ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

#เรื่องมีอยู่ว่า.... ตอน #onedaytripราชบุรี#ศาลหลักเมืองราชบุรีที่อยู่ : ค่ายภาณุรังษี ตำบลพงสวาย อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรีเวลาเปิด : 8.00 – 18.00 น.ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้าศาลหลักเมืองราชบุรี เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คู่บ้านคู่เมืองราชบุรี สร้างขึ้นในปี 2360 สมัยรัชกาลที่ 2 ภายในศาลหลักเมืองประกอบด้วย เสาหลักเมือง, เจว็ด, พระพิฆเนศ ประชาชนทั่วไปสามารถสักการะ และไหว้ขอพรหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในศาลหลักเมือง และเดินชมประตูและกำแพงเมืองที่สร้างร่วมสมัยกับเสาหลักเมืองในบริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย นอกจากไหว้เจ้าพ่อหลักเมืองแล้วยังมีการปล่อยปลายี่สกลงสู่แม่น้ำแม่กลอง ซึ่งทางค่ายภาณุรังษีได้จัดเตรียมลูกปลาสำหรับจำหน่าย พร้อมรถกอล์ฟให้บริการในการไปปล่อยปลา#วัดมหาธาตุวรวิหารราชบุรีที่อยู่ : ถนนเขางู ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรีเวลาเปิด : 08.00 – 18.00 น.ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้าวัดมหาธาตุหรือเดิมเรียกว่า วัดหน้าพระธาตุ เป็นพระอารามหลวง และเป็นวัดเก่าแก่สำคัญของเมืองราชบุรี ภายในวัดมีพระปรางค์ประธาน และพระปรางค์บริวาร 3 องค์บนฐานเดียวกัน และด้านหน้าพระปรางค์จะมีวิหาร จำนวน 5 หลัง โดยวิหารหลวงมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่สององค์ คือ พระมงคลบุรี พระศรีนัคร์ และวิหารจำนวน 4 หลังที่เหลือก็จะมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งหัน พระปฤษฎางค์ชนกันหรือนั่งหันหลังชนกัน ส่วนของระเบียงคดมีพระพุทธรูปที่หลากหลายทางศิลปะ ทั้งศิลปะทวารวดี เขมร อยุธยา และรัตนโกสินทร์#เขาแก่นจันทน์ที่อยู่ : ริมถนนเพชรเกษม ห่างจากตัวเมืองราชบุรี ประมาณ 2 กิโลเมตรเวลาเปิด : 07.00 – 18.00 น.ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้าเขาแก่นจันทน์ มีความสูงประมาณ 141 เมตร มีถนนตัดขึ้นไปถึงยอดเขา บนยอดมีวิหารประดิษฐานพระพุทธนิโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือที่เรียกว่า พระสี่มุมเมือง เป็นพระ 1 ใน 4 องค์ที่รัชกาลที่ 9 พระราชทานให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ จังหวัดต่าง ๆ ทั้งสี่ทิศได้แก่ ทิศเหนือที่จังหวัดลำปาง ทิศใต้ที่จังหวัดพัทลุง ทิศตะวันออกที่จังหวัดสระบุรี และทิศตะวันตกที่จังหวัดราชบุรี  ด้านบนยอดเขาสามารถชมวิวทิวทัศน์เมืองราชบุรีได้รอบทิศทาง และบริเวณเชิงเขาเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ที่ชาวราชบุรีได้สร้างในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี และสร้างเป็นสวนสาธารณะจักรีอนุสรณ์สถาน#อุทยานหินเขางูที่อยู่ : ตำบลเกาะพลับพลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีเวลาเปิด : 9.00 – 17.00 น.ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้าเขางูเป็นศาสนสถานสำคัญสมัยทวารวดีพบหลักฐานพระพุทธรูปสลักภายในถ้ำ 4 แห่ง ได้แก่1. ถ้ำฤๅษี ภายในถ้ำพบพระพุทธรูปสลักจากหินประทับนั่งห้อยพระบาท2. ถ้ำจีน ภายในถ้ำพบพระพุทธรูปปูนปั้นประดับอยู่บนผนังสององค์3. ถ้ำจาม ภายในถ้ำพบภาพสลักบนผนังทุกด้าน ได้แก่ ด้านทิศเหนือเป็นภาพสลักตอนยมกปาฏิหาริย์ ด้านทิศใต้และตะวันออกเป็นภาพบุคคลขี่คอกัน และด้านทิศตะวันตกเป็นภาพพระพุทธรูปปางไสยาสน์4. ถ้ำฝาโถ ภายในถ้ำพบภาพสลักพระพุทธปางไสยาสน์ขนาดใหญ่มีประภามณฑลหลังพระเศียรนอกจากศาสนสถานภายในถ้ำแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ได้แก่ สวนสาธารณะที่มีลักษณะเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ มีสะพานแขวนและทางเดินเลียบริมน้ำ พร้อมทั้งมีเรือเป็ดให้บริการ#กาดวิถีชุมชนคูบัวที่อยู่ : วัดโขลงสุวรรณคีรี ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เวลาเปิด : 09.00 น. – 20.00 น. ทุกวันเสาร์ – วันอาทิตย์ค่าเข้า : ไม่เสียค่าเข้ากาดวิถีชุมชนคูบัวเป็นตลาดนัดของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน จำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ได้แก่ ผ้าจกคูบัว อาหารพื้นบ้าน ขนมหวานพื้นถิ่น และของฝากจากชุมชน ในช่วงเวลา 17.00 น. – 19.00 น. มีการแสดงศิลปะพื้นบ้านของชาวไทยวนให้รับชมร่วมกับการรับประทานอาหารบนขันโตก นอกจากนั้นภายในพื้นที่วัดโขลงสุวรรณคีรีสามารถเข้ากราบสักการะพระพุทธสิริสุวรรณภูมิ ชมโบราณสถานสมัยทวารวดี และพิพิธภัณฑ์จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว ที่แสดงเรื่องราวและสิ่งของเครื่องใช้ของชาวไทยวนเรียบเรียงและศิลปกรรม: นางสาวธนาภรณ์ พันธ์ประเสริฐนิสิตฝึกงาน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา



        ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ออกแบบรูปอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดสุพรรณบุรี         เรียบเรียงโดย นางอภิญญานุช  เผ่าพงษ์คล้าย  บรรณารักษ์ชำนาญการ         ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ชื่อเดิม CORRADO FEROCI  เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2435 ในเขตซานโจวันนี (San Giovanni) นครฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี  จบการศึกษาจาก ราชวิทยาลัยศิลปะแห่งนครฟลอเรนซ์    ได้รับประกาศนียบัตร ช่างปั้น ช่างเขียน และได้รับปริญญาบัตร  เป็น ศาสตราจารย์ (เกียรตินิยมอันดับ 1) เดินทางมายังประเทศไทยพร้อมด้วยภรรยาและบุตรสาวโดยทางเรือเดินสมุทร  ในราวปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6   เมื่อปีพุทธศักราช 2466 เพื่อเข้ารับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากร  กระทรวงวังในสมัยนั้น (กรมศิลปากร 7)         ผลงานประติมากรรมของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี แบ่งออกเป็น ผลงานประติมากรรมรูปเหมือนบุคคล ผลงานประติมากรรมประเภทอนุสาวรีย์ ผลงานการออกแบบอนุสาวรีย์ และงานประติมากรรมต่างๆ การสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดสุพรรณบุรี กรมศิลปากรมอบให้ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ออกแบบรูปอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นการสร้างอนุสาวรีย์ที่ใหญ่มาก และสร้างขึ้นด้วยความลำบาก        กรมศิลปากรจึงจัดส่งศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ไปดูการหล่อรูปยังต่างประเทศเพื่อนำวิทยาการสมัยใหม่ และหาเครื่อง   ทุ่นแรงมาใช้ในการจัดสร้าง ในการปั้นหล่ออนุสาวรีย์มีความใหญ่โต มีช้าง องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กลางช้าง ท้ายช้าง สัปคับ และอาวุธต่างๆ ครบถ้วนตามยุทธวิธีโบราณ (คณะกรรมการบูรณะอนุสรณ์ดอนเจดีย์ 213-216)  เป็นอนุสาวรีย์ใหญ่กว่าของจริงถึงเท่าครึ่ง และเป็นที่น่าชื่นชมยินดีที่สุด ที่อนุสาวรีย์อันใหญ่ยิ่งนี้สำเร็จขึ้นได้ โดยฝีมือของศิลปินไทยในกรมศิลปากร


            ปูน ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในงานสถาปัตยกรรมโบราณที่นำมาใช้ในหลายวัตถุประสงค์ของกระบวนการก่อสร้าง เช่น ใช้เป็นวัสดุเชื่อมประสาน (binder) ในการก่อหรือสอให้วัสดุ เช่น อิฐ ศิลาแลง เชื่อมติดกัน เพื่อเป็นสิ่งก่อสร้าง เช่น ผนัง กำแพง ช่วยให้มีความมั่นคงของโครงสร้างมากขึ้น หรือเพื่อเป็นวัสดุที่ใช้สำหรับการฉาบวัสดุอื่น เพื่อให้ผิวชั้นนอกเกิดความเรียบ หรือใช้สำหรับเป็นวัสดุสรรค์สร้างเป็นลวดลายต่าง ๆ ประดับตกแต่งอาคาร           คำว่า “ปูน” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔ หมายถึง หินปูน หรือเปลือกหอยเมื่อถูกเผาจนสลายตัว ตัวอย่างคำที่เกี่ยวข้อง เช่น ปูนดิบ หมายถึง ปูนที่ได้จากการเผาหินปูนหรือเปลือกหอยจนสลายตัว ปูนสุก หมายถึง ปูนดิบที่ถูกความชื้นในอากาศหรือพรมน้ำแล้วแตกละเอียดเป็นผงขาว ปูนขาว หมายถึง ปูนสุก ใช้ผสมกับปูนซีเมนต์ ทราย และน้ำ สำหรับฉาบทาฝาผนัง ปูนปั้น ใช้เรียกลวดลายประดับตามอาคารหรือสิ่งก่อสร้างที่ทำจากปูน เป็นต้น   ปูนที่ใช้ในสมัยโบราณส่วนใหญ่ทำมาจากปูนขาว เรียกว่า ปูนหมัก และปูนตำ ประกอบด้วย หินปูน เปลือกหอย กระดูก และมีส่วนผสมพิเศษเพื่อให้เกิดความเหนียว ทำหน้าที่เป็นกาวยึดเหนี่ยวเนื้อวัสดุ เช่น ยางไม้ ไขมันที่ได้จากพืชและสัตว์   ปูนขาว (lime) เป็นปูนที่เกิดจากการนำเปลือกหอย หรือหินปูน มาย่อยเป็นก้อนขนาดเล็ก แล้วนำไปเผา เมื่อเผาสุกแล้ว จะได้ “ปูนดิบ” เมื่อทำให้ปูนดิบเปียกน้ำจะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้แตกเป็นผงสีขาว เรียกว่า “ปูนสุก” นำไปบด ร่อน กรอง เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป ปูนขาวส่วนใหญ่นำไปใช้ในการก่อสร้างอาคาร และสร้างลวดลายประดับตกแต่งอาคาร   - ปูนหมัก คือการนำปูนขาวไปแช่น้ำในบ่อหรือถังหมักมีลักษณะเป็นของเหลวข้นสีขาว ภายในถังหมักปูนจะประกอบด้วยเนื้อปูนขาวตกตะกอนอยู่ด้านล่าง และมีน้ำปูนหล่อไว้อยู่ด้านบน โดยปูนหมักสามารถนำไปใช้เป็นปูนสอ ปูนฉาบ หรือนำไปเป็นส่วนผสมหลักเพื่อใช้ประโยชน์ในงานสถาปัตยกรรมต่อไป ส่วนน้ำปูนสามารถนำไปเติมในส่วนผสมปูนแทนน้ำ หรือพ่นใส่ผนังปูนฉาบเพื่อเสริมความแข็งแรง    - ปูนตำ คือปูนที่เกิดจากการนำปูนหมักมาตำหรือโขลกผสมกับทราย กาว (ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น) และเส้นใย (ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับแรงดึงก่อนปูนจะแข็งตัว) เป็นส่วนผสมหลัก การตำรวมกันจนเนื้อละเอียดเข้ากัน สีขาวนวล มีความหนืดที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้เป็นปูนสอ ปูนฉาบ หรือปูนปั้น เมื่อเนื้อปูนสัมผัสอากาศจะเกิดปฏิกิริยา ทำให้แข็งตัว    ทั้งนี้ กระบวนการขั้นตอนการผลิตปูนตำและปูนหมัก รวมถึงส่วนผสมปูนจะมีความแตกต่างกันตามช่างปูนในแต่ละท้องถิ่นที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ มีดังนี้   - ปูนสอ หรือปูนก่อ เป็นปูนที่ใช้ในการก่ออิฐโครงสร้าง ประสานอิฐเข้าด้วยกัน   - ปูนฉาบ หรือปูนตกแต่ง เป็นปูนที่ใช้ตกแต่งอาคารให้เรียบร้อยสวยงาม ด้วยการฉาบพื้นผิวให้เรียบ หรือใช้ตกแต่งเป็นลวดบัว ขอบคิ้ว     - ปูนปั้น เป็นปูนที่ใช้สำหรับการปั้น ต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ มีความเหนียวเหมาะสำหรับการปั้นเป็นลวดลาย หรือรูปทรงต่าง ๆ ให้ได้รายละเอียดที่ชัดเจน   จากร่องรอยที่ปรากฏในเมืองกำแพงเพชรสันนิษฐานว่ามีการฉาบปูนโดยรอบอาคาร และเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐหรือศิลาแลง รวมถึงนำปูนมาปั้นประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมเป็นลวดลาย หรือภาพเล่าเรื่อง และปั้นประติมากรรมรูปทรงต่างๆครอบทับโกลนศิลาแลงด้วย โดยตัวอย่างการนำปูนมาใช้ในงานศิลปกรรม อาทิ   - ร่องรอยปูนฉาบ หรือตกแต่งบริเวณมณฑปวัดพระสี่อิริยาบถ วิหารวัดพระนอน และบัวปากระฆังของเจดีย์ประธานวัดพระธาตุ    - พระพุทธรูปในมณฑปประธานวัดพระสี่อิริยาบถ ประติมากรรมลอยตัวรูปสิงห์ที่วัดสิงห์ และวัดอาวาสใหญ่ ประติกรรมเกือบลอยตัวรูปช้างที่ฐานเจดีย์ประธานวัดช้างรอบ และรูปสิงห์ที่ฐานเจดีย์ประธานวัดพระแก้ว           - ปูนปั้นภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติบริเวณฐานหน้ากระดานกลมเหนือฐานแปดเหลี่ยมและลวดลายตกแต่งรูปต้นไม้ระหว่างประติมากรรมรูปช้างของฐานเจดีย์ประธานวัดช้างรอบ และภาพลวดลายตกแต่งต่างๆบริเวณวิหารวัดพระแก้ว________________________________________________ เอกสารอ้างอิง พิจิตร นิ่มงาม. การปั้นปูนตำ. กรุงเทพฯ: สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๕๐. นพวัฒน์ สมพื้น. ลายปูนปั้น งานช่างประณีตศิลป์ของไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๐. นวลลักษณ์ วัสสันตชาติ. (๒๕๖๑). “ปูนในโบราณสถานของนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาแหล่งมรดกโลก.” หน้าจั่ว ๓๓ (มกราคม-ธันวาคม): ๔๓-๙๒. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๔.   --------------------------------------------------   ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร https://www.facebook.com/kpppark2534/posts/pfbid0RBDKDHNBSVZhb7SahmKHUHDh1GXjuk4VPLHkgHogsxLJPRPbpD6EMMaszaYSJPutl-------------------------------------------------- *เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร


ชื่อเรื่อง                     ประวัติย่อศิลปลังกา ชวา ขอมผู้แต่ง                       สุภัทรดิศ  ดิศกุล, ม.จ.2466-ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ศิลปะเลขหมู่                      709.59 ศ837ปสถานที่พิมพ์               นครปฐมสำนักพิมพ์                 มหาวิทยาลัยศิลปากรปีที่พิมพ์                    2515ลักษณะวัสดุ               98 หน้าหัวเรื่อง                     ศิลปกรรม--เอเชียตะวันออกเฉียงใต้                               ศิลปกรรม--ชวา                              ศิลปกรรม--ลังกา                              ศิลปกรรม--กัมพูชาภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกกล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศิลปลังกา สมัยอนุราธปุระ สมัยโปลนนารุวะ ศิลปชวาภาคกลางและภาคตะวันออก ศิลปะขอม ในแง่สถาปัตยกรรม ลวดลายเครื่องประดับ ภาพสลักนูนต่ำ ประติมากรรมลอยตัว



ชื่อผู้แต่ง          สมาคมคหเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ชื่อเรื่อง           คหเศรษฐศาสตร์ (ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๐๘) ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์      พระนคร สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์ไทยสัมพันธ์ ปีที่พิมพ์          ๒๕๐๘ จำนวนหน้า      ๙๓ หน้า รายละเอียด      วารสารฉบับนี้จัดทำพิเศษเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงอุปถัมภ์ทางสมาคมมาโดยตลอด เนื้อเรื่องมีหลายประเภท เหมาะกับ    คุณแม่บ้าน ทั้งเรื่องอาหาร การเลือกซื้อ การเสริมความงาม การอบรมเลี้ยงดูเด็ก ส่วนใหญ่มุ่งไปทางด้านวิชาการ


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 146/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/4ค เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : สมุดยาเกล็ด ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2478 สถานที่พิมพ์ : [สมุทรปราการ]สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์สยามอักษรกิจ จำนวนหน้า : 84 หน้าสาระสังเขป : หนังเล่มนี้จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานอุปสมบทและเนื่องในงานฌาปนกิจศพ รวบรวมตำรายาเกล็ดต่างๆ ยาสำหรับเด็ก ยาสำหรับสตรี แก้ริดสีดวง แก้ฝี แก้กระษัย เหน็บชา ยาแก้มะเร็ง-คุทราด ยาแก้บิดลงแดง ยาแก้โรคบุรุษ ยาแก้ไข้ ยาเบ็ดเตล้ด ขี้ผึ้งปิดแผล น้ำมันต่างๆ ตำรายาแผนโบราณที่มีสรรพคุณดี


ทูตอังกฤษในสมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ ชื่อผู้แต่ง           สมพงษ์  เกรียงไกรเพชร ชื่อเรื่อง            ทูตอังกฤษในสมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งที่พิมพ์        พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์      กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์        ประจักษ์การพิมพ์ ปีที่พิมพ์           ๒๕๒๑ จำนวนหน้า      ๑๒๖ หน้า หมายเหตุ         -                              หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงทูตอังกฤษเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและทำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๒, รัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ นับว่าเป็นการเริ่มต้นกรุยทางให้ประเทศทั้งสองมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น


ชื่อเรื่อง : นิบาตชาดก เล่ม 7 จตุกกนิบาต ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2468 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ไท จำนวนหน้า : 288 หน้า สาระสังเขป : นิบาตชาดก เล่ม 7 จตุกกนิบาตเล่มนี้ จัดพิมพ์พระราชทานในงานพระศพ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ณ พระเมรุท้องสนามหลวง พ.ศ. 2468 กล่าวถึงพระอดีตชาติของพระพุทธเจ้าที่เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับภูมิหลังและการกลับชาติมาเกิดของบุคคลในสมัยพุทธกาล ประกอบด้วยชาดก 50 เรื่อง เช่น เอกราชชาดก ขันติวาทิชาดก โกกาลิกชาดก ถุสชาดก เป็นต้น


... น้ำชุบเก้าอย่าง ...       น้ำชุบ หรือ น้ำพริก เป็นอาหารคาวอย่างหนึ่งของคนใต้ มีกะปิเป็นวัตถุดิบหลัก และวัตถุดิบอื่น ๆ ที่สามารถหาได้ตามพื้นบ้าน มีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาน้อย ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีส่วนผสมของวัตถุดิบ และขั้นตอนการทำที่แตกต่างกันออกไป       น้ำชุบเก้าอย่าง เป็นน้ำชุบพื้นบ้านของคนภูเก็ต โดยเฉพาะในอำเภอถลาง สามารถเลือกทำรับประทานได้ตามความชอบ แต่สำหรับในพิธีกรรม น้ำชุบทั้งเก้าอย่าง เป็นสำรับอาหารที่จะขาดไปเสียไม่ได้ เช่น พิธีไหว้ตายายผีหลาง (ถลาง)         ประเพณีไหว้ตายายผีหลาง เป็นประเพณีเก่าแก่ของคนอำเภอถลางที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีและความสำนึกในบุญคุณของบรรพบุรุษ รวมทั้งยังเป็นการพบปะระหว่างเครือญาติ  แต่เดิมนั้นจัดกันที่บริเวณบ้านเจ้าเมืองถลาง หรือบ้านลูกหลานเจ้าเมืองถลาง เช่นบ้านลิพอน บ้านดอน บ้านสาคู บ้านเหรียง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใน อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต พิธีกรรมจะเริ่มขึ้นหลังจากดวงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า จนถึงรุ่งเช้า ของวันอังคาร วันพฤหัสบดี หรือวันเสาร์ ในช่วงเดือน 4 หรือเดือน 6  ข้างขึ้น ตามปฏิทินจันทรคติ       ในปัจจุบัน ลูกหลานชาวถลาง ได้ประกอบพิธีนี้ขึ้นที่วัดม่วงโกมารภัจจ์ ในวันที่ 12 มีนาคม ของทุกปี เพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษ และรำลึกถึงท้าวเทพกระษัตรี (คุณหญิงจัน) ท้าวศรีสุนทร (คุณมุก) ที่ร่วมกันสู้ในศึกสงครามเก้าทัพจนชนะพม่า ในวันที่ วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2328 ซึ่งชาวถลาง ถือกันว่าวันนี้เป็น "วันถลางชนะศึก"


          เงินดอกไม้ หรือเงินผักชี           สมัยล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑           ซื้อจากพิพิธภัณฑ์หม่อมเจ้าปิยะภักดีนาถ เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙           ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร           เงินดอกไม้ (Flower Money) หรือเงินผักชี เป็นก้อนโลหะเงิน ค่อนข้างกลมแบน ลวดลายบนผิวเงินมีลายคล้ายดอกไม้ ซึ่งลวดลายดังกล่าวเกิดจาก การใช้หลอดไม้ขนาดยาวเป่าลมลงในเบ้าที่มีโลหะเงินยังเป็นของเหลวอยู่ การเป่าลมลงไปนี้อาจเป่าเป็นแห่ง ๆ หมุนไปโดยรอบเบ้าหลอมทำให้เกิดลายขึ้นบนผิวหน้าคล้ายหยดน้ำที่ตกลงมาแตกกระจายอยู่บนพื้นแข็งโดยรอบ           เงินดอกไม้ (Flower Money) หรือเงินผักชีเป็นหนึ่งในเงินตราล้านนาประเภทกลุ่มเงินที่มีมูลค่าสูง* เนื่องจากมีส่วนผสมของโลหะเงินในสัดส่วนที่ค่อนข้างเยอะ  ตรงกันข้ามกับกลุ่มเงินประเภทเงินมูลค่าต่ำ มีตัวอย่างเช่น เงินท้อก เงินใบไม้ เงินปากหมู เงินวงตีนม้า ซึ่งเงินเหล่านี้มีอัตราส่วนผสมของโลหะเงินที่แตกต่างกันออกไปหรืออาจจะไม่มีเลย โดยใช้โลหะทองแดง หรือทองเหลืองแทน เงินตราเหล่านี้เป็นสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนของรัฐล้านนาในช่วงที่เป็นอิสระ นอกจากนี้ยังพบเงินไซซี (Sycee Money) ซึ่งแสดงถึงการติดต่อค้าขายกับจีนอีกด้วย           ระบบเศรษฐกิจของล้านนาเจริญขึ้นสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช (พร้อมกับอำนาจของล้านนาที่แผ่ขยายไปยังเมืองต่าง ๆ) โดยเมืองที่สำคัญทางเศรษฐกิจคือ เมืองเชียงใหม่และเมืองเชียงแสน ซึ่งมีเส้นทางติดต่อกับบ้านเมืองอื่น ๆ ต่อไปอีก นอกจากนี้เมืองขนาดเล็กลงมาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น เมืองฮอด เมืองน่าน เมืองแพร่ และเมืองพะเยา ก็ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าที่กองคาราวานเดินทางผ่านและแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยเช่นกัน     *ในกลุ่มเงินประเภทนี้ยังมีเงินอื่น ๆ เช่น เงินเจียง เป็นต้น     อ้างอิง ธนาคารแห่งประเทศไทย. เงินตราไทย Thai money. กรุงเทพฯ: ธนาคารแห่งประเทศไทย, ม.ป.ป. สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: อมรินทร์, ๒๕๕๑. ธนาคารแห่งประเทศไทย. เงินตราสมัยล้านนา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๖, จาก: https://www.bot.or.th/.../Northern/Pages/T-Lannacoin.aspx


เลขทะเบียน : นพ.บ.527/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 68 หน้า ; 5 x 48 ซ.ม. : รักทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 176  (267-279) ผูก 5 (2566)หัวเรื่อง : ลำสินไชย--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


black ribbon.