บ้านหลวงรับราชทูต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่อาคารโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ในเขตตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีการจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ เขตหลัก ได้แก่บ้านวิชาเยนทร์ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก บ้านหลวงรับราชทูตตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีโรงสวดหรือโบสถ์ในคริสต์ศาสนา นอเตรอะ ดาม เดอ ลอแรตต์ (Notre-Dame de Laurette) อยู่ตรงกึ่งกลางหมู่อาคาร
- หมู่สถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความใหญ่โตหรูหราและอำนาจ -
บ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากการศึกษาหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ และการสำรวจรายละเอียดรูปแบบสถาปัตยกรรมในเบื้องต้นพบว่า พัฒนาการของการก่อสร้างบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) เริ่มขึ้นจากบ้านหลังใหญ่ทางฝั่งตะวันตกที่มีอิทธิพลของรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ อินโด-เปอร์เซีย ซึ่งมีนักวิชาการ ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เดิมเคยเป็นที่พำนักอาศัยของพ่อค้าชาวเปอร์เซียที่มาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยามาก่อน พ.ศ. ๒๒๒๖ ในภายหลังบ้านหลังนี้ได้ตกมาเป็นสมบัติของราชสำนัก
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานบ้านหลังนี้ให้แก่ พระยาวิไชเยนทร์ (Constantine Phaulkon)ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๒๒๖ – ๒๒๒๘ พระยาวิไชเยนทร์จึงเข้ามาปรับปรุงบ้านหลังใหญ่เพื่อใช้ในการอยู่อาศัยของตนเองและครอบครัว พร้อมกับสร้างโบสถ์นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ (Notre-Dame de Laurette) ขึ้น
ในช่วงปลายปีพุทธศักราช ๒๒๒๘ ทางราชสำนักกรุงศรีอยุธยาได้ใช้บ้านพระยาวิไชเยนทร์เป็นที่รับรองคณะราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งนำโดย เซอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ (Chevalier Alexandre de Chaumont) ราชทูตวิสามัญของฝรั่งเศส ผู้นำพระราชสาสน์มาถวาย และเดินทางขึ้นมาเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เมืองละโว้ เนื่องจากขณะนั้นบ้านหลวงรับราชทูตอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ จึงมีการต่อเติมบ้านหลังใหญ่ของพระยาวิไชเยนทร์ และก่อสร้างอาคารขึ้นเพิ่มเติมในบริเวณบ้านวิชาเยนทร์อีกหลายหลัง เพื่อให้เพียงพอแก่การรับรองผู้ติดตามคณะราชทูต ในช่วงระยะเวลานั้นโบสถ์นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ สร้างแล้วเสร็จ แต่ยังไม่ได้ประดับตกแต่ง รายละเอียดพอใช้งาน ท่านราชทูต เดอ โชมองต์ จึงได้ใช้โบสถ์หลังนี้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตลอดช่วงระยะเวลาที่คณะทูตฝรั่งเศสพำนักอยู่ที่เมืองละโว้
การก่อสร้างบ้านหลวงรับราชทูตทางฝั่งตะวันออก การตกแต่งโบสถ์ นอเตรอะดาม เดอ ลอแรตต์ การก่อสร้างเขตพัทธสีมา และแท่นมหากางเขนศิลาแล้วเสร็จสมบูรณ์ประมาณ พ.ศ. ๒๒๓๐ อันเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกับที่คณะผู้แทนพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ นำโดย มองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubere) เดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ที่เมืองละโว้ คณะของมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ จึงได้เข้าพักที่บ้านหลวงรับราชทูตทางฝั่งตะวันออก เมื่อสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ถูกปล่อยทิ้งร้างให้ชำรุดทรุดโทรมลงตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามจนถึงในปัจจุบันหมู่อาคารเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตหรูหรา และอำนาจของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๓ หน้า ๙๐๔ วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๗๙
- มูลเหตุแห่งการค้นพบห้องลับปริศนาบ้านหลวงรับราชทูต -
ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๖๓ สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี ทำการขุดตรวจและขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่โบราณสถานบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ผลจากการดำเนินงานทางโบราณคดีที่น่าสนใจ คือ บริเวณด้านหน้าอาคารหมายเลข ๕ ของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ การขุดตรวจทางโบราณคดีเบื้องต้น พบว่าเป็นชั้นใต้ดินที่มีห้องขนาดความกว้าง ๕.๑๖ เมตร ความยาว ๑๘.๗๕ เมตร อยู่ลึกจากระดับผิวดินลงไปประมาณ ๒.๐ เมตร พื้นห้องดาดปูนมีบันไดขึ้น-ลง ๒ ด้าน เชื่อมต่อกับอาคารหมายเลข ๕ และอาคารหมายเลข ๖ ห้องที่ตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินลักษณะเดียวกันนี้เคยค้นพบในอาคารด้านหน้าบ้านวิชาเยนทร์ ซึ่งนักวิชาการสันนิษฐานว่า อาจเป็นอาคารต้อนรับใช้เป็นที่จัดเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มแก่คณะราชทูต ที่มีชั้นใต้ดินเป็นห้องไว้สำหรับเก็บเครื่องดื่มประเภทไวน์
นอกจากนี้ในระดับต่ำกว่าผิวดินลงไป ๑๐-๑๓๐ เซนติเมตร ในพื้นที่บ้านหลวงรับราชทูต ยังปรากฏหลักฐานร่องรอยของสถาปัตยกรรม พื้น และฐานอาคารต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการใช้พื้นที่ในสมัยอยุธยา เช่น อาคารหมายเลข ๑๒ ในบ้านวิชาเยนทร์ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโรงอาบน้ำแบบเปอร์เซีย (Hammam) บริเวณด้านหลังพบห้องน้ำขนาดเล็ก ความกว้าง ๑.๓๐ เมตร ความยาว ๕.๗๕ เมตร เทพื้นดาดปูนทางด้านทิศตะวันตกปรากฏร่องรอยของหลุมทรงกลม และท่อดินเผาติดอยู่กับผนังโรงอาบน้ำ ส่วนด้านทิศเหนือเชื่อมต่ออยู่กับกำแพงขนาดใหญ่ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพงบ้านเดิมทางด้านหลัง อาคารหมายเลข ๑๓ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโรงครัวของมารี กีมา (Marie Guimar) ภรรยาพระยาวิไชเยนทร์ ทางด้านทิศเหนือของอาคารพบพื้นพาไลดาดปูน และบริเวณด้านหน้าของหมู่อาคารบ้านหลวงรับราชทูต พบร่องรอยการปูพื้นด้วยอิฐเป็นแนวตรงไปยังบันไดหลักของหมู่อาคาร แนวท่อน้ำดินเผาบริเวณมุมบันไดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับแนวท่อน้ำดินเผาที่ต่อออกมาจากถังเก็บน้ำก่ออิฐถือปูนบริเวณด้านข้างอาคารหมายเลข ๗ และแนวฐานกำแพงก่ออิฐซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพงบ้านเดิมทางด้านหน้า เป็นต้น
- การไขปริศนาห้องลับด้วยวิธีการทางโบราณคดี -
ห้องขนาดใหญ่ในชั้นใต้ดินของอาคารด้านหน้าบ้านหลวงรับราชทูตนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์การใช้งานหรือเหตุผลใด เป็นห้องเก็บเครื่องดื่มประเภทไวน์เพื่อเสริมสร้างความสำราญแก่แขกผู้มาเยือน เป็นห้องเก็บสิ่งของที่คณะทูตนำเข้ามาเพื่อถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือเป็นสถานที่ซุกซ่อนสั่งสมศัตราอาวุธต่างๆเพื่อเสริมพลังอำนาจของผู้ที่ต้องการแย่งชิงหรือความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ รวมทั้งข้อมูลของอาคารสถาปัตยกรรมองค์ประกอบรายละเอียดในส่วนต่างๆ ของบ้านหลวงรับราชทูต จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจในการสืบค้นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏอยู่ เพื่อต่อเติมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองลพบุรีให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี จึงดำเนินโครงการอนุรักษ์และพัฒนาบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ระยะที่ ๒ เพื่อดำเนินการขุดแต่งทางโบราณคดีในเขตบ้านหลวงรับราชทูตทั้งบริเวณ ระหว่างเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ – เดือนมีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี จะรายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป
ผู้เรียบเรียงข้อมูล/รายงาน : นายเดชา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ
(จำนวนผู้เข้าชม 1318 ครั้ง)