ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 42,946 รายการ
ชื่อเรื่อง มาเลยฺยสูตฺต (มาลัยสูตร) สพ.บ. 412/6ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 54 หน้า : กว้าง 4.6 ซม. ยาว 57.2 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา มาลัยสูตรภาษา บาลี/ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
พัด พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า เครื่องโบกหรือกระพือลม มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน รูปทรงแตกต่างกัน และการนำไปใช้ก็แตกต่างกันด้วยชื่อที่ใช้เรียก เช่น พัดด้ามจิ้ว พัดโบก พัดวิชนี ซึ่งแต่ละชนิดมีรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกันออกไป พัดด้ามจิ้ว พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า ชื่อพัดชนิดหนึ่งที่คลี่ได้พับได้ ด้ามติ้วก็ว่า พัดโบก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า ชื่อเครื่องสูงชนิดหนึ่งสำหรับโบกลมถวายพระมหากษัตริย์ซึ่งประทับ ณ ที่สูง ถือเป็นของสูง พัดวิชนี พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า ชื่อพัดชนิดหนึ่ง มีชื่ออีกว่า วิชนี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ ในการนำไปใช้ในการแสดงนาฏศิลป์โขนละครที่แตกต่างกันอีกด้วย จาก การศึกษาค้นคว้าพบว่าพัดใช้ในการแสดงโขน ละครนอก ละครพันทาง เป็นต้น ๑. พัดด้ามจิ้ว ๑.๑ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับแต่งองค์ทรงเครื่อง ปรากฏในการแสดงโขนตอน ทศกัณฐ์ลงสวน ซึ่งทศกัณฐ์พญายักษ์เจ้ากรุงลงกา เนื้อเรื่องโดยสังเขป กล่าวถึง ทศกัณฐ์เมื่อลักพานางสีดามาได้ก็นำนางมาอยู่ที่สวนขวัญ ภายในกรุงลงกา วันหนึ่งใคร่จะไปหานางสีดา จึงแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ มีผ้าแดงพาดบ่า ถือพัดด้ามจิ้ว มือขวาคล้องพวงมาลัย องอาจผึ่งผาย เสด็จไปยังสวนขวัญที่อยู่ของนางสีดา ดังบทร้องฉุยฉายที่กล่าวไว้ว่า ร้องเพลงฉุยฉาย ฉุยฉายเอย จะไปไหนหน่อยเจ้าก็ลอยชาย เยื้องย่างเจ้าช่างกราย หล่อนมิเคยพบชายนักเลงเจ้าชู้ จะเข้าไปเกี้ยวแม่ทรามสงวน เจ้าช่างกระบวนหนักหนาอยู่ ฉุยฉายเอย จะไปไหนนิดเจ้าก็กรีดกราย เยื้องย่างเจ้าช่างกราย หล่อนมิเคยพบชายนักเลงเก่งแท้ จะเข้าไปเกี้ยวแม่ทรามสงวน เจ้าช่างกระบวนเสียจริงเจียวแม่ ร้องแม่ศรี ยักษีเอย ยักษีโศภน เจ้าช่างแต่งตน เลิศล้นหนักหนา ห้อยไหล่แดงฉาด งามบาดนัยน์ตา ช่างงามสง่า จริงยักษีเอย ยักษีเอย ยักษีทศศีร์ วางท่าจรลี ท่วงทีองอาจ มุ่งใจใฝ่หา สีดานงนาฏ แล้วรีบยุรยาตร เข้าอุทยานเอย ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว – ลา สำหรับความเป็นมาของกระบวนท่ารำซึ่งมีท่าการใช้พัดโบก สะบัดไปมางดงามตามกระบวนท่าโขนยักษ์ มีประวัติโดยสังเขปดังนี้ กระบวนท่ารำนั้นไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้ประดิษฐ์ แต่ปรากฏภาพทศกัณฐ์ทรงเครื่องมีผ้าห้อยบ่าสองข้าง มือขวาถือพัดด้ามจิ้ว และมีพวงมาลัยคล้องที่ข้อมือขวา ซึ่งในครั้งนั้นพระยาพรหมาภิบาล (ทองใบ สุวรรณภารต) เป็นผู้แสดง (ละครฟ้อนรำ ประชุมเรื่องละครฟ้อนรำกับระบำรำเต้น พระนิพนธ์ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ๑.๒ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับแต่งองค์ทรงเครื่อง ปรากฏในการแสดงละครพันทางเรื่องราชาธิราชตอน สมิงพระรามอาสา ซึ่งพระเจ้ากรุงปักกิ่ง (พระเจ้าเส่งโจ๊วฮ่องเต้) ทรงพกพัดด้ามจิ้ว (ขนาดใหญ่) ติดตัวตามรูปแบบของการแสดงนาฏศิลป์จีน และใช้โบกพัด พร้อมทั้งปิดบังความโศกเศร้าเสียใจที่กามนีทหารเอกต้องมาพ่ายแพ้ต่อสมิงพระราม ยังความอับอายเป็นอันมาก เนื้อเรื่องโดยสังเขปกล่าวถึง พระเจ้าเส่งโจ๊วฮ่องเต้ แห่งกรุงจีน มีทหารเอกคนหนึ่งชื่อว่ากามนี เป็นผู้ที่มีฝีมือในการขี่ม้าแทงทวนสันทัดมาก พระองค์ประสงค์จะทอดพระเนตรบรรดาทหารจากเมืองต่าง ๆ ขี่ม้าแทงทวนสู้กับกามนีตัวต่อตัว แต่ก็ยังหาเมืองใดที่จะมีทแกล้วทหารที่สามารถสู้กับกามนีได้ เห็นจะมีทหารที่สู้ได้อยู่แต่กรุงอังวะกับกรุงหงสาวดี ดังนั้น พระเจ้ากรุงจีนจึงให้โจเปียว ทหารเอกอีกผู้หนึ่งอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องบรรณาการมาถวายพระเจ้าอังวะ ในพระราชสาส์นนั้น มีใจความอยู่ ๒ ประการ ประการหนึ่ง มีความประสงค์ให้พระเจ้าอังวะยอมอยู่ในอำนาจและออกมาถวายบังคม อีกประการหนึ่ง จะใคร่ทอดพระเนตรทหารขี่ม้ารำทวนสู้กัน โดยมีข้อสัญญาว่า ถ้าฝ่ายอังวะแพ้ต้องยอมถวายเมือง หากชนะทางฝ่ายจีนก็จะเลิกทัพกลับไป ครั้นพระเจ้าอังวะทรงแจ้งในพระราชสาส์นแล้ว จึงให้ตีฆ้องร้องป่าวหาผู้รับอาสา สมิงพระรามทหารแห่งกรุงหงสาวดี ซึ่งขณะนั้นเป็นอาชญากรสงครามอยู่ ณ กรุงอังวะ เมื่อได้ยินป่าวร้องดังนั้น จึงคิดว่าถ้าพระเจ้ากรุงจีนได้เมืองอังวะแล้ว ก็คงไม่สิ้นความปรารถนา ต้องยกล่วงเลยไปตีกรุงหงสาวดีด้วย จึงขอรับอาสาสู้กามนี เมื่อถึงกำหนดวันประลอง ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงฝีมือร่ายรำเพลงทวนกันอย่างสวยงามคล่องแคล่วว่องไว ฝ่ายหนึ่งรำฝ่ายหนึ่งตาม ผลัดเปลี่ยนกันอยู่หลายสิบเพลง สมิงพระรามจึงแกล้งทำอุบาย ร่ายรำยกแขน ก้มศีรษะโดยหวังจะดูช่องเกราะของกามนี ที่จะสอดทวนเข้าไปแทงได้กามนีไม่รู้เท่าก็รำทำท่ายกแขน ก้มศีรษะตาม สมิงพระรามเห็นได้ที จึงสอดทวนแทงเข้าช่องใต้รักแร้ และเอาดาบฟันลงที่ท้ายทอย ตัดศีรษะกามนีได้ บรรดาทหารจีนทั้งหลายเห็นพระเจ้ากรุงจีนเสียพระทัยมาก และเกรงว่าจะเป็นที่อัปยศแก่พม่า จึงรับอาสาจะตีกรุงอังวะมาถวาย แต่พระเจ้ากรุงจีนทรงห้ามไว้ และทรงทำตามคำมั่นสัญญา โดยสั่งเลิกทัพเสด็จกลับยังกรุงจีน ดังบทร้องแห่งความโศกเศร้าที่กล่าวไว้ว่า - ร้องเพลงจีนหลวง - เมื่อนั้น เจ้ากรุงจีน มัวหมอง ไม่ผ่องใส สุดแสน อัประยศ สลดใจ คิดอาลัย ทหาร ชาญสงคราม จึงตรัสสั่ง เสนา ว่าบัดนี้ กามนี วายวาง กลางสนาม ต่อหีบ ให้สมยศ งดงาม ใส่ไปฝัง เสียตาม ประเพณี กระดาษต่อ ทำต่าง อย่างศีรษะ เสร็จแล้วจะ ยกทัพ กลับกรุงศรี จงเตรียมพร้อม พหล พลโยธี รุ่งพรุ่งนี้ ยกกลับ ไปฉับพลัน บัดนั้น เสนานาย ฝ่ายพหล พลขันธ์ รับโองการ กราบก้ม บังคมคัล ไปจัดสรร เสร็จสิ้น ตามบัญชา ขณะที่พระเจ้ากรุงจีนแสดงท่าทางก็จะใช้พัดปิดบังใบหน้าด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ในบทที่กล่าวถึงความมัวหมองไม่ผ่องใส สุดแสน อัปยศ สลดใจ คิดอาลัย ทหาร ชาญสงคราม และเมื่อเดินเข้าเวทีก็ยังใช้พัดปิดบังใบหน้าบ้างบางช่วง แสดงถึงความโศกเศร้าสลดใจ ๒. พัดโบก ๒.๑ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประกอบขบวนพระเกียรติยศ ปรากฏในการแสดงโขนตอนพรหมาสตร์ พระอินทร์แปลง ยกขบวนพระเกียรติยศพร้อมเครื่องสูง และเทวดา นางฟ้า เนื้อเรื่องโดยสังเขปกล่าวถึง ทศกัณฐ์รับสั่งให้แสงอาทิตย์ หลานชายผู้เรืองฤทธิ์ด้วยแว่นวิเศษ กับพิจิตรไพรีพี่เลี้ยง ออกรบ กับพระรามเพื่อขัดตาทัพ ขณะที่อินทรชิต โอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ ตั้งพิธีชุบศรพรหมาสตร์ ซึ่งพระอิศวรประทานให้ ณ เชิงเขาจักรวาล เพื่อใช้สังหารข้าศึกให้หมดสิ้นไป เมื่อแสงอาทิตย์และพิจิตรไพรี ถูกพระราม พระลักษมณ์ฆ่าตาย ทศกัณฐ์ใช้ให้กาลสูรไปทูลให้อินทรชิตทราบข่าวและมีรับสั่งให้ยกทัพไปสู้กับข้าศึกโดยเร็ว อินทรชิตพิโรธกาลสูรที่ทูลถึงความพ่ายแพ้เป็นลางกลางพิธี แต่ด้วยพระราชกระแสรับสั่ง จึงงดโทษและตรัสสั่งให้รุทการจัดเตรียมกองทัพ โดยให้ไพร่พลแปลงเป็นคนธรรพ์ เทวดา นางฟ้า และนักสิทธิ์ การุณราชแปลงเป็นช้างเอราวัณ แล้วตนเองแปลงเป็นพระอินทร์ ยกกองทัพไปล่อลวงพระลักษมณ์และพลวานรให้หลงเชื่อว่าเป็นกองทัพพระอินทร์ อินทรชิตแผลงศรพรหมาสตร์ถูกพระลักษมณ์และพลวานรสลบลง เหลือแต่หนุมานผู้เดียวเหาะขึ้นไปหักคอช้างเอราวัณ ถูกตีด้วยคันศรตกลงมาสลบเช่นกัน อินทรชิตจึงยกทัพกลับเข้ากรุงลงกาด้วยความมีชัย ดังบทร้องที่กล่าวว่า - ร้องเพลงกราวนอก - ขึ้นทรง คอคชา เอราวัณ ทหารแห่ โห่สนั่น หวั่นไหว ขยายยก โยธา คลาไคล ลอยคว้าง มาใน โพยมมาน - ร้องเพลงทะแยกลองโยน - ช้างนิมิต เหมือนไม่ผิดช้างมัฆวาน เริงแรงกำแหงหาญ ชาญศึกสู้รู้ท่วงที ผูกเครื่องเรืองทองทอ กระวินทองหล่อทอแสงศรี ห้อยหูพู่จามรี ปกกระพองทองพรรณราย เครื่องสูงเรียงสามแถว ลายกาบแก้วแสงแพรวพราย อภิรุมสับชุมสาย บังแทรกอยู่เป็นคู่เคียง กลองชนะประโคมครึก มโหรทึกกึกก้องเสียง แตรสังข์ส่งสำเนียง นางจำเรียงเคียงช้างทรง สาวสุรางค์นางรำฟ้อน ดังกินนรแน่งนวลหงส์ นักสิทธิ์ฤทธิรงค์ ถือทวนธงลิ่วลอยมา ขบวนของพระอินทร์แปลงประกอบด้วยเครื่องสูงครบถ้วน ๒.๒ เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ปรากฏในการแสดงละครพันทางเรื่องพญาผานอง ซึ่งพระวรุณเทพเจ้าทรงถือพัดโบกในการประทานฝนให้กับนางพญาคำปิน เนื้อเรื่องโดยสังเขปกล่าวถึง นางพญาคำปินครองเมืองวรนครแทนพญาเก้าเกื่อนพระราชสามี ซึ่งเสด็จไปครองเมืองภูคา ขณะนั้นนางพญาคำปินทรงพระครรภ์อยู่ พญางำเมืองเจ้าเมืองพะเยายกกองทัพเข้ายึดเมืองวรนครไว้ได้ นางพญาคำปินเป็นห่วงบุตรในครรภ์ จึงหลบหนีออกจากวรนครได้ทัน ก่อนที่ พญางำเมืองจะจับตัวได้พร้อมทั้งนางข้าหลวงคนสนิท นางพญาคำปินได้ประสูติพระกุมารอยู่ ณ กระท่อมร้างกลางไร่ชายเมืองวรนคร นางเฝ้าระทมทุกข์สงสารพระกุมารยิ่งนัก จึงเสี่ยงสัตย์อธิษฐานหากพระกุมารมีบุญญาธิการจะได้ครอบครองบ้านเมืองต่อไป ขอให้มีฝนตกลงมาเพื่อขจัดความแห้งแล้ง พระวรุณเทพเจ้าก็ทรงบันดาลให้ฝนตกจนน้ำเต็มหนองและไหลเชี่ยวพัดพาเอาก้อนหินมากองอยู่หน้ากระท่อม ดังบทร้องที่กล่าวว่า - ร้องเพลงลาวพุงขาว- เมื่อนั้น พระวรุณ อุทกราช เป็นใหญ่ ประทับเหนือ เทพอาสน์ อำไพ ภูวไนย ทอดพระเนตร นางพญา ร่ายรำ ขอน้ำ จากสวรรค์ ทรงธรรม์ โปรดประสาท ดังปรารถนา บัดดล น้ำทิพย์ ธารา หลั่งลง พสุธา ทันที - ปี่พาทย์ทำเพลงรัวสามลา - (พระวรุณรำเพลงหน้าพาทย์ โบกพัดไปมา พร้อมควงบ่วงบาศ จนฝนตก) ๓. พัดวิชนี ๓.๑ เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องประกอบพระเกียรติยศ ปรากฏในการแสดงโขนและละคร ทั้งในกรุงศรีอยุธยาเมืองของพระราม กรุงลงกาเมืองของทศกัณฐ์ และท้องพระโรงเมืองต่างๆในละคร โดยนางพระกำนัลจะนั่งถือพัดวิชนีอยู่ข้างเตียงด้านขวา และนางพระกำนัลที่ถือแส้จะนั่งอยู่ข้างเตียงด้านซ้าย ทำหน้าที่โบกสะบัดสลับไปมาอย่างช้าๆ ๓.๒ เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องใช้ของพระลอ ในการแสดงละครพันทางเรื่องพระลอตอน พระลอเสี่ยงน้ำ ซึ่งพระลอจะใช้ในระหว่างที่โศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้ โดยนำพัดวิชนีมาปิดบังใบหน้า สะอึกสะอื้น เมื่อเห็นแม่น้ำกาหลงเป็นสีเลือด และรู้ว่าอาจจะไม่ได้กลับมาที่เมืองแมนสรวงอีกเลย เนื้อเรื่องโดยสังเขปกล่าวถึง พระลอหลังจากต้องมนต์ของปู่เจ้า ก็ไม่สามารถทนทานได้ เกิดความคลั่งไคล้เพ้อหาแต่พระเพื่อนพระแพง กระวนกระวายต้องการที่จะเดินทางไปหา ทั้งพระราชมารดาและพระมเหสีจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง พระนางบุญเหลือจึงจำต้องให้เสด็จไป เพื่อพาพระเพื่อนพระแพงมายังเมืองสรอง พอเสด็จมาถึงแม่น้ำกาหลง พระลอเกิดลังเลใจ ทั้งห่วงพระราชมารดา บ้านเมือง และห่วงหาในสองพระราชธิดา พระองค์จึงทรงอธิษฐานทำพิธีเสี่ยงน้ำ เพื่อช่วยในการตัดสินพระทัย ดังบทร้องที่กล่าวว่า - เกริ่น - พอวางพระโอษฐ์น้ำ ไหลวนคล่ำควะคว้าง เห็นแดงดังสีเลือดฉาด น่าอนาถสยดสยองโลมา เสียวหัทยาพระลอราช พระบาทธท่าวร้าวกมล เหมือนไม้สนสิบอ้อมสะบั้น ทับอุระพระลออั้น สะอื้นอาดูรแดเอย -ปี่พาทย์ทำเพลงโอดลาว- (พระลอโศกเศร้าเสียใจ สะอึกสะอื้น นำพัดวิชนีมาปิดบังใบหน้า) พัดเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดงที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง ทั้งยังใช้ในการประกอบลีลาท่ารำให้งดงามขึ้น การโบกสะบัด และการคลี่พัดตามจังหวะถือเป็นกลวิธีในการร่ายรำ นอกจากนี้ยังแสดงถึงความอลังการในการประกอบขบวนพระเกียรติยศทำให้การแสดงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นภาพประกอบภาพที่ ๑ พระยาพรหมาภิบาล (ทองใบ สุวรรณภารต) ในชุด ทศกัณฐ์ลงสวน ที่มาภาพ : ประชุมเรื่องละครฟ้อนรำกับระบำรำเต้น พระนิพนธ์ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพภาพที่ ๒ พระเจ้ากรุงปักกิ่ง (พระเจ้าเส่งโจ๊วฮ่องเต้) ทรงพกพัดด้ามจิ้ว ที่มาภาพ : สูจิบัตรละครเรื่องราชาธิราชตอนสมิงพระรามอาสาภาพที่ ๓ เครื่องประกอบขบวนพระเกียรติยศ ปรากฏในการแสดงโขนตอนพรหมาสตร์ ที่มาภาพ : กลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต สำนักการสังคีต กรมศิลปากรภาพที่ ๔ พระวรุณเทพเจ้าทรงถือพัดโบกในการประทานฝนให้กับนางพญาคำปิน ที่มาภาพ : หนังสือศิลปะ ศิลปิน ศิลปากร พุทธศักราช ๒๕๕๗ , นางพญาคำปินขอฝนภาพที่ ๕ พหลวิชัยถือพัด จากละคร เรื่อง คาวี ที่มาภาพ : สำนักการสังคีต กรมศิลปากรภาพที่ ๖ นางกำนัลถือพัด ในการแสดงละคร เรื่อง แก้วหน้าม้า ที่มาภาพ : สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์---------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นายไพโรจน์ ทองคำสุก นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ สำนักการสังคีต---------------------------------------------------------บรรณานุกรม กรมศิลปากร, ทะเบียนข้อมูล : วิพิธทัศนา ชุดระบำ รำ เต้น เล่ม ๓, กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง,๒๕๕๑. กรมศิลปากร, ศิลปะ ศิลปิน ศิลปากร พุทธศักราช ๒๕๕๗, นนทบุรี : ไทภูมิ พับลิชชิ่ง ,๒๕๕๗. กรมศิลปากร, สูจิบัตรละครเรื่องราชาธิราชตอนสมิงพระรามอาสา, กรุงเทพฯ : พระจันทร์,๒๔๙๕. กรมศิลปากร, สูจิบัตรละครเรื่องพระลอ, กรุงเทพฯ : พระจันทร์, ๒๔๙๑. กรมศิลปากร, สูจิบัตรบทละครเรื่องราชาธิราชตอนสมิงพระรามอาสา, กรุงเทพฯ : พระจันทร์,๒๔๙๕. ดำรงราชานุภาพ สมเด็จฯกรมพระยา, ละครฟ้อนรำ(ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ), พิฆเณศ, ๒๕๔๖.
กระเบื้องเชิงชาย คือ กระเบื้องแผ่นปลายสุดของชายคา เป็นองค์ประกอบสำคัญของเครื่องมุงหลังคาสถาปัตยกรรมโบราณ ใช้ประดับเรียงรายโดยอุดชายคากระเบื้องลอน เพื่อให้เกิดความงามของแนวชายคา ป้องกันฝนสาดเข้าไปตามช่องของลอนกระเบื้องมุง รวมทั้งป้องกันสัตว์ไม่ให้เข้าไปทำรังและทำลายโครงสร้างภายในอาคารได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กระเบื้องหน้าอุด กระเบื้องเชิงชายโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วหรือสามเหลี่ยมด้านเท่า มีเดือยออกทางด้านหลังเพื่อเสียบเข้าไปในลอนกระเบื้องมุง ทำด้วยดินเผา สันนิษฐานว่าช่างโบราณเลือกเทคนิคการทำด้วยวิธีการพิมพ์จากแบบ ซึ่งลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายเป็นลายนูนต่ำ ตัวลายมีความกลมมน ละเว้นรายละเอียดที่มากเกินไป เพราะสะดวกต่อการถอดพิมพ์ นอกจากนี้การทำลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายที่จะประดับบนหลังคาเดียวกันให้เหมือนและเท่ากันนั้นยากด้วยวิธีการปั้นแบบอิสระ สิ่งก่อสร้างในสมัยอยุธยาที่ใช้กระเบื้องเชิงชายสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ได้ ๒ ประเภท คือ ประเภทศาสนสถาน ได้แก่ อุโบสถ วิหาร กุฏิ ซุ้มประตู และประเภทที่อยู่อาศัย ได้แก่ พระมหาปราสาท พระที่นั่ง ตำหนัก ซึ่งกระเบื้องเชิงชายใช้กับอาคารของชนชั้นสูง สอดคล้องกับการตกแต่งลวดลายบนกระเบื้องเชิงชายด้วยรูปภาพที่มีความหมายทางประติมานวิทยา เช่น รูปเทพนม รูปดอกบัว ทำให้สันนิษฐานได้ว่ากระเบื้องเชิงชายแต่ละชิ้นน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของวิมานที่สถิตของเทวดา เป็นการส่งเสริมความสำคัญของอาคารนั้น ๆ และแสดงฐานะของผู้ใช้อาคารให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลวดลายที่ปรากฏบนกระเบื้องเชิงชาย ได้แก่ ลายดอกบัว ลายเทพนม ลายหน้ากาล ลายพันธุ์พฤกษา ลายครุฑยุดนาค จากการสำรวจกระเบื้องเชิงชายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร พบกระเบื้องเชิงชายลวดลายดอกบัว โดยดอกบัวเป็นเครื่องหมายของความบริสุทธิ์ ความสมบูรณ์ ในพุทธศาสนาใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการกำเนิดขององค์พระศาสดา ดังความในพระไตรปิฎกว่า “...สีเส ปฐวิ โปกขเร อภิเลเก สพพพุทธานํ...” หมายความว่า แผ่นดินคือดอกบัว เป็นที่อุบัติตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น จึงนิยมสร้างงานศิลปกรรมเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับอยู่เหนือดอกบัว ต่อมาลายดอกบัวได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นลายลายกระหนก ลายเทพนมที่ตกแต่งบนกระเบื้องเชิงชายเป็นภาพเทวดาครึ่งตัวประนมมือเสมอพระอุระอยู่เหนือดอกบัว เป็นลวดลายที่พบในงานศิลปกรรมไทยทั่วไป เช่น ในงานจิตรกรรม ลายพุ่มหน้าบิณฑ์เทพนม ลายก้านขดเทพนม ลายเทพนมบนเครื่องถ้วยเบญจรงค์ ในงานประติมากรรม พบที่กระเบื้องเชิงชาย หน้าบัน บันแถลงประตูหน้าต่างของโบสถ์หรือวิหาร เป็นต้น ซึ่งกระเบื้องเชิงชายที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๓ --------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet National Museum https://www.facebook.com/kamphaengphetnationalmuseum/posts/3796695317123532 -------------------------------------------------------บรรณานุกรม - ประทีป เพ็งตะโก. “กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๔๐. - วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๕๙. - สันติ เล็กสุขุม. งานช่าง คำช่างโบราณ. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๗.
โตกหรือขันโตกโตก สะโตก หรือขันโตก เป็นภาชนะใส่อาหารหรือใส่ของ ทำด้วยไม้ รูปร่างคล้ายถาด มีขาสูงโดยรอบ นิยมทารักสีดำ หรือทาชาดสีแดง ในภาคกลางเรียก กระบะหรือสำรับอาหารของภาคกลาง ภาคอีสานเรียก พาข้าว โตกนั้นมีขนาดแตกต่างกัน ๓ ขนาด ได้แก่ ๑. โตกหลวงหรือสะโตก มีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๓ - ๒๕ นิ้ว ใช้ในพระราชสำนักหรือใช้กับเจ้านายฝ่ายเหนือ ๒. โตกฮามหรือโตกหะราม มีขนาดกลาง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๗ - ๒๔ นิ้ว ฮามหรือหะรามเป็นคำภาษาโบราณที่ใช้เรียกขันโตกของรองเจ้าอาวาสวัดหรือบ้านคหบดี หรือครอบครัวใหญ่ ๓. โตกน้อยหรือสะโตกหน่อย มีขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐ - ๑๕ นิ้ว ใช้ในครอบครัวเล็ก หรือพระภิกษุที่แยกฉันองค์เดียวภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่. ภาพชุด การประกวดภาพเก่าเกี่ยวกับจังหวัดลำพูน (เจ้าของภาพ นายบัญญัติ สุขสัก)อ้างอิง๑. มณี พยอมยงค์. ๒๕๔๖. สารพจนานุกรมล้านนา. เชียงใหม่: ดาวคอมพิวกราฟิก.๒. พิชชา ทองขลิบ. ๒๕๖๔. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (Online). https://www.sac.or.th/.../trad.../th/equipment-detail.php.... สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๔.
พฺรยาสุนนฺทราช (พฺรยาสุนนฺทราช)
ชบ.บ.67/1-1จ
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-นครกัณฑ์)
สพ.บ. 415/12ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 28 หน้า กว้าง 4.33 ซม. ยาว 55.3 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา เทศน์มหาชาติ ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.288/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4 x 51.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 121 (258-265) ผูก 4 (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์(8หมื่น) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๕วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ณ สังคีตศาลา บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครเวลา ๑๗.๓๐ – ๑๙.๓๐ น. การบรรเลงขับร้องดนตรีสากลโดย มูลนิธิสุนทราภรณ์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีบัตรราคา ๒๐ บาท (จำหน่ายบัตรก่อนเข้าชมการแสดง ๑ ชั่วโมง)สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐๒๒๒๑ ๐๑๗๑การจัดการแสดงอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโรคตามแผนมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและมาตรการที่ทางราชการกำหนด
กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำหนดจัด การเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “เล่าเรื่องของเล่น ของสะสม (ของจิ๋ว) เจ้านายในราชสำนัก” ในวันศุกร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ผู้สนใจลงทะเบียนสำรองที่นั่ง (จำนวนจำกัด ๔๐ คน) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓ และ ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ หรือชมผ่าน Facebook Live: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้ปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการถาวรภายในพระตำหนักแดงในหัวข้อเรื่องวิถีชีวิตของเด็กไทย และเปิดให้บริการประชาชนอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีส่วนจัดแสดงชุดเครื่องเล่น เครื่องเรือน และของใช้จำลอง ของพระบรมวงศานุวงศ์และเจ้านายในราชสำนัก ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมค่อนข้างมาก ทั้งรูปแบบ ขนาด วิธีทำ และผู้เป็นเจ้าของ จึงได้จัดการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “เล่าเรื่องของเล่น ของสะสม (ของจิ๋ว) เจ้านายในราชสำนัก” เพื่อเผยแพร่ความรู้บางมุมมองของวิทยากรและทายาทผู้เป็นเจ้าของ ประกอบด้วย การบรรยาย เรื่อง ขนบธรรมเนียมการสะสมของเล่น (ของจิ๋ว) เจ้านายในราชสำนัก วิทยากรโดย ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ การบรรยาย เรื่อง เล่าเรื่องของสะสม ของเล่น (ของจิ๋ว) ของคุณยายในวัง (เจ้าจอมเลียม ในรัชกาลที่ ๕) วิทยากรโดย ทันตแพทย์หญิง พิมสวาท วัฒนศิริโรจน์ ดำเนินรายการโดยนายยุทธนาวรากร แสงอร่าม ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ปัจจุบันพระตำหนักแดง จัดแสดงของสะสมส่วนตัวและผลงานประดิษฐ์ของเจ้าจอมเลียมในพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยของชิ้นเด่นที่น่าสนใจของเจ้าจอมเลียมคือ “บ้านตุ๊กตา” ซึ่งเป็นของที่ทำขึ้นในช่วงรัชกาลที่ ๗ เนื่องจากมีการตกแต่งด้วยรูปพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและ พระราชินี สำหรับบ้านตุ๊กตาของเจ้าจอมเลียม เป็นเสมือนการจำลองการตกแต่งบ้านอย่างตะวันตก การออกแบบบ้านทำเป็นอาคารขนาดสามชั้นและมีบันไดอยู่ภายในบ้าน แตกต่างจากบ้านเรือนไทยแบบจารีต ที่มักจะทำเป็นบ้านยกใต้ถุนสูง ทำห้องน้ำ ห้องครัว รวมถึงบันไดแยกอยู่นอกเรือน อย่างไรก็ตาม ข้าวของเครื่องใช้แบบไทยยังมีปรากฏรวมอยู่ด้วย เช่น โอ่งเคลือบเขียว กระต่ายขูดมะพร้าว และภาชนะเครื่องจักสาน ดังนั้นบ้านตุ๊กตาจึงเป็นเสมือนการเปลี่ยนผ่านของแบบแผนการสร้างที่อยู่อาศัยในสังคมไทย จากแบบจารีตสู่แบบสมัยใหม่ที่รับอิทธิพลตะวันตก ผู้สนใจร่วมการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง “เล่าเรื่องของเล่น ของสะสม (ของจิ๋ว) เจ้านายในราชสำนัก” ในวันศุกร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ลงทะเบียนสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓ และ ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ หรือชมผ่าน Facebook Live: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
องค์ความรู้จากสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่เรื่อง "เมืองเชียงรายจากหลักฐานทางโบราณคดี ตอนที่ 2 : หลักฐานใหม่จากการขุดค้นทางโบราณคดีเมืองเชียงราย"เรียบเรียงโดย : นางสาวนงไฉน ทะรักษา. ปี พ.ศ.2560 มณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราชได้แจ้งมายังสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ว่า พบโบราณวัตถุในบริเวณที่จะดำเนินการก่อสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ในพื้นที่ค่ายฯ จึงขออนุเคราะห์เจ้าหน้าที่ เพื่อตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ จึงได้มีโอกาสดำเนินการทางโบราณคดี. สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ดำเนินการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดีโบราณสถานดอยเจดีย์ และสำรวจทางโบราณคดีในพื้นที่ค่ายฯ ทั้งหมด ผลจากการศึกษาทางโบราณคดีเบื้องต้นพบแหล่งโบราณคดี ทั้งประเภทที่เป็นศาสนสถานและแหล่งที่อยู่อาศัย. โดยพื้นที่บนเขาเป็นที่ตั้งของศาสนสถาน ทั้งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาและกลางเนินเขา ซึ่งนอกจากจะเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเป็นทำเลที่สามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบได้ ใช้สังเกตการณ์ได้เป็นอย่างดี ส่วนพื้นที่ราบเป็นพื้นที่ชุมชนหรือที่อยู่อาศัย ซึ่งพบหลักฐานทางโบราณคดีอย่างหนาแน่นในบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกกองร้อยของค่ายฯ เช่น กล้องยาสูบดินเผา ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนเครื่องเคลือบทั้งจากเตาในล้านนาและจากแหล่งเตาในประเทศจีน นอกจากนั้น ยังมีบริเวณที่ใกล้กับแหล่งน้ำธรรมชาติ เหมาะสมแก่การอยู่อาศัย พบหลักฐานทางโบราณคดีบนผิวดินเป็นสิ่งของเครื่องใช้ ประเภทภาชนะแบบเคลือบสีเขียว ได้แก่ ฝากระติก และผางประทีป จากแหล่งเตาวังเหนือ ไห กระปุก และพาน จากแหล่งเตาพาน แสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณนั้น คงเป็นผู้มีฐานะสูงหรือมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เนื่องจากคนทั่วไปจะใช้ภาชนะดินเผาเนื้อดินที่พบโดยทั่วไปมากกกว่า. โบราณสถานที่พบภายในมณฑลทหารบกที่ 37 เกือบทั้งหมดก่อสร้างด้วยอิฐ ยกเว้นเพียงแห่งเดียว ที่ใช้ศิลาแลงก่อ ซึ่งปัจจุบันสำรวจพบแหล่งตัดศิลาแลงที่บ้านป่าอ้อดอนไชย แต่ยังไม่มีการศึกษาถึงขนาดของแหล่งฯ ว่ามีความสามารถในการผลิตมากน้อยเท่าไหร่ อาจเป็นไปได้ว่ามีแหล่งตัดศิลาแลงในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมากกว่าหนึ่งแห่ง เนื่องจากมีโบราณสถานหลายแห่งในเมืองเชียงแสน และโบราณสถานในอำเภอเทิงที่ใช้ศิลาแลงในการก่อสร้าง เป็นองค์ประกอบของส่วนฐานและเสา. โบราณวัตถุที่พบจากการสำรวจและขุดศึกษาภายในค่ายเม็งรายมหาราช ทั้งชิ้นส่วนภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาพานและเตาเวียงกาหลง ชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินควอร์ตซ์ รูปแบบเจดีย์แปดเหลี่ยม และรูปแบบของพระพุทธรูปที่ถูกกล่าวอ้างว่าค้นพบบนโบราณสถานดอยเจดีย์ สามารถกำหนดอายุโดยการเปรียบเทียบรูปแบบศิลปะได้ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 – พุทธศตวรรษที่ 21 รวมทั้ง ค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ของอิฐที่ได้จากการขุดแต่งโบราณสถานดอยเจดีย์ โดยวิธีเรืองแสงความร้อน (TL) ได้ค่าอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21. ในห้วงเวลานี้ เป็นช่วงที่เมืองเชียงรายถูกปกครองด้วยขุนนาง แต่ก็ยังคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เนื่องจากเราพบการกล่าวถึงเมืองเชียงราย ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ตามเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่างๆของล้านนา. เป็นที่น่าสังเกตว่า โบราณวัตถุที่พบมีความหลากหลายของวัสดุที่ใช้ผลิตค่อนข้างมาก ทั้งชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินควอร์ตซ์ เครื่องมือหินกะเทาะ เครื่องมือเครื่องใช้สำริด แสดงให้เห็นว่ามีการใช้เครื่องมือเครื่องใช้ที่หลากหลายในช่วงสมัยเดียวกัน ไม่ได้มีการแบ่งเครื่องมือเครื่องใช้จากวัสดุที่ใช้ผลิตตามเกณฑ์การแบ่งอายุสมัยตามแบบแผน. ข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการนี้ ก่อให้เกิดองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ไม่เฉพาะในพื้นที่ค่ายฯ เท่านั้น แต่เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าพื้นที่เทศบาลนครเชียงรายในปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของเมืองโบราณเชียงรายที่สร้างขึ้นอย่างน้อยตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย ตลอดจนเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สามารถยืนยันอายุของเมืองเชียงรายได้ในเบื้องต้น และถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการอยู่อาศัยในพื้นที่เมืองเชียงรายได้ดีที่สุด- เอกสารอ้งอิง -กองโบราณคดี. โบราณคดีเชียงราย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2533.บวรเวท รุ่งรุจีและคณะ, โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคเหนือ). ม.ป.ท., 2529.สุภาพร นาคบัลลังก์ บรรณาธิการ. จากยุคน้ำแข็งไพลสโตซีนสู่สมัยล้านนา. เชียงใหม่ : โครงการจัดตั้งศูนย์โบราณคดีภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2550.สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่. นามานุกรมแหล่งมรดกวัฒนธรรมในพื้นที่ล้านนาตะวันตก. เชียงใหม่ : เชียงใหม่สแกนเนอร์, 2560.อภิชิต ศิริชัย. รู้เรื่องเมืองเชียงราย. เชียงราย : สำนักพิมพ์ล้อล้านนา, 2559.- เอกสารนำเสนอ -ปริวรรต ธรรมาปรีชากร. เอกสารประกอบการอบรมเครื่องปั้นดินเผาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. 2558.- บุคคล -ดร.ฐานนท์ จิตเขม้น นักโบราณคดีอิสระ (เฉพาะทางเทคโนโลยีเครื่องมือหิน Lithic Technology)