ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ
++ขุดค้นศึกษากำแพงเมืองเชียงใหม่ชั้นนอก++
--เมื่อ พ.ศ.2561 กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างก้อนอิฐที่ก่ออยู่แนวกำแพงเมืองเชียงใหม่ชั้นนอก(กำแพงดิน) ไปศึกษาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีเรืองแสงความร้อน (TL) พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 - 19 หรือราว 700-800 ปีมาแล้ว
--เพื่อสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับอายุสมัยและพัฒนาการของกำแพงเมืองเชียงใหม่ชั้นนอก (กำแพงดิน) ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ จึงได้ดำเนินการขุดค้นตัดแนวกำแพงฯ เพื่อศึกษาชั้นดินทับถมทางโบราณคดี โบราณวัตถุ และเตรียมนำตัวอย่างดินแต่ละชั้นไปศึกษาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับกำแพงเมืองเชียงใหม่ชั้นนอกมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อันจะนำมาสู่การอธิบายพัฒนาการทางสังคม วัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ต่อไป
--ปล.ความคืบหน้าเป็นอย่างไร แอดมินจะรายงานให้ทราบเป็นระยะ
ชื่อเรื่อง กายนคร (กายนคร)สพ.บ. 102/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 52 หน้า กว้าง 4.8 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดประสพสุข ต.ทับตีเหล็ก อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (ทสชาติ) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกาย-ฎฐกถา (มโหสถ)สพ.บ. 201/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 4.2 ซ.ม. ยาว 56.8 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดกกม่วง ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
การจัดแสดงพระที่นั่งพรหมพักตร์ ณ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๖๓)
พระที่นั่งพรหมพักตร์ ไม้แกะสลัก ลงรักปิดทองประดับกระจก
กว้าง ๑๗๐ เซนติเมตร ยาว ๓๓๔ เซนติเมตร
พระที่นั่งทรงบุษบก ยอดหน้าพระพรหม มีมุขลด ๒ ข้าง สร้างในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สันนิษฐานว่าใช้เป็นพระที่นั่งราชบัลลังก์สำหรับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จออกฝ่ายใน ให้สตรีมีบรรดาศักดิ์เฝ้าในงานพิธี มุขลดข้างหนึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าศิริรจจาพระอัครชายา ข้างหนึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าฟ้าพิกุลทอง (เจ้าฟ้ากรมขุนศรีสุนทร) พระราชธิดา
กล่าวกันว่าเดิมพระที่นั่งทรงบุษบกองค์นี้อยู่ที่พระที่นั่งพรหมเมศธาดา และย้ายมาไว้ในพระที่นั่งวายุสถานอมเรศสำหรับประดิษฐานพระอัฐิในสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิกรมพระราชวังบวรที่ล่วงมาแล้ว ๓ พระองค์ องค์กลางเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท องค์เหนือเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ และองค์ใต้เป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ จนถึงในรัชกาลที่ ๖ โปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานในหอพระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สำหรับพระที่นั่งวายุสถานอมเรศ พระวิมานองค์ใหญ่ซึ่งอยู่ใจกลางหมู่พระวิมาน พระราชวังบวรสถานมงคล เป็นพระที่นั่งสำหรับฤดูหนาว สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ประทับและสวรรคตในพระวิมานองค์นี้
รายละเอียดของยอดพระที่นั่งพรหมพักตร์ ในพระที่นั่งวายุสถานอมเรศ
รายละเอียดของเครื่องลำยอง พระที่นั่งพรหมพักตร์ ในพระที่นั่งวายุสถานอมเรศการประกอบพระที่นั่งพรหมพักตร์ โดยสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรภาพถ่ายเครื่องยอดพระที่นั่งพรหมพักตร์ ระหว่างการบูรณะ ณ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรภาพถ่ายพระที่นั่งพรหมพักตร์ ก่อนการบูรณะใน พ.ศ. ๒๕๕๙ภาพถ่ายพระที่นั่งพรหมพักตร์ ณ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ ในรัชกาลที่ ๘
เลขทะเบียน : นพ.บ.87/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 50 (78-93) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : จุนฺทสูกสุตตฺ (จุนทสูกริกสูตร) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อเรื่อง ปพฺพชฺชานิสํสกถา (อานิสงส์บวช)สพ.บ. 156/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า กว้าง 4.5 ซ.ม. ยาว 58 ซ.ม. หัวเรื่อง ธรรมเทศนา พุทธศาสนา อานิสงส์ การบวช
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี
ตำราดูฤกษ์ยาม ชบ.ส. ๗๕
เจ้าอาวาสวัดเทพประสาท ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.28/1-3
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
การค้าขายและเงินตราที่ใช้ในล้านนา ตอนที่ ๑
การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าของคนในอดีต เริ่มจากการนำผลิตผลที่มีมาแลกเปลี่ยนกัน ต่อมาจึงเริ่มนำวัตถุมาใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เช่น หอยเบี้ย เกลือ ต่อมาเมื่อมีการค้นพบโลหะทองแดงได้มีการนำทองแดงมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ด้วยคุณสมบัติที่คงทนสามารถตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ได้น้ำหนักตามที่ต้องการโดยยังคงคุณสมบัติเหมือนกันทุกก้อนและสามารถนำมาหลอมรวมกันได้โดยคุณสมบัติไม่เปลี่ยนแปลง และยังพกพาสะดวก ต่อมามีการนำโลหะเงินหรือทองซึ่งหายากและสวยงามกว่ามาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
มีการกำหนดพิกัดราคาตามน้ำหนักมาตรฐานของก้อนโลหะ และสิ่งที่นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน โดยโลหะที่นำมาแลกเปลี่ยนกันนี้ภายหลังพัฒนามาเป็นเงินตราประเภทต่างๆ
ในอดีตทางตอนเหนือของไทยมีการชำระหนี้หรือการจ่ายค่าสินค้าตามน้ำหนักโดยตัดจากก้อนโลหะหรือเงินตรา โดยเรียกเศษเงินที่ตัดจนเป็นชิ้นเล็กๆ นี้ว่า เงินมุ่น
เพื่อให้ได้น้ำหนักโลหะตามที่ต้องการ จึงต้องคิดค้นวิธีการชั่งน้ำหนักขึ้น ตาชั่งในอดีตมี 2 แบบ
ตาเต็ง หรือตาชั่งจีน ลักษณะเป็นคานมีจานสำหรับวางหรือตะขอสำหรับแขวนสิ่งของที่ต้องการชั่งน้ำหนัก แล้วใช้การเลื่อนลูกชั่งไปมาบนคานชั่งด้านตรงข้ามจนได้ดุล ตาชั่งแบบนี้เป็นทิ่นิยมทางตะวันออก
ตาชู ลักษณะเป็นคานแล้วผูกหรือวางสิ่งของที่ต้องการทราบน้ำหนักไว้ด้านหนึ่งแล้วใช้ ลูกชั่ง ซึ่งเป็นก้อนหินหรือก้อนโลหะที่กำหนดน้ำหนักมาตรฐานไว้แล้วผูกหรือวางไว้อีกด้านของคาน การชั่งน้ำหนักแบบนี้ต้องเตรียมลูกชั่งขนาดต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบน้ำหนักกับสิ่งของที่ต้องการทราบน้ำหนัก ตาชั่งแบบนี้แพร่หลายเข้ามาพร้อมการค้าของพ่อค้าชาวตะวันตก เช่น กรีก โรมัน อาหรับ อินเดีย นิยมใช้กันมากในพม่าและล้านนา มีการทำลูกชั่งเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
การค้าขายและเงินตราที่ใช้ในล้านนา ตอนที่ ๔
จากที่ตั้งของอาณาจักรล้านนาที่อยู่ระหว่างเส้นทางการค้าของดินแดนในแถบพม่า จีน ลาว รวมถึงสุโขทัย และอยุธยา จึงมีพ่อค้ากลุ่มต่างๆ เดินทางมาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอยู่เสมอ จึงมีการนำยังใช้เงินตราจากดินแดนข้างเคียงเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า นอกเหนือจากเงินตราที่ผลิตขึ้นใช้เองในล้านนา
เงินฮ้อย เงินลาด เงินลาดฮ้อย
เป็นเงินตราที่อาณาจักรล้านช้างผลิตขึ้นใช้ สันนิษฐานว่าเริ่มใช้มาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ และใช้ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ตัวเงินมีการตอกประทับตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรเช่น ตราช้าง ดอกไม้ ดอกพิกุล งู ตัวเลข ตัวหนังสือ เป็นต้น ในช่วงปีพ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๐ ซึ่งพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเสด็จจากล้านช้างมาปกครองเชียงใหม่ ได้มีการประทับตราอักษร หม ลงบนเงินฮ้อยของล้านช้างด้วย
เงินฮ้อย มีลักษณะเป็นแท่งโลหะตันรูปร่างคล้ายเรือชะล่าหรือกระสวยทอผ้า หัวท้ายเรียว ด้านบนของเงินฮ้อยมีตุ่มทั่วไปเป็นท้องบุ้งส่วนด้านล่างเรียบ ทำจากโลหะเงิน เจือด้วยทองแดงเล็กน้อย แบ่งออกเป็น ๓ ชนิดตามสัดส่วนของเนื้อเงินที่ผสมอยู่
เงินลาด ทำจากโลหะทองลงหิน เคลือบผิวด้วยโลหะเงิน รูปร่างคล้ายเงินฮ้อยแต่เรียวเล็กกว่า มี ๓ ขนาด ไม่มีตุ่มที่ตัวเงิน แต่มีการประทับตรารูปจักร ช้าง เต่า ปลา และดอกไม้ จากการผลิตที่มีการเคลือบโลหะเงินที่ประณีต มีรูปร่าง ขนาด น้ำหนัก มีตราประทับที่ได้มาตรฐาน จึงเชื่อได้ว่าเป็นเงินตราที่ผลิตจากโรงกษาปณ์หลวง เงินลาดเป็นเงินปลีกที่มีราคาต่ำเนื่องจากทำด้วยโลหะผสม
เงินลาดฮ้อย ทำจากทองแดงหรือทองเหลือง ลักษณะเหมือนเรือชะล่าและเรือขุด ไม่มีการประทับตราหรือทำลวดลายลงบนตัวเงิน มีมูลค่าต่ำสุดในท้องตลาดโดยมีค่าตามน้ำหนักของโลหะที่หล่อขึ้น ประชาชนที่มีโลหะ ทองแดง ทองเหลือง สามารถหล่อขึ้นใช้เองได้ จึงมีขนาดต่างกันไปตามปริมาณและน้ำหนักของโลหะที่ใช้หล่อ และมีความประณีตในการผลิตต่างกันมาก
เอกสารอ้างอิง
เงินตราล้านนา : นวรัตน์ เลขะกุล/ธนาคารแห่งประเทศไทย นพบุรีการพิมพ์ เชียงใหม่, ๒๕๕๕
เงินตราล้านนาและผ้าไท : ธนาคารแห่งประเทศไทย อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๔๓
เบี้ย บาท กษาปณ์ แบงค์ : นวรัตน์ เลขะกุล สนพ.สารคดี, ๒๕๔๗
เงินฮ้อย มีลักษณะเป็นแท่งโลหะตันรูปร่างคล้ายเรือชะล่าหรือกระสวยทอผ้า หัวท้ายเรียว ด้านบนของเงินฮ้อยมีตุ่มทั่วไปเป็นท้องบุ้งส่วนด้านล่างเรียบ ทำจากโลหะเงิน เจือด้วยทองแดงเล็กน้อยเงินลาดฮ้อย ทำจากทองแดงหรือทองเหลือง ลักษณะเหมือนเรือชะล่าและเรือขุด ไม่มีการประทับตราหรือทำลวดลายลงบนตัวเงิน มีมูลค่าต่ำสุดในท้องตลาดโดยมีค่าตามน้ำหนักของโลหะที่หล่อขึ้น ประชาชนที่มีโลหะ ทองแดง ทองเหลือง สามารถหล่อขึ้นใช้เองได้ จึงมีขนาดต่างกันไปตามปริมาณและน้ำหนักของโลหะที่ใช้หล่อ และมีความประณีตในการผลิตต่างกันมาก
ประติมากรรมปูนปั้นลงรักปิดทอง ที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติตอน พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์กรุณาพระมหากัสสปะ
..
ณ วิหารน้อย วัดสรรพยาวัฒนาราม อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ได้ปรากฏงานศิลปกรรมอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติ ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พุทธศาสนิกชน และศาสนิกชนอื่น ๆ ได้สักการะหรือได้ชม เพื่อให้เห็นถึงความรู้ความศรัทธาของคนสมัยก่อนที่รังสรรค์งานศิลปกรรมนี้ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชม ซึ่งงานศิลปกรรมนั้น คือ
..
ประติมากรรมปูนปั้นลงรักปิดทอง ที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติตอน พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์กรุณาพระมหากัสสปะ
..
ซึ่งรูปแบบของประติมากรรมดังกล่าวที่ปรากฏนั้น ประกอบไปด้วย พระพุทธรูปในอิริยาบถไสยาสน์แบบหงายประดิษฐานอยู่ภายในหีบพระศพซึ่งรองรับด้วยฐานบัว พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันเหนือพระเพลา พระบาททั้งสองยื่นพ้นออกจากหีบพระศพ เบื้องพระบาทมีพระสาวกจำนวน 5 รูป ในอิริยาบถที่แตกต่างกัน แต่มีพระสาวกรูปหนึ่งที่ประนมมือพร้อมโน้มกายกราบสักการะพระบาทของพระพุทธองค์
..
จากองค์ประกอบทั้งหมดแสดงให้เห็นได้ว่า ประติมากรรมนี้ สร้างขึ้นตามพุทธประวัติในปฐมสมโพธิกถา ปริจเฉที่ 27 (ธาตุวิภัชนปริวรรต
การแจกพระบรมสารีริกธาตุ) คือเหตุการณ์หนึ่งในพุทธประวัติ ตอนถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
..
ซึ่งประติมากรรมนี้แสดงเหตุการณ์ตอนที่ พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระอานนท์พร้อมด้วยเหล่ากษัตริย์แห่งแคว้นมัลละได้ปฏิบัติต่อสรีระของพระพุทธองค์ โดยการหุ้มห่อพระพุทธสรีระด้วยผ้าหนา 500 ชิ้น จากนั้นอัญเชิญไว้ในหีบพระศพทอง นำหีบพระศพขึ้นจิตกาธาน(เชิงตะกอนเผาศพ) เมื่อถึงเวลาที่เหล่ากษัตริย์แคว้นมัลละจะถวายพระเพลิงนั้นทำอย่างไรก็ไม่สามารถจุดไฟให้ติดได้ พระอนุรุทธ์จึงอธิบายว่า เทพยดาต้องการคอยให้พระมหากัสสปะมาถึงก่อน ครั้นต่อมาเมื่อพระมหากัสสปะได้มาถึงสถานที่ตั้งพระพุทธสรีระก็ได้ทำการสักการะ เข้าไปสู่ทิศเบื้องพระบาทของหีบพระศพ โดยถวายอัญชลี ในขณะนั้นจึงบังเกิดปาฏิหาริย์ พระบาทของพระพุทธองค์ยื่นพ้นจากหีบพระศพมารับการสักการะในทันใด พระมหากัสสปะ จึงเข้าไปสัมผัสและนบพระบาทด้วยเศียรเกล้า
..
เมื่อพระมหากัสสปเถระพร้อมด้วยบริวารและมหาชนทั้งหลายถวายนมัสการพระบาทเสร็จแล้ว พระบาททั้งสองก็กลับเข้าไปยังหีบพระศพเช่นเดิม ด้วยอำนาจของเทวดาเพลิงจึงลุกขึ้นไหม้พระพุทธสรีระ
..
จากพุทธประวัติดังกล่าวที่ปรากฏในปฐมสมโพธิกถา จึงสอดคล้องกับประติมากรรมดังกล่าวในวิหารน้อย วัดสรรพยาวัฒนาราม ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเพราะเป็นประติมากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์กรุณาพระมหากัสสปะ ที่พบได้ไม่มากนักในประเทศไทย
..
ซึ่งอายุสมัยของวิหารน้อยและประติมากรรมดังกล่าวอยู่ในศิลปะรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๕