...

ด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์
พระพุทธรูปปางมารวิชัย

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่พระพุทธรูปปางมารวิชัยรูปแบบ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 วัสดุ : สำริด ลงรักปิดทองประวัติ : พบที่วัดศรีโขง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อคราวที่สำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนสร้างเขื่อนภูมิพลเมื่อปีพ.ศ. 2502-2503ลักษณะ : พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบ แสดงปางมารวิชัย มีพระรัศมีเป็นเปลว ขมวดพระเกศาเล็ก พระเนตรหรี่เหลือบต่ำฝังมุกและพลอย ครองจีวรห่มเฉียง ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภีปลายเป็นรูปลายสี่กลีบ ฐานเป็นแบบบัวคว่ำ- บัวหงาย มีลายเกสรบัว มีประดับเม็ดไข่ปลา รองรับด้วยฐานหกเหลี่ยม เจาะช่องกระจก และมีขาสามขา ----------------------------------------------------พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะที่เหมือนกันกับพระพุทธรูปปางวิชัย ที่วัดพันเตา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีจารึกระบุปีที่สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. 2040 โดยจัดเป็นพระพุทธรูปกลุ่มขัดสมาธิราบที่ได้รับอิทธิพลศิลปะสุโขทัยในยุคสมัยของพระเมืองแก้ว กำหนดอายุได้ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 21 ในยุคนี้ได้ค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและนิยมการสร้างพระพุทธรูปเป็นอย่างมาก .จากลักษณะรูปแบบจะเห็นได้ว่ามีลักษณะสำคัญหลายประการที่เป็นข้อสังเกตของพระพุทธรูปในสมัยพระเมืองแก้ว ตัวอย่างเช่น .ส่วนของพระเนตรที่ทำหรี่เหลือบมองต่ำ ต่างจากพระพุทธรูปแบบเดียวกันในสมัยพระเจ้าติโลกราชที่นิยมทำพระเนตรเปิดกว้างและมองตรงมากกว่า.ส่วนของฐานที่ทำเป็นบัวคว่ำ-บัวหงาย มีลายเกสรบัวด้านใน ที่ฐานเหลี่ยมด้านล่างมีการเจาะช่องคล้ายลายก้อนเมฆ เรียกว่า “ช่องกระจก” ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะจีน สันนิษฐานว่าช่างล้านนานำลายที่ปรากฏบนเครื่องถ้วยจีนมาดัดแปลงเป็นลายประดับฐานและอาจจะช่วยความสะดวกในเรื่องการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปก็เป็นได้.ส่วนการทำขาสามขารองรับ โดยส่วนนี้มาจากสายท่อชนวนสำหรับหล่อพระพุทธรูปและเหลือไว้ไม่ตัดทิ้ง (โดยปกติเมื่อเสร็จแล้วจะตัดทิ้ง) จึงกลายเป็นลักษณะเฉพาะที่ได้รับความนิยมในสมัยนี้ .ส่วนของชายสังฆาฏิทำเป็นแผ่นค่อนข้างใหญ่ มักพบในศิลปะอยุธยา จึงสันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากศิลปะอยุธยามาผสมด้วย ส่วนปลายมีลักษณะพิเศษ โดยตัดตรงและตกแต่งลวดลายบนส่วนปลาย เป็นลักษณะของพระพุทธรูปกลุ่มหนึ่งที่นิยมในสมัยนี้ อีกกลุ่มหนึ่งยังคงทำเป็นแบบปลายแยก 2 ชายม้วนเข้าหากันคล้ายเขี้ยวตะขาบ.นอกจากลักษณะดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีลักษณะสำคัญอื่น ๆ ที่มักปรากฏในกลุ่มพระพุทธรูปอิทธิพลศิลปะสุโขทัยในสมัยนี้ คือ นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเท่ากันและเรียวยาว ส่วนใหญ่นิยมจารึกบอกศักราชปีที่สร้าง ตัวอย่างสำคัญคือ พระเจ้าเก้าตื้อ วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ----------------------------------------------------อ้างอิง- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 243-244.ที่มารูปภาพพระพุทธรูปปางมารวิชัย วัดพันเตา- ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ. (2547, 14 พฤษภาคม) ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 121 ตอนที่ 55ง. หน้า 69.

หีบพระธรรมลายรดน้ำ

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ หีบพระธรรมลายรดน้ำ รูปแบบ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 24วัสดุ : ไม้ ลงรักปิดทอง ประดับกระจกประวัติ : พุทธสถานเชียงใหม่มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดแสดงลักษณะเป็นหีบพระธรรมทรงลุ้ง คือ หีบทรงสูงที่มีส่วนบนกว้าง ส่วนล่างสอบลง และมีฝาปิดครอบด้านบน ตกแต่งด้วยการลงรักปิดทอง แสดงภาพทศชาติชาดกและพุทธประวัติ ตั้งอยู่บนฐานบัวลูกแก้วอกไก่ประดับกระจก มีห่วงวงกลม 4 วงรองรับเพื่อใช้สำหรับสอดไม้คานหามได้ ---------------------------------------------------ภาพเขียนลงรักปิดทองของหีบพระธรรมใบนี้ มีรูปแบบผสมอิทธิพลศิลปะรัตนโกสินทร์ ล้านนา และจีน โดยเห็นได้จากเครื่องทรงของตัวละครหลัก และสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี เป็นแบบอิทธิพลศิลปะรัตนโกสินทร์ ในขณะที่เครื่องแต่งกายและทรงผมของเหล่านางกำนัลเป็นแบบศิลปะล้านนา ส่วนฉากประกอบธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ ลวดลายที่ขอบและบนฝาหีบพระธรรม เช่น รูปมังกร ก้อนเมฆ มีอิทธิพลของศิลปะจีนผสมอยู่.ช่างได้เขียนภาพเล่าเรื่อง “ทศชาติชาดก และ พุทธประวัติ” โดยเลือกทศชาติชาดกมา 3 ชาติ คือ ชาติที่ 8 นารทชาดก, ชาติที่ 9 วิทูรชาดก และชาติที่ 10 เวสสันดรชาดก ส่วนพุทธประวัติ คือ ตอนออกมหาภิเนษกรมณ์.- ด้านที่ 1 “นารทชาดก”เป็นชาติที่ 8 เพื่อบำเพ็ญอุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นท้าวมหาพรหม ชื่อว่า นารทะ ในครั้งนั้นพระเจ้าอังคติราชมีความเห็นผิดว่า นรก สวรรค์ ไม่มีจริง นารทะพรหมจึงได้เสด็จลงมาแสดงโทษแห่งความเห็นผิดให้พระเจ้าอังคติราชสดับฟัง ทำให้พระองค์คลายจากมิจฉาทิฐิละความเห็นผิด กลับมาปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ฉากที่เลือกมาเขียน เป็นฉากตอนที่นารทะพรหมหาบสาแหรกทองคำ เหาะลงมายังปราสาทของพระเจ้าอังคติราช โดยมีพระธิดาเข้าเฝ้าอยู่ เพื่อแสดงโทษแห่งความเห็นผิดให้พระเจ้าอังคติราชฟัง.- ด้านที่ 2 “วิทูรชาดก” เป็นชาติที่ 9 เพื่อบำเพ็ญสัจจบารมี พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นอำมาตย์ ชื่อว่า วิทูระ เป็นผู้สอนอรรถและธรรมแด่พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ แห่งกรุงอินทปัตถ์ เมื่อปุณณกยักษ์มาท้าพนันเล่นสกากับพระเจ้าธนัญชัย โดยมีวิทูรบัณฑิตเป็นเดิมพัน เพื่อหวังเอาหัวใจไปให้นางวิมาลาซึ่งเป็นมเหสีของพญานาค พระเจ้าธนัญชัยทรงแพ้ แม้วิทูรบัณฑิตจะรู้ดีว่า หากตอบว่าตนไม่ใช่ทาสของพระราชาก็จะพ้นจากสถานการณ์นี้ แต่ก็ยังคงตอบตามความเป็นจริงไป เพราะยึดมั่นในสัจจะฉากที่เลือกมาเขียน เป็นฉากตอนที่ปุณณกยักษ์ปรารถนาจะได้หัวใจวิทูรบัณฑิตไปให้นางวิมาลามเหสี จึงควบม้าไปในทางที่มีต้นไม้และภูเขา โดยให้วิทูรบัณฑิตจับที่หางม้าไว้ หวังเหวี่ยงให้ร่างวิทูรบัณฑิตกระแทกต้นไม้และภูเขาตายไปโดยชอบธรรม แต่ทั้งต้นไม้และภูเขากลับแหวกทางออกให้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ.- ด้านที่ 3 “เวสสันดรชาดก”เป็นชาติที่ 10 เพื่อบำเพ็ญทานบารมี ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะทรงอุบัติเป็นพระโคตมพุทธเจ้า โดยชาตินี้เสวยชาติเป็น พระเวสสันดร พระองค์ทรงตั้งปณิธานในการบริจาคทาน แม้จะมีใครขอสิ่งที่รัก สิ่งที่หวงแหนก็ทรงบริจาคเป็นทานได้ฉากที่เลือกมาเขียน เป็นฉากในตอนของกัณฑ์ที่ 2 คือ กัณฑ์หิมพานต์ เป็นตอนที่พระเวสสันดรทรงมอบช้างปัจจัยนาเคนทร์ ช้างเผือกมงคลที่ไปที่ไหนฝนก็ตกที่นั่นให้แก่เหล่าพราหมณ์ทั้ง 8 (ในภาพวาดเพียง 7 คน) จากเมืองกลิงคราษฎร์ที่กำลังประสบปัญหาฝนแล้ง โดยพระหัตถ์หนึ่งกำลังหลั่งน้ำสิโณทก ไปที่มือของพราหมณ์ อีกพระหัตถ์จับงวงช้างไว้.- ด้านที่ 4 “ออกมหาภิเนษกรมณ์”เป็นตอนในพุทธประวัติ หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ที่เทวดาแสร้งนิมิตไว้ แล้วทรงสังเวช แสวงหาอุบายแก้ทุกข์ จึงตัดสินใจออกผนวชฉากที่เลือกมาเขียน เป็นฉากในตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปยังปราสาท เพื่อทอดพระเนตรพระนางพิมพา (พระมเหสี) และพระราหุล (พระโอรส) ที่เพิ่งประสูติ ซึ่งทั้งสองกำลังบรรทมอยู่ และมีเหล่านางกำนัลกำลังหลับใหล ที่ด้านนอกปราสาทมีนายฉันทะที่เตรียมม้ากัณฐกะรออยู่ เพื่อเสด็จออกจากพระนครเพื่อออกผนวช ---------------------------------------------------อ้างอิง- ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง ฉบับญาณวชิระ. สมุทรปราการ : เมืองโบราณ, 2565.- วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. พุทธประวัติ เล่ม 1. พระนคร : โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, 2455.

กล้อง 3 มิติ

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ในสมัยก่อนมีสิ่งประดิษฐ์หนึ่งที่ให้ความบันเทิงและเป็นที่นิยมของผู้คนในช่วงคริสตวรรษที่ 19 คือ “กล้อง 3 มิติ” (Stereoscope) หรือมีอีกชื่อคือ กล้องถ้ำมอง .กล้อง 3 มิติแรกถูกคิดค้นและประดิษฐ์โดย ‘Sir Charles Wheatstone’ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี 1832 เป็นกล้องแบบกระจกสะท้อน โดยใช้กระจก 2 บาน วางทำมุม 45 องศา เพื่อให้สายตาคนดูมองเห็นภาพสะท้อนในแต่ละด้าน และได้ถูกปรับปรุงโดย ‘David Brewster’ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี 1849 ให้เป็นแบบกล้อง 2 เลนส์ที่ใช้ส่องและมองเห็นภาพ โดยเขาเรียกว่า “lenticular stereo scope” จนกลายเป็นกล้อง 3 มิติแรกที่สามารถพกพาได้ ต่อมา ‘Oliver Wendell Holmes’ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันได้พัฒนารูปแบบกล้องให้เพรียวบาง สามารถพกพาถือด้วยมือได้ง่ายขึ้น แถมราคาประหยัด จนกลายเป็นความบันเทิงชิ้นโปรดประจำบ้านและห้องเรียนในยุคนั้น.การใช้งานกล้อง 3 มิติ เราจะใช้แผ่นภาพคู่ 2 มิติ (ภาพหนึ่งสำหรับดวงตาข้างซ้าย และอีกภาพสำหรับดวงตาข้างขวา) ซึ่งเป็นภาพถ่ายจากสถานที่หรือสิ่งเดียวกัน แต่ถูกถ่ายโดยองศาที่ต่างกันเล็กน้อย เมื่อนำมาวางด้านหน้าเลนส์ มองผ่านกล้อง 3 มิติ และเลื่อนปรับระดับระยะห่างให้โฟกัสอย่างเหมาะสมแล้ว สมองจะรวมภาพคู่ 2 มิตินั้นให้เป็นภาพเดียวจนเกิดมิติความลึกเป็นภาพ 3 มิติขึ้นมา .กล้อง 3 มิติและแผ่นภาพคู่ ที่จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เป็นของยี่ห้อ Underwood & Underwood ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแผ่นภาพ 3 มิติที่ได้รับความนิยม ก่อตั้งบริษัทในปี 1882 โดยสองพี่น้องชาวอเมริกัน ชื่อ Elmer และ Bert Elias Underwood และได้เติบโตขยับขยายสาขาไปในหลายเมือง ทั้งใน อเมริกา แคนาดา และสหราชอาณาจักร กล้องยี่ห้อนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานของกล้อง 3 มิติ โดยเป็นกล้องแบบ Holmes (Holmes type stereoscope) ที่ใช้มือถือได้ แต่พวกเขาได้เน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ให้ดูทันสมัย โดยทำเป็นดีไซน์อลูมิเนียม ความโดดเด่นนี้ส่งผลให้โรงงานผลิตอื่น ๆ เริ่มทำตามแบบในไม่ช้า.ลักษณะกล้อง 3 มิติที่จัดแสดงนี้ มีลักษณะดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของยี่ห้อ Underwood & Underwood คือเป็นแบบกล้อง 2 เลนส์ที่ทำที่ครอบลูกตาห่อหุ้มด้วยอลูมิเนียม ประดับลวดลายใบไม้อย่างฝรั่ง พร้อมสลักชื่อยี่ห้อการค้า “Sun Sculpture U&U Trademark” ด้านหน้าเลนส์กล้อง ทำเป็นไม้ยื่นยาวออกไป เพื่อใช้เลื่อนขึ้น-ลงปรับระดับโฟกัสในการมอง พร้อมกับแท่นวางแผ่นภาพคู่ มีด้ามไม้จับ 1 ด้ามไว้สำหรับถือ ข้างใต้กล้องใกล้ด้ามจับมีข้อความสลักไว้ว่า “Man'f'd by Underwood & Underwood New York Patented June 11.1901 Foreign Patents Applied For” ส่วนแผ่นภาพคู่ 2 มิติ โดยส่วนใหญ่จะเป็นภาพถ่ายสถานที่และผู้คน บรรจุอยู่ในกล่องกระดาษที่สันกล่องทำคล้ายปกหนังสือ ระบุชื่อสถานที่ของภาพถ่ายและยี่ห้อไว้.โดยกล้อง 3 มิติพร้อมแผ่นภาพตัวนี้ มี 'ความสำคัญ' คือ เป็นของที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงซื้อมาจากพ่อค้าชาวยุโรป และพระราชทานแก่เจ้าดารารัศมี พระราชชายา เมื่อครั้งกราบบังคมลากลับไปเยี่ยมเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ. 2451 เนื่องจากทรงเกรงว่าระหว่างทาง หากพระราชชายาอ่านหนังสือจนตาลาย เผื่อจะใช้กล้อง 3 มิติส่องดูเล่นไปได้ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/chiangmai.../posts/2626660764234660).>> หากผู้อ่านทุกท่านสนใจ สามารถเข้ามาย้อนเวลา ร่วมสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงของผู้คนในอดีต ส่องผ่านกล้อง 3 มิติได้ที่อาคารจัดแสดงชั้น 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ >> พร้อมสามารถเข้าชม นิทรรศการพิเศษ “คน (เริง) เมือง ย้อนมองเมืองเชียงใหม่ยุคโมเดิร์นไนซ์ ผ่านสถานที่ ผู้คน และวัตถุเริงรมย์” ที่จัดแสดงอยู่บริเวณใกล้กันได้เช่นกันค่ะ >> เปิดทำการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 09:00 – 16:00 น. (หมายเหตุ: ขณะนี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ งดเว้นค่าเข้าชม เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงห้องจัดแสดงนิทรรศการบางส่วน ทำให้ไม่สามารถจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นสำคัญบางชิ้นได้ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ)---------------------------------------------------------------------แหล่งอ้างอิง- John Plunkett. (2008). “Selling stereoscopy, 1890–1915: Penny arcades, automatic machines and American salesmen”, Early Popular Visual Culture Vol. 6, No. 3, November 2008, p.239–242.- Kansas Historical Society. “Stereoscopic photographs and marketing of photographs”. [Online]. เข้าถึงเมื่อ 21 มิถุนายน 2565, จาก: https://www.kshs.org/kansa.../elmer-and-bert-underwood/12227- The Guardian. “Stereographic New York: animated 3D images from the 1850s to the 1930s”. [Online]. เข้าถึงเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565, จาก : https://www.theguardian.com/.../stereographic-new-york...- Museum of Teaching and Learning. “Stereoscope”. [Online]. เข้าถึงเมื่อ 23 มิถุนายน 2565, จาก: https://www.motal.org/stereoscope.html- Britannica. “Development of stereoscopic photography”. [Online]. เข้าถึงเมื่อ 23 มิถุนายน 2565, จาก: https://www.britannica.com/.../Development-of...- Cove. “Wheatstone invents mirror stereoscope”. [Online]. เข้าถึงเมื่อ 23 มิถุนายน 2565, จาก: https://editions.covecollective.org/.../wheatstone...ที่มารูปภาพ- Wheatstone Stereoscope ที่มา : https://commons.wikimedia.org/.../File:Charles_Wheatstone...- Brewster Stereoscope ที่มา : https://commons.wikimedia.org/.../File:PSM_V21_D055_The...- Holmes Stereoscope ที่มา : https://www.flickr.com/photos/zcopley/91299034

พระพุทธรูปไม้ ศิลปะพม่า สมัยมัณฑะเลย์

สวัสดีทุกท่านค่ะ ช่วงนี้ก็ใกล้เข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2565 กันแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ของเราก็มี #องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ พร้อมกิจกรรมดีๆ มาต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ กับองค์ความรู้เรื่อง "พระพุทธรูปไม้ ศิลปะพม่า สมัยมัณฑะเลย์" พระพุทธรูปสมัยนี้มีลักษณะอย่างไร และความสำคัญเช่นไร มาติดตามไปพร้อมๆ กันเลยค่าา..ประเทศเมียนมาร์เป็นประเทศที่เป็นอู่อารยธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งในดินแดนอุษาคเนย์ รูปแบบงานศิลปกรรม และวัฒนธรรมมากมายจากพม่าหรือเมียนมาร์ได้มีความเกี่ยวข้องหรือส่งอิทธิพลต่องานศิลปกรรมในประเทศไทยหลายยุคสมัย ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมฝาผนัง นับตั้งแต่สมัยทวารวดี หริภุญไชย สุโขทัย ล้านนา อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ซึ่งเรามักจะพบศิลปะพม่ามีอิทธิพลโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดในศิลปะล้านนา และรัตนโกสินทร์ช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 – 25 ที่มีการอพยพและกวาดต้อนชาวมอญ พม่า เข้ามายังสยาม และการอพยพย้ายถิ่นฐานเพื่อเข้ามาทำกิจการป่าไม้ของชาวพม่าและชาวไทใหญ่ในเขตภาคเหนือตอนบนของไทย เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน ชาวมอญ พม่า และไทใหญ่ เมื่อย้ายถิ่นฐานมาอาศัยในประเทศไทยในปัจจุบันแล้ว ก็ได้นำช่างมาก่อสร้างวัด อาคาร ศาสนสถานในรูปแบบศิลปะของเชื้อชาติตนเข้ามาด้วย พระพุทธรูปจึงเป็นประติมากรรมสำคัญอย่างหนึ่งที่นิยมสร้างพร้อมกันกับการสร้างศาสนสถานเนื่องในศาสนาพุทธของชาวมอญ พม่า และไทใหญ่.ในสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 – 25 ตรงกับสมัยราชวงศ์คองบอง (อลองพระ) (พ.ศ. 2295 – 2428) ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองอังวะ อมรปุระ และมัณฑะเลย์ ทั้งนี้ ศิลปะพม่าสมัยมัณฑะเลย์น่าจะเป็นหนึ่งในรูปแบบศิลปะพม่าที่คุ้นตาของคนไทยมากที่สุด ทั้งการสร้างเจดีย์และอาคารทรงปยาทาด อันเป็นอาคารที่มีเรือนยอดซ้อนชั้นกันหลายๆ ชั้น มักนิยมสร้างเป็นอุโบสถ วิหาร หรือหอไตร ในส่วนของพระพุทธรูปสมัยมัณฑะเลย์ มีการสร้างด้วยวัสดุที่หลากหลาย ทั้งโลหะผสม (สำริดหรือทองเหลือง) หินอ่อน ปูน รักสมุก (การใช้ไม้ไผ่สานโครงให้เป็นรูปทรงพระพุทธรูป จากนั้นช่างจะใช้เถ้าถ่านหรือเศษขี้เลื่อยที่ได้จากการเผาคัมภีร์ใบลานต่างๆ มาพอกทับโครงไม้ไผ่สาน เมื่อวัสดุที่พอกแห้งดีแล้ว จึงทำการลงรักและตกแต่งพระพุทธรูปให้มีความสวยงามตามรูปแบบศิลปะ) และไม้ ซึ่งเป็นวัสดุประเภทหนึ่งทีนิยมนำมาสร้างพระพุทธรูปอย่างมาก.พระพุทธรูปศิลปะพม่า สมัยมัณฑะเลย์ มีลักษณะที่โดดเด่น คือ พระพุทธรูปมีความสมจริงคล้ายมนุษย์ โดยส่วนพระพักตร์มีการสร้างให้พระเนตรมองตรง และประดับอัญมณี เช่น นิลและมุก เพื่อให้คล้ายดวงตาของมนุษย์ พระโอษฐ์มีลักษณะสมจริง ขมวดพระเกศาเล็กมาก อุษณีษะ (มวยผม) สูงมาก และไม่มีรัศมี ริ้วจีวรเป็นริ้วแบบธรรมชาติ ปลายจีวรเป็นหยักโค้งไปมา ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลการสร้างริ้วจีวรเช่นนี้มาจากศิลปะจีน กรอบพระพักตร์เป็นแถบหนา มีไรพระศก และมักทำลวดลายพร้อมประดับอัญมณีหรือกระจกสีที่กรอบพระพักตร์และขอบจีวร คล้ายพระพุทธรูปทรงเครื่อง (พระพุทธรูปที่มีการทรงเครื่องประดับต่างๆ อย่างกษัตริย์ อาทิ มงกุฎ กุลฑล กรองศอ สังวาลย์ และทับทรวง เป็นต้น) ขณะเดียวกันพระพุทธรูปทรงเครื่องเองก็ยังคงนิยมสร้างในสมัยนี้อยู่ โดยสืบทอดแนวคิดมาจากสมัยอังวะ (ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 24) ตามคติชมพูบดีสูตร ซึ่งเป็นพุทธประวัติตอนหนึ่งในคัมภีร์พุทธศาสนา นิกายเถรวาท ที่ชาวพม่าให้ความเคารพนับถือ ในพุทธประวัติได้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าได้เนรมิตพระองค์ให้มีขนาดพระวรกายใหญ่โต พร้อมทรงเครื่องประดับอย่างกษัตริย์ เพื่อสั่งสอนพญาชมพูบดีผู้เป็นกษัตริย์ที่ไม่ยอมรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งพญาชมพูบดีเชื่อฟังในคำสอนของพระพุทธเจ้าและออกผนวช จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด.พระพุทธรูปศิลปะพม่า ไม่ได้มีเพียงสกุลช่างหลวงของพม่าเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสกุลช่างอื่นๆ อีกมากที่มีลักษณะปลีกย่อยแตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์นั้นๆ อาทิ สกุลช่างมอญ สกุลช่างอาระกัน (ยะไข่) และสกุลช่างไทใหญ่ เป็นต้น แต่ในสมัยมัณฑะเลย์อาจถือได้ว่าเป็นยุคศิลปะบริสุทธิ์ของพม่า เนื่องจากมีการรวบรวมเอาศิลปะจากสกุลช่างต่างๆ มาพัฒนาเป็นรูปแบบศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ในช่วงยุคหลังมาจนถึงปัจจุบัน พระพุทธรูปไม้ศิลปะพม่าสมัยมัณฑะเลย์จึงได้รับความนิยมในกลุ่มนักสะสมของเก่า หรือผู้ค้าโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ จึงมีการผลิตซ้ำพระพุทธรูปไม้รูปแบบศิลปะพม่าสมัยมัณฑะเลย์ เพื่อนำเข้าหรือส่งออกเป็นจำนวนมาก นี่จึงเป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงสุนทรียภาพของพระพุทธรูปศิลปะพม่า สมัยมัณฑะเลย์ เป็นที่ยอมรับว่ามีความงดงามอย่างมีเอกลักษณ์ตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน.เอกสารอ้างอิง1). เชษฐ์ ติงสัญชลี. (2560). ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (พิมพ์ครั้งที่ 3). นนทบุรี: สำนักพิมพ์มิวเซียมเพรส.2). ศักดิ์ชัย สายสิงห์. (2557). ศิลปะพม่า. กรุงเทพฯ: มติชน.3). สมเกียรติ โล่ห์เพชรัตน์. (2550). พระพุทธรูปศิลปะพม่า ประวัติศาสตร์ชนชาติพม่ากับปฏิมากรรมในพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: สยามอินเตอร์เนชั่นแนลบุคส์..พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสักการะพระสิงห์ และพระพุทธรูปไม้ พระอุปคุตและพระสาวกไม้ รูปแบบศิลปะพม่า สมัยมัณฑะเลย์ รวม 9 องค์ พร้อมทั้งสักการะพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 นี้ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2564 – 30 มกราคม 2565 .พิเศษ!! พิพิธภัณฑ์ของเรามีของขวัญปีใหม่แจกให้ทุกท่านที่เข้าชมนิทรรศการฟรี ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม และตลอดเดือนมกราคม 2565 หรือจนกว่าของจะหมด รีบมาชมกันเยอะๆ นะคะ

สัปคับ

. สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับสาระความรู้ดีดีจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่กันอีกแล้วนะคะ ในวันนี้ทางเราขอเสนอ องค์ความรู้ เรื่อง โบราณวัตถุชิ้นเด่นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ตอน “สัปคับ” . สัปคับ คือ ที่นั่งบนหลังช้าง มีลักษณะคล้ายตั่งผูกติดบนหลังช้าง ใช้สำหรับนั่ง บรรทุกสัมภาระ เพื่อการเดินทางในภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบและป่าเขา อาจเรียกว่าแหย่งช้างก็ได้ค่ะ หากใช้สำหรับพระมหากษัตริย์เรียกว่า “พระที่นั่ง” ( สัปคับพระที่นั่ง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/chiangmainationalmuseum/posts/2621120284788708 ). ส่วนสัปคับองค์นี้ เดิมเป็นสัปคับช้างทรงของ เจ้านครเชียงใหม่ สร้างด้วยไม้สลักเป็นลวดลาย แบบจีน ตกแต่งด้วยการลงรักปิดทอง . ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้ใช้เป็นสัปคับช้างทรงของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง ราชานุภาพ ในริ้วกระบวนช้างพระนั่งเสด็จ เข้านครเชียงใหม่ . ต่อมาเมื่อสิ้นสุดยุคเจ้าผู้ครองนคร ทายาทจึงได้ เชิญมาถวายไว้ที่ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ต่อมาพระธรรมราชานุวัตร ได้มอบให้กับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดแสดง มาจนถึงปัจจุบันค่ะ. ลวดลายที่ปรากฏบนสัปคับองค์นี้ ล้วนเป็นสัญลักษณ์มงคล ตามคติความเชื่อแบบจีน สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลศิลปะจีนที่ เข้ามามีบทบาทในงานศิลปกรรมล้านนาในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี . ลวดลายสัญลักษณ์ที่นำมาใช้ มักมีความหมายในทางมงคล คือ ให้มีความสุข อายุยืนยาว มีโชคลาภ สมปรารถนา ปัดเป่าสิ่งไม่ดี มีลูกหลานสืบสกุล มีตำแหน่งและก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลและเป็นการอวยพร ให้เกิดความสงบสุขแก่ผู้ใช้นั้นเองค่ะ"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""หากท่านใดสนใจอยากรับชมสัปคับทั้ง ๒ องค์ สามารถแวะมาชมกันได้ที่ พิพิธภัณฑ์ของเรานะคะ ไว้พบกันใหม่ในองค์ความรู้รอบหน้าค่ะ"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) e-mail : cm_museum@hotmail.comสอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผ่านกล่องข้อความ หรือ โทรศัพท์ : 053-221308For more information, please leave your message via inbox or call : +66 5322 1308+

ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง

#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่#ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง. ดอกไม้ เป็นสิ่งที่มีความสวยงาม กลิ่นหอม มีความบริสุทธิ์และควรค่าแก่การบูชา ดังนั้นคนในสมัยโบราณจึงนำเอาดอกไม้มาเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องสักการะสูงสุด และที่สำคัญคติความเชื่อของชาวล้านนา ที่เชื่อกันว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกับมนุษย์ ดังนั้นจึงพึงได้รับอานิสงส์จากการอุทิศตนถวายเป็นพุทธบูชาด้วย. ในวันนี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จะขอพาทุกท่านไปรู้จักกับดอกไม้ที่ใช้เป็นเครื่องสักการะในพุทธศาสนาอีกประเภทหนึ่ง คือ “ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง” ค่ะ ตามมานะคะ"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""/// ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง คืออะไร?? ///. “ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง” เป็นการจำลองรูปลักษณะของดอกไม้จริงให้กลายเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ด้วยทองและเงิน เพื่อความคงทนสำหรับสักการบูชาศาสนสถานหรือศาสนวัตถุทางพระพุทธศาสนา. “ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง” มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป เช่น ล้านนา เรียกว่า “ดอกไม้เงินดอกไม้คำ” ทางมลายู เรียกว่า “บุหงามาสดานเประ” (Bunga Mas DanPerak) เป็นต้น. ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของ “ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง” ไว้ว่า “เครื่องราชบรรณาการที่ทำเป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองเป็นคู่ ซึ่งเมืองขึ้นส่งมาถวายแก่พระเจ้าแผ่นดินทุกๆ ๓ ปี” หรือ “เครื่องสักการะที่เจ้านายหรือขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์ตั้งแต่เจ้าพระยาขึ้นไปถวายพระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้รับสถาปนาให้ทรงกรมหรือเลื่อนกรมให้สูงขึ้น หรือเมื่อได้รับพระราชทานตั้งยศ” โดยจะนิยามใน ๒ ประเด็นหลัก คือ เป็นเครื่องบรรณาการ และ สื่อกลางในการเลื่อนชั้นและตำแหน่งหน้าที่เท่านั้น/// ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง : เครื่องสักการบูชาตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ///. ปรากฏหลักฐานแรกสุดจากการขุดค้นทางโบราณคดีในเมืองตักกสิลา (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน) ในสถูปซึ่งมีอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๓ – ๖ พบหลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นอูบหรือผอบประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุดอกไม้ประดิษฐ์ที่ใช้วัตถุดิบเป็นทองคำและเงิน เนื่องจากมีมูลค่าและคุณค่าสูง ประกอบกับคงทนถาวรกว่าแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ. ทั้งนี้เมืองตักกสิลาและบริเวณอื่นๆของอินเดียหลายแห่งเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาและระบบเครือข่ายทางการค้า ส่งผลให้คติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาจากตักกสิลาส่งอิทธิพลแนวคิดดังกล่าว เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเส้นทางการค้า โดยเริ่มจากบริเวณคาบสมุทรมลายูก่อนเผยแพร่เข้าไปทางภาคใต้ของไทย กับอีกเส้นทางหนึ่งคือจากอินเดียเข้าสู่พม่า ล้านนา และเข้ามาสู่สยาม. ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในวโรกาสเจริญพระชนพรรษาครบ ๓๒ พรรษา เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๓๘ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ โดยอัญเชิญพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐานบนบุษบกทองคำ และใช้ต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน ล้อมบุษบก นอกจากนี้คนในอดีตนิยมถวายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน เป็นเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๔ เสด็จยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และทรงถวายต้นไม้ทองต้นไม้เงินเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร/// ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง : เครื่องราชบรรณาการจากหัวเมืองประเทศราช ///. ในสมัยรัตนโกสินทร์ หัวเมืองประเทศราชของไทย เช่น เมืองหล่ม เมืองหลวงพระบาง เมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน เขมร ชนกลุ่มต่างๆทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ(กะเหรี่ยง) มลายู (ไทรบุรี ปัตตานี กลันตัน และตรังกานู) จะต้องส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง หรือ ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการมายังกรุงเทพฯ ทุกๆ ๓ ปี หรือทุกปี ที่เป็นทั้งเงินทองหรือผลิตผลในท้องถิ่นมากน้อยไม่มีกฎเกณฑ์กำหนด หรืออาจเป็นสิ่งของที่กรุงเทพฯแจ้งความต้องการไป เพื่อแสดงความสวามิภักดิ์และการยอมเป็นเมืองขึ้นไทย . โดยขนาดของต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ที่ส่งมาถวาย จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และฐานะความมั่งคั่งของแต่ละรัฐ ดังนั้น ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง หรือ ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง เหล่านี้ จึงเปรียบเสมือนเครื่องหมายความจงรักภักดีต่อประเทศราชเหล่านั้น/// ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง : สื่อกลางในการเลื่อนชั้นหรือบรรดาศักดิ์ของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนัก ///. ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง เป็นสิ่งที่เจ้านายหรือพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับการสถาปนาให้ทรงกรมหรือเลื่อนกรมสูงขึ้น ทูลเกล้าฯถวายพระมหากษัตริย์ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและแสดงการยอมรับในพระราชอำนาจ โดยเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ แล้ว เช่น ขุนนางที่ได้รับบรรดาศักดิ์สูงขึ้นเป็นเจ้าพระยาจะต้องนำพุ่มไม้เงิน พุ่มไม้ทอง ขึ้นทูลเกล้าฯถวาย หลังจากที่ได้มีพระบรมราชโองการแล้ว พุ่มไม้เงินพุ่มไม้ทองคู่นี้จะนำมาใส่แจกัน อาจเป็นแจกันแก้วเจียรนัยหรือแจกันเคลือบ แล้วแต่ฐานะของผู้ที่ได้บรรดาศักดิ์. จะเห็นได้ว่า “ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง” นอกจากจะใช้เป็นเครื่องพุทธบูชา ไว้สักการบูชาเนื่องในพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ใช้เพื่อเป็นของขวัญของกำนัล เชื่อมสัมพันธไมตรีก่อนจะถูกกำหนดให้เป็นเครื่องบรรณาการจากเมืองเจ้าของประเทศราช หลังจากนั้นเจ้าเมืองประเทศราชได้นำไปใช้ในการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักเพื่อแสดงการยอมรับพระราชอำนาจอีกด้วย""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""ที่มา : - เกรียงไกร ฮ่องเฮงเส็ง. (2561) ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง - ดอกไม้บรรณาการ: จากสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพสู่ภาพตัวแทนอำนาจการปกครอง. วารสารไทยศึกษา ปีที่ 14 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม หน้า 29-60. - สมศักดิ์ ฤทธิ์ภักดี. (2556). ต้นไม้ทองต้นไม้เงินสมัยรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : นิทรรศการพลังแผ่นดิน อัศจรรย์งานศิลป์แผ่นดินสยาม. - สินชัย กระบวนแสง และวรรณิสิริ นุ่นสุข. (2545). การศึกษาคติในการบูชาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช: กรณีดอกไม้เงินดอกไม้ทอง. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช."""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""". พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ได้นำตัวอย่างดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ที่จัดแสดงอยู่ ณ ห้องโบราณวัตถุที่พบในฮอด จังหวัดเชียงใหม่ มาให้ทุกท่านได้ชมกันค่ะ. ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองทั้ง 4 รายการนี้ แม้จะเป็นสิ่งของที่มีขนาดเล็ก แต่ก็แสดงถึงความศรัทธาและฝีมือของช่างในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดีค่ะ แล้วพบกันใหม่ในองค์ความรู้รอบหน้านะคะ""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) e-mail : cm_museum@hotmail.comสอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผ่านกล่องข้อความ หรือ โทรศัพท์ : 053-221308For more information, please leave your message via inbox or call : +66 5322 1308+


Messenger