต้น
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อังกอร์ ไม่อนุญาตให้มัคคุเทศก์นำชมภายในห้องจัดแสดงและไม่มีบริการนำชมโดยเจ้าหน้าที่ แต่มีบริการมัคคุเทศก์อิเล็กทรอนิกส์ ๗ ภาษา คือ กัมพูชา เกาหลี ญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ฝรั่งเศสและไทย ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเช่าจากเคาเตอร์จำหน่ายบัตรได้ ในราคา ๒ ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ ๗๐ บาท ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาเรื่องเสียงดังรบกวนนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆในขณะบรรยายนำชม นอกจากนี้ หากนักท่องเที่ยวไม่ต้องการมัคคุเทศก์อิเล็กทรอนิกส์ก็มีบริการปุ่มบรรยาย ๗ ภาษาเป็นบางจุด เพื่อสรุปเนื้อหาของนิทรรศการแต่ละห้องด้วย ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ยังมีร้านบริการเครื่องดื่มและของที่ระลึกด้วย
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อังกอร์เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางท่องเที่ยวเมืองโบราณเสียมเรียบที่ดี เนื้อหานิทรรศการทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์ สภาพเมือง รวมถึงคตินิยมในการสร้างเมืองได้ชัดเจนขึ้น ทั้งยังได้เห็นโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ถูกเคลื่อนย้ายมาจากโบราณสถานต่างๆ
ข้าพเจ้าเลือกใช้บริการมัคคุเทศก์อิเล็กทรอนิกส์ พบว่าตัวเครื่องเป็นโทรศัพท์ติดตามตัวยี่ห้อ SAMSUNG แต่ปรับโปรแกรมให้กลายเป็น Audio guide สามารถกดรับฟังข้อมูลเป็นจุดๆตามหมายเลขที่ติดไว้ในห้องจัดแสดงหรือโบราณวัตถุ เนื้อหาของข้อมูลเป็นไปอย่างคร่าวๆ เน้นทำความเข้าใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีพื้นฐานความเข้าใจในวัฒนธรรมเขมรโบราณ เช่น พูดถึงคติการสร้างเทวรูป ประติมานวิทยาของเทวรูป เป็นต้น
แม้จะเป็นสถานที่อันควรแก่การเริ่มต้นเที่ยวชมเมื่อมาถึงเมืองเสียมเรียบ แต่เพราะค่าธรรมเนียมเข้าชมที่ค่อนข้างแพงคือ ๑๒ ดอลล่าร์สหรัฐและสถานที่ที่ค่อนข้างกว้างต้องใช้เวลาชมค่อนข้างนาน รวมถึงกฎการห้ามถ่ายภาพในห้องจัดแสดง ทำให้ยังมีจำนวนผู้สนใจเข้าชมค่อนข้างน้อย
หลังจากนั้นคณะศึกษาดูงานเดินทางต่อไปยัง L’artisan d’angkor หรือศูนย์ส่งเสริมหัตถกรรมอังกอร์ ซึ่งเป็นศูนย์อบรมอาชีพด้านหัตถกรรมให้กับคนในพื้นที่ รวมทั้งผู้ด้อยโอกาสและผู้พิการ โดยภายในศูนย์มีการสาธิตการสร้างงานหัตถกรรมหลายชนิด อาทิ การทอผ้า การแกะสลักไม้และหิน เครื่องเงิน การเขียนลายบนผ้า การเขียนลายรดน้ำ เป็นต้น ซึ่งผลงานส่วนใหญ่เน้นการต่อยอดงานศิลปกรรมโบราณที่พบในเขตเมืองโบราณเสียมเรียบทำให้มีความปราณีต โดดเด่นและทรงคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ ลวดลายรวมถึงกรรมวิธีการสร้างสรรค์ สามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าขึ้นได้อีกมาก
การเข้าชมศูนย์ส่งเสริมหัตถกรรมอังกอร์จะมีมัคคุเทศก์พาชมขั้นตอนการทำงานแต่ละอย่างโดยละเอียด ทำให้เข้าใจกระบวนการสร้างและเห็นถึงความยากลำบากในการสร้างชิ้นงาน เมื่อชมกรรมวิธีการสร้างสรรค์ชิ้นงานจบแล้วสามารถเลือกซื้อสินค้าประเภทต่างๆได้ในร้านค้าของศูนย์ ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจกระบวนการทำงานและเข้าใจถึงราคาชิ้นงานที่ค่อนข้างสูงกว่าท้องตลาดทั่วไป
หลังจากนั้นรับประทานอาหารเย็นที่ภัตตาคาร Tonle Mekong Restaurant พร้อมชมการแสดงนาฏศิลป์กัมพูชา ซึ่งใช้นักแสดงที่ได้รับการอบรมพิเศษเป็นเยาวชนที่มีปัญหาครอบครัวหรือปัญหาความยากจน ซึ่งรัฐบาลจะสร้างโรงเรียนฝึกหัดนาฏศิลป์ขึ้นเพื่อให้การศึกษาด้านดนตรีนาฏศิลป์ รวมถึงจัดงานหางานให้แสดงนอกเวลาเรียนเพื่อสร้างรายได้และเป็นการฝึกหัดไปด้วย
หลังจากนั้นจึงเข้าพักที่ Khemara Angkor Hotel เมืองเสียมเรียบ
วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙
ออกเดินทางจากโรงแรมที่พักเวลา ๐๗.๓๐ น. โดยประมาณ เพื่อทำบัตรเข้าชมปราสาท ซึ่งเป็นแบบ ๑ วัน ราคา ๒๐ ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งกำลังจะปรับขึ้นราคาเป็น ๓๗ ดอลล่าร์สหรัฐตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป แล้วเดินทางต่อไปอีก ๓๕ กิโลเมตรเพื่อเข้าชมปราสาทบันทายศรี
นอกจากปราสาทแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจในปราสาทบันทายศรีคือป้ายสื่อความหมายซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง ประกอบไปด้วยแผนผังปราสาท ป้ายอธิบายประวัติของปราสาท ป้ายเปรียบเทียบอายุการสร้างปราสาทเทียบกับโบราณสถานสำคัญๆของโลก เช่น พระราชวังแวร์ซาย ปิรามิดขั้นปันไดในอเมริกากลาง ปราสาทในญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ในระหว่างทางเดินไปชมปราสาทซึ่งสองข้างทางเป็นทุ่งนาของชาวบ้านก็มีป้ายอธิบายความสำคัญของข้าวและขั้นตอนการปลูกข้าว ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นต้นข้าวและทุ่งนา หรือในบางฤดูกาลยังสามารถเห็นการทำนาและเกี่ยวข้าวได้จริงๆอีกด้วย นับว่าเป็นการสื่อความหมายด้านการท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาก
นอกจากนี้การจัดการเรื่องเส้นทางการเข้าชมปราสาทบันทายศรีและปราสาทอื่นๆบางหลังก็น่าสนใจ กล่าวคือ ทางเดินเข้าสู่ปราสาทและทางเดินออกจากปราสาท (ยกเว้นภายในตัวปราสาท) จะถูกจัดให้เป็นทางเดินระบบทิศทางเดียว (One way) และปลายสุดของทางออกจะเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าที่ระลึก ทั้งนี้เพื่อจัดระเบียบผู้เข้าชม รวมถึงการเปิดโอกาสให้บรรดาร้านค้าซึ่งมีคนพื้นถิ่นเป็นเจ้าของมีโอกาสสร้างรายได้อย่างเท่าเทียมกัน
ออกจากปราสาทบันทายศรี คณะศึกษาดูงานเดินทางต่อไป โดยเปลี่ยนพาหนะเป็นรถจักรยานยนต์พ่วงสามล้อเพื่อเดินทางไปยังปราสาทนครวัด ปราสาทตาพรหมและปราสาทบายนตามลำดับ เพราะเขตโบราณสถานเหล่านี้ไม่อนุญาตให้รถเกิน ๔ ล้อขับขี่เข้าไป แต่ระหว่างชมปราสาทตาพรหมฝนได้ตกลงมาอย่างหนักจนทำให้เดินทางต่อไปได้ค่อนข้างล่าช้า ต้องยกเลิกกำหนดการเข้าชมปราสาทบาแคงซึ่งเป็นปราสาทสุดท้าย
ในตอนค่ำ คณะศึกษาดูงานไปรับประทานอาหารกันที่ร้านปลายิ้ม ซึ่งเป็นร้านอาหารของนักธุรกิจชาวไทย และได้รับเกียรติจากนายลอง โกศล รองผู้อำนวยการองค์การอัปสรา (Authority for the Protection of the Site and Management of the Region of Angkor: APSARA Authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมดูแลพื้นที่โบราณสถานในเมืองพระนครแบบเบ็ดเสร็จมาร่วมรับประทานอาหารเย็นและตอบข้อซักถามของผู้เข้าร่วมศึกษาดูงานด้วย
นายโกศล เล่าว่าองค์การอัปสรา ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชาให้ทำหน้าที่บริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพระนครซึ่งอยู่ในจังหวัดเสียมเรียบทั้งหมด ก่อนหน้านี้ผู้ได้รับสัมปทานคือรัฐบาลเวียดนาม ในพื้นที่เป็นโบราณสถานทรงคุณค่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลก มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมราว ๒๐ ล้านคนต่อปี ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา ทั้งการทรุดโทรมของโบราณสถาน ขยะและปัญหาการจราจรซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อโบราณสถานมากที่สุด จึงต้องจัดการจราจรใหม่ด้วยกฎห้ามรถขนาดใหญ่เข้าไปในเขตโบราณสถาน ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงไปแล้ว
นอกจากนี้ นายโกศลยังเล่าถึงการบริหารจัดการขององค์การอัปสราว่าเป็นการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ องค์การอัปสรามีทั้งเครื่องมือหนักสำหรับดูแลพื้นที่เช่น รถเทรลเลอร์ รถบดถนน รถบรรทุก แรงงานกว่า ๖๐๐ คน นักวิชาการทั้งชาวกัมพูชาและนักวิชาการต่างชาติ นักโบราณคดี องค์การภายใต้การบริหารเพื่อการให้การศึกษา พิพิธภัณฑ์ไปจนถึงนักสถิติ ทั้งหมดทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบการท่องเที่ยวในเขตเมืองมรดกโลกในพื้นที่เสียมเรียบให้มีมาตรฐาน ภายใต้แนวคิดพัฒนาเพื่ออนุรักษ์ อนุรักษ์เพื่อพัฒนา และถือว่าประสบผลสำเร็จในการบริหารงานเป็นอย่างยิ่ง
ข้าพเจ้าถามนายโกศลว่ามีวิธีการดูแลพิพิธภัณฑ์ภายใต้การบริหารงานขององค์การอัปสราอย่างไรบ้าง และมีปัญหาอะไรบ้างที่รู้สึกเป็นห่วง นายโกศลตอบว่า มีพิพิธภัณฑ์อยู่ในการดูแลขององค์การอัปสรา ๓ แห่งคือ Preah Norodom Sihanouk-Angkor Museum Ceramics Museum และ MGC Asian Traditional Textiles Museum ซึ่งยังมีปัญหาเรื่องจำนวนผู้เข้าชม ซึ่งนายโกศลเห็นว่าแม้เป็นปัญหาสำคัญแต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องปรกติเพราะผู้คนที่เดินทางมาเสียมเรียบล้วนให้ความสำคัญกับโบราณสถานเป็นอันดับแรก โบราณวัตถุเป็นอันดับรองลงมา วิธีแก้ปัญหาแบบค่อยเป็นค่อยไปคือการพยายามเชื่อมโยงโบราณสถานกับโบราณวัตถุที่นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย เช่น มัคคุเทศก์ ผู้สื่อความหมาย เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ นักวิชาการ นักประชาสัมพันธ์และบริษัททัวร์ด้วย
หลังจากนั้นเวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น.จึงเดินทางกลับที่พัก
วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๙
เวลา ๐๘.๓๐ น.โดยประมาณ เดินทางออกจากที่พักในเมืองเสียมเรียบเพื่อกลับราชอาณาจักรไทย ผ่านจุดผ่านแดนคลองลึก สู่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว รับประทานอาหารกลางวันบนรถ และระหว่างนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนทัศนคติถึงสิ่งที่พบเห็นและรู้สึกขณะอยู่ในเมืองเสียมเรียบ ผู้เข้าร่วมศึกษาดูงานส่วนใหญ่พูดถึงความยิ่งใหญ่ของโบราณสถานที่มีมากกว่าพื้นที่สุโขทัย ศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชร รวมถึงชื่นชมระบบการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลกเสียมเรียบที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
องค์การอัปสรานั้น ต้องยอมรับว่าที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดนั้น นอกจากวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีเส้นสายที่ดี นายลอง โกศลเองก็เป็นบุตรชายของรองนายกรัฐมนตรีซึ่งมีอิทธิพลมากคนหนึ่งของราชอาณาจักรกัมพูชา
๘. คณะผู้แทนไทย ผู้ผ่านการทดสอบเพื่อประเมินความรู้ภายหลังการเข้ารับการอบรม (Post Test) ในโครงการอบรมเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของเครือข่ายชุมชนและเยาวชนในพื้นที่เมืองมรดกโลกอย่างยั่งยืน จำนวน ๓ หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรการจัดการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลักสูตรการอนุรักษ์คุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมและหลักสูตรการออกแบบบริการเพื่อการบริหารประสบการณ์นักท่องเที่ยวต่อแบรนด์มรดกพระร่วง จำนวน ๓๐ คน ประกอบไปด้วยผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการท่องเที่ยว ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ครูและนักเรียนจากโรงเรียนในพื้นที่การดำเนินงานของ อพท.๔
๙. สรุปสาระของกิจกรรม
การเดินทางไปศึกษาดูงานครั้งนี้ ข้าพเจ้าและผู้เข้าร่วมศึกษาดูงานได้รับประโยชน์สูงสุดจากการได้สังเกตและศึกษาจากสถานที่ เหตุการณ์และบุคคลจริง ซึ่งมีประสบการณ์อย่างยิ่งในการบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญและรู้จักไปทั่วโลก ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลเดินทางมาเยี่ยมชมทำให้เกิดทั้งประโยชน์และโทษ
ประสบการณ์ในครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าและคณะเข้าใจสภาพปัญหาและกลวิธีแยบคายในการบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมให้ยั่งยืนและเกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อทั้งแหล่งมรดกโลกเอง ผู้คนในพื้นที่ ผู้คนในประเทศตลอดจนนักท่องเที่ยวเอง
๑๐. ข้อเสนอแนะจากการจัดกิจกรรม
ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยเฉพาะจังหวัดเสียมเรียบ เป็นแหล่งมรดกโลกขนาดใหญ่ มีโบราณสถานตั้งอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเยี่ยมชม แต่การบริหารจัดการแหล่งมรดกโลกรวมถึงกลยุทธ์ในการรับมือกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาศาลเหล่านั้นเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบการจำหน่ายบัตรซึ่งคิดเป็นจำนวนวันในการเข้าชม ระบบการขนส่งมวลชนในแหล่งท่องเที่ยว ระบบการรักษาความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งจะเกิดประโยชน์แก่แหล่งมรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัยและกำแพงเพชรอย่างยิ่งถ้านำระบบเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในพื้นที่