อาคารรุกกำแพงดินยังไม่ได้รื้อ ติดเจ้าของอุทธรณ์สู้-รอชี้ขาดอีกรอบ 17 ก.พ.
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ครบกำหนดรื้อถอนอาคารรุกล้ำกำแพงดินแล้วแต่สถานการณ์ยังนิ่ง ผู้ว่าฯ ยันสั่งแล้วต้องดำเนินการ เทศบาลเผยเจ้าของอาคารอุทธรณ์กลับต้องนำเสนอจังหวัดอีกรอบก่อนดำเนินการต่อ ด้านศิลปากรบอกต้องอุทธรณ์กับส่วนกลางเท่านั้น แต่ไม่รู้เจ้าของอาคารดำเนินการหรือยัง ส่วนธนารักษ์แจงความเห็นแตก “รื้อหมด-รื้อเฉพาะที่ล้ำ” รอชี้ขาดในที่ประชุมติดตามความคืบหน้า 17 ก.พ. นี้
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการกรณีเอกชนก่อสร้างอาคารรุกล้ำแนวกำแพงดินเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโบราณสถานว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการที่แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายกับกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนารักษ์ ศิลปากร และเทศบาลนครเชียงใหม่ จะต้องมีการดำเนินการโดยยึดถือปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ยอมรับว่าในส่วนของภาครัฐเองคงต้องรับผิดชอบด้วยว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากการปล่อยปละละเลยในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ฝ่ายเอกชนเองก็สมควรที่จะทราบว่าสิ่งใดสามารถกระทำได้หรือไม่ได้ ซึ่งยืนยันว่าการดำเนินการในกรณีนี้จะต้องยึดข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาและไม่เกิดปัญหาซ้ำซากขึ้นมาอีก
พร้อมทั้งอยากวิงวอนให้ทุกภาคส่วน ร่วมกันสร้างจิตสำนึกที่ดีในการรักษาโบราณสถานที่เป็นสมบัติของเชียงใหม่และของชาติให้คงอยู่ โดยไม่เกิดปัญหาการบุกรุกทำลายอีก เพราะหากเกิดขึ้นแล้วแก้ไขยาก
“กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ยอมรับว่าส่วนหนึ่งต้องเป็นความรับผิดชอบของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ปล่อยปละละเลย ทำให้ปัญหานี้เกิดการหมักหมมมานานจนยากที่จะแก้ไข แต่ยืนยันว่าจะต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาและเป็นตัวอย่าง ไม่ให้มีการปล่อยให้เกิดกรณีปัญหาอย่างนี้ซ้ำซากอีก เพราะเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขหากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น นายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่กล่าวว่า หลังจากที่เทศบาลนครเชียงใหม่ได้มีคำสั่งรื้อถอนอาคารที่รุกล้ำพื้นที่กำแพงดินทั้งสองแห่ง ได้แก่ อาคารโรงแรมของนางสาวเพ็ญสินี พรหมเศรณี บริเวณฝั่งตรงข้ามโรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง และอาคารพาณิชย์ ค.ส.ล.3 ชั้น จำนวน 4 คูหาของนายวลัญช์ชัย เกียรตินิยมรุ่ง โดยให้เข้าของอาคารทั้งสองรายทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ตามพ.ร.บ. ควบคุมอาคารนั้น
ในขณะนี้ได้ครบกำหนดระยะเวลาแล้วนั้น ตามหลักปฏิบัติหากเจ้าของอาคารไม่ปฏิบัติตาม ทางเทศบาลจะต้องดำเนินการทางกฎหมาย โดยฟ้องร้องผ่านศาลเพื่อให้มีการพิจารณาคดีต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากมีคำสั่งออกไปแล้ว เจ้าของอาคารทั้งสองแห่งยังคงเพิกเฉยและไม่ได้ทำการรื้อถอนตามคำสั่ง
อย่างไรก็ตาม เจ้าของอาคารทั้งสองแห่งได้ทำเรื่องอุทธรณ์มายังทางเทศบาล โดยอ้างว่าคำสั่งของเทศบาลที่ให้รื้อถอนอาคารนั้นไม่ชอบธรรม ทางเทศบาลจึงจำเป็นจะต้องนำคำอุทธรณ์เสนอต่อคณะกรรมการของจังหวัดเพื่อพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ด้านนายวิเศษ เพชรประดับ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ กล่าวถึงการดำเนินงานในส่วนของสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.53 ทางกรมศิลปากรโดยอธิบดีกรมศิลปากรได้ลงนามหนังสือคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างแจ้งไปยังเอกชนเจ้าของอาคารให้ทราบแล้ว ซึ่งต่อมาทางเอกชนเจ้าของอาคารได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวมาที่สำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ แต่ทางสำนักฯ ไม่มีอำนาจที่จะรับอุทธรณ์ดังกล่าวได้ ทางผู้ร้องต้องยื่นอุทธรณ์ไปที่กรมศิลปากรเอง ซึ่งยังไม่ทราบว่าทางเอกชนมีการดำเนินการไปแล้วหรือไม่อย่างไร
สำหรับการจะดำเนินการรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างรุกล้ำแนวกำแพงดินโบราณเมืองเชียงใหม่นั้น ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ยอมรับว่า การดำเนินการอาจจะต้องใช้เวลามากพอสมควร เพราะหากเอกชนเจ้าของอาคารที่เป็นกรณีปัญหา มีการยื่นคำร้องเข้าสู่กระบวนการทางศาล จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ อีกมากมาย จนกว่าจะถึงที่สุดว่าศาลมีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างไรกับกรณีที่เกิดขึ้น
ส่วนว่าที่ร.ต.ยงยุทธ เรืองภัทรกุล ธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่กล่าวถึงการดำเนินการล่าสุดในเรื่องปัญหาการรุกล้ำแนวกำแพงดินว่า สำหรับบริเวณอาคารโรงแรมบริเวณฝั่งตรงข้ามโรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิงที่อยู่ในความรับผิดชอบของธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่นั้น หลังจากมีคำสั่งให้รื้อถอน ทางเจ้าของอาคารได้ทำเรื่องอุทธรณ์ พร้อมทั้งระบุว่ายินดีที่จะปรับปรุงพื้นที่ในส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในบริเวณพื้นที่เช่าให้กลับสู่สภาพเดิม ต่อกรณีดังกล่าวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายแรกเห็นว่าหากมีคำสั่งรื้อถอนแล้วควรจะทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่รุกล้ำพื้นที่ออกให้หมด ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าหากรื้อถอนและปรับสภาพในจุดที่รุกล้ำให้เหมือนกับเมื่อก่อนที่จะมีการรุกล้ำน่าจะเป็นธรรมต่อทางเจ้าของอาคารด้วย โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของอาคารยินดีและพร้อมที่จะปฏิบัติตามอยู่แล้ว เพราะถ้าเลือกให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างทั้งหมดแล้ว หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี พื้นที่ที่ได้คืนมาก็อาจจะถูกรุกล้ำอีกในอนาคตได้ หรือหากฝ่ายเจ้าของอาคารรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เรื่องก็จะต้องเข้าสู่การพิจารณาและสู้คดีกันในชั้นศาล ซึ่งจะกินระยะเวลายาวนานกว่าจะได้ข้อสรุป
ธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่กล่าวต่อไปว่า เมื่อมีความเห็นออกเป็นสองฝ่าย ทางธนารักษ์พื้นที่เชียงใหม่จึงได้ทำหนังสือสอบถามไปยังกรมธนารักษ์ พร้อมกับประสานให้กรมธนารักษ์สอบถามต่อไปยังกรมศิลปากรด้วยว่ามีความเห็นต่อแนวทางทั้งสองแนวทางอย่างไร และหากมีการดำเนินการตามแนวทางที่สองจะมีข้อขัดข้องหรือไม่ น่าจะได้ข้อสรุปในการประชุมติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับปัญหาการก่อสร้างอาคารรุกล้ำแนวกำแพงดิน ซึ่งจะมีการประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 17 ก.พ. ที่จะถึงนี้ ผลสรุปที่ได้จากการประชุมน่าจะถือเป็นที่สิ้นสุด
โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2554 22:35 น.
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000020454(จำนวนผู้เข้าชม 728 ครั้ง)