ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน)อย.บ. 142/2ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 24 หน้า กว้าง 4.7 ซม. ยาว 53.3 ซม.หัวเรื่อง พระอภิธรรมปิฎก พระวิภังค์บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน "การศึกษาและอนุรักษ์เรือโบราณพนมสุรินทร์ สู่การเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ของกรมศิลปากร" วิทยากร นางสาวโสภิต ปัญญาขัน ผู้อำนวยการกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และนางสาวปรียานุช จุมพรม หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ กรกฎาคมพุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ - ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๑.๐๐ น. ตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๖๗ - กันยายน ๒๕๖๘
เลขทะเบียน : นพ.บ.616/1ข ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 14 หน้า ; 5 x 57 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 201 (49-56) ผูก 1ข (2568)หัวเรื่อง : ตำนานพระธาตุพนม --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อแบบฉบับ : มหานิปาตวณฺณนา ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (ผูก ค1)
ชื่อเรื่อง : ทสชาติ สุวรรณสามชาดก-นารทชาดก (ผูก ค1)
เลขทะเบียน : ชม.บ.557/ค1
ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ ผู้สร้าง : อุบาสิภิกษุ ปีที่สร้าง : จ.ศ.1085 (พ.ศ.2266)
จำนวน : 1 คัมภีร์ 14 ผูก (หอสมุดแห่งชาติฯ เชียงใหม่ มีผูก ก1, ข1-3, ค1-5:4ก, ฆ1-2, ง1-2)
จำนวนบรรทัด : 5 บรรทัด จำนวนหน้า : 52 หน้า
อักษร : ธรรมล้านนา ภาษา : บาลี-ไทยล้านนา เส้น : จาร
ฉบับ : ล่องชาด ไม้ประกับ : ทารัก ขอบทาชาด ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน
ประวัติ : อุบาสิภิกษุสร้าง จ.ศ.1085 (พ.ศ.2266 สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) มี 5 เรื่อง ได้มาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม 2531
โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568
เลขทะเบียน : นพ.บ.749/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4 x 52 ซ.ม. : ชาดทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 234 (370-381) ผูก 1ก (2568)หัวเรื่อง : อาการวัตตสูตร--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ความเชื่อและพลังศรัทธาแห่งอัญมณี
ปัจจุบันอัญมณีและหินสียังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเพราะความงดงาม แต่ยังเพราะ พลังและความหมาย ที่มอบให้แก่ผู้ครอบครอง เชื่อกันว่ามีพลังเสริมดวง เสริมบารมี หรือปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากชีวิต ผู้คนมักเลือกสวมใส่หินสีให้ถูกโฉลกกับวันเกิดหรือราศี เพื่อความเป็นสิริมงคลและสร้างความมั่นใจ อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าหินสีมีแร่ธาตุที่ช่วยปรับสมดุลของกายและใจ
ในประเทศไทย มีหลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่าคนไทยรู้จักและใช้อัญมณีมานานเกือบพันปี โดยพบเพชรพลอยหลากชนิดในกรุพระโบราณตามเมืองสำคัญ เช่น ลพบุรี สุโขทัย และอยุธยา ซึ่งมักบรรจุรวมกับเครื่องทองเพื่ออุทิศกุศล แสดงถึงความเชื่อและคุณค่าทางวัฒนธรรมของอัญมณี ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นในรัชกาลที่ 2 ได้มีการรวบรวม ตำราแก้วเก้าประการ โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เป็นผู้คัดลอกและถวายจนเป็นที่รู้จักแพร่หลายสืบมาจนถึงปัจจุบัน
เพชรดีมณีแดง เขียวใสแสงมรกตเหลืองใสสดบุศราคำ แดงแก่ก่ำโกเมนเอกสีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัวแดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพฑูรย์
จากบทกลอนข้างต้นอัญมณีทั้งเก้า ประกอบด้วย เพชร, มณีแดง (ทับทิม), มรกต, บุศราคัม, โกเมน, นิลกาฬ, มุกดาหาร, เพทาย และไพฑูรย์ (แก้วตาแมว) โดยมีความเชื่อว่า เพชร สัญลักษณ์แห่งอำนาจและความมั่นคง, มณีแดง (ทับทิม) แทนความกล้าหาญและชัยชนะ, มรกต เสริมความเจริญรุ่งเรือง, บุศราคัม นำความมั่งคั่ง, โกเมน เพิ่มพลังและกำลังใจ, นิลกาฬ ปกป้องคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้าย, มุกดาหาร เสริมความสงบเยือกเย็น, เพทาย เสริมเสน่ห์และความสง่างาม และ ไพฑูรย์ (แก้วตาแมว) ช่วยให้ชีวิตราบรื่นและมีโชคลาภ
ด้วยความเชื่อนี้ อัญมณีจึงเป็นทั้งเครื่องประดับ เครื่องราง และสัญลักษณ์แห่งฐานะ ที่สะท้อนความงามและศรัทธาของผู้คนในแต่ละยุคสมัย ดังนั้น แม้คุณจะไม่เชื่อว่าอัญมณีสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ แต่การเปิดใจค้นหาอัญมณีที่สอดคล้องกับตัวตนของคุณ อาจทำให้คุณพบเครื่องประดับที่เป็นทั้งความงามและพลังใจที่จะอยู่กับคุณตลอดไป
สามารถอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังของอัญมณีและหินสีได้ที่ ห้องหนังสือทั่วไป 1 หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
แหล่งอ้างอิง
จุฑามาศ ณ สงขลา. พลังอัญมณีและหินสีนำโชค เสริมดวงชะตา. กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์, 2558.
ธัญญา นิมิตรากุล. อัญมณีและหินสี เพิ่มพูนโชคลาภ เสริมพลังชีวิต. กรุงเทพฯ: ไพลิน, 2548.
ร้านเพชรชมพู. เรื่องควรรู้ของแหวนนพเก้าที่กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2568, จาก https://www.petchchompoo.com/th/content/Gem-and-Jewelry-Library/Noppakao%20Ringวิชัย โรจนมณเฑียร. อนุสรณ์เนื่องในงานฌาปนกิจศพ นายไนเล้ง (แซ่เอี้ย) โรจนมณเฑียร. พระนคร: บริษัทการพิมพ์ วีระสัมพันธ์, 2509.
เรียบเรียงโดย นางสาวทิพวรรณ จันทร์ปัญญา บรรณารักษ์ปฏิบัติการ
หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กรมศิลปากร
ผู้แต่ง/ผู้แปล/ผู้เรียบเรียง : Author:
บุษกร ลิมจิตติ, มานิตา เขื่อนขันธ์, ลักขณา จินดาวงศ์, เสริมกิจ ชัยมงคล, จักริน อุตตะมะ
ครั้งที่พิมพ์ : Edition:
พิมพ์ครั้งที่ 1 พุทธศักราช 2554
ผู้พิมพ์ : Publisher:
บริษัทอัมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)
ISBN:
978-974-417-599-1
ราคา : Price:
320 บาท
สมุดภาพงานมัณฑนศิลป์ในพระนครคีรี พระราชวังจันทรเกษม และพระนารายณ์ราชนิเวศน์ มี เนื้อหาเชื่อมโยงความสัมพันธ์ร่วมสมัยของงานมัณฑนศิลป์ในพระราชวังทั้ง ๓ แห่งกับงานมัณฑนศิลป์จีน อินเดีย ยุโรป และอเมริกา และนำเสนอมิติใหม่ในการจัดแสดงแก่ผู้เข้าชม แบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ แรงบันดาลใจ การผสมผสาน และจินตนาการ เป็นงานศึกษา ค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมัณฑนศิลป์ เริ่มดำเนินการตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๕๒ ได้รับความสนับสนุนจากที่ปรึกษาและความร่วมมือของคณะทำงานจากกลุ่ม มัณฑนศิลป์ สำนักสำนักสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ และนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้น สมุดภาพเล่มนี้จะช่วยสร้างความความเข้าใจและพัฒนารสนิยมสุนทรีย์ทาง มัณฑนศิลป์ และสร้างจิตสำนึกให้สังคมมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ สืบต่อไป
ภายในเล่มมีเนื้่อหาประวัติทั้ง ๓ วัง บทคัดย่อเป็นภาษาอังกฤษ ภาพถ่ายเก่าที่หายาก ภาพลายเส้นงานมัณฑนศิลป์ในพระราชวังทั้ง ๓ แห่ง ภาพลายเส้นเครื่องเรือนพร้อมขนาด และแผนที่เส้นทางในการเดินทาง พิมพ์ ๔ สีทั้งเล่ม จำหน่ายราคาเล่มละ ๓๒๐ บาท
ผู้สนใจสามารถติดต่อซื้อได้ที่สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร อาคารใหม่กรมศิลปากร ชั้นที่ ๔ ถ.ศรีอยุธยา แขวงวชิระ เขตดุสิต กรุงเทพฯ โทร. ๐ ๒๖๒๘ ๕๐๓๖ ต่อ ๔๐๔ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทั้ง ๓ แห่ง
การบูชาพระจันทร์เป็นประเพณีสำคัญในท้องถิ่นที่นับถือธรรมชาติ เรามักคุ้นเคยกับประเพณีไหว้พระจันทร์แบบจีนเพราะมีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่มากในประเทศไทย แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านแนบชิดอย่างกัมพูชาก็มีประเพณีไหว้พระจันทร์เช่นกัน
พิธีไหว้พระจันทร์ในกัมพูชา
ในกัมพูชาเรียกพิธีนี้ว่า សំពះព្រះខែសំពះព (Sampeah Preah Khae) หรือพิธีไหว้พระจันทร์ (พระแขหมายถึงพระจันทร์) เป็นส่วนหนึ่งในงานเทศกาล បុណ្យអុំទ (Bon Om Touk)๑ ซึ่งจัดขึ้นทั้งแบบหลวงและแบบชาวบ้านในช่วงเวลาที่พระจันทร์โคจรอยู่เหนือศีรษะในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นประจำทุกปี เพื่อทำนายสภาพฟ้าฝนปีถัดไป ผลทำนายจะทำให้ชาวบ้านรู้ทิศทางเตรียมตัวทำเกษตรกรรม ขณะเดียวกันตำนานมูลเหตุแห่งการจัดพิธียังเชื่อมโยงกับอรรถกถา สสปัณฑิตชาดก๒ สะท้อนถึงคติความเชื่อทางพุทธศาสนาและการกล่อมเกลาผู้คนให้บูชาคุณงามความดีจากการเสียสละ
พิธีไหว้พระจันทร์แบบหลวงจัดเป็นพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง มีการเตรียมกล้วย ข้าวเม่า๓ ข้าวหลาม อาหารและผลไม้อื่นๆ เป็นเครื่องไหว้ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือโครงเทียน โครงเทียนแบบหลวงถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มีเทียนยึดติดกับโครงทั้งหมด ๑๔ เล่ม เป็นสัญลักษณ์แทน ๑๔ จังหวัดในกัมพูชา เมื่อถึงเวลาหลังพราหมณ์หลวงประกาศคำบูชาเทวดาแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงจุดเทียน จากนั้นพราหมณ์หลวงจะหมุนโครงเทียน ๓ รอบ ให้หยดน้ำตาเทียนตกลงบนใบตองที่ปูรองไว้ด้านล่าง เมื่อเทียนละลายหมดและพราหมณ์หลวงประกาศคำทำนายก็เป็นอันจบพระราชพิธี
ส่วนพิธีแบบชาวบ้านมีการเตรียมกล้วย ข้าวเม่า และข้าวหลามเช่นเดียวกัน แต่อาหารและผลไม้เครื่องไหว้อื่นๆ อาจแตกต่างไปตามแต่ละท้องที่ ผู้ประกอบพิธีเป็นพระสงฆ์ทำหน้าที่สวดมนต์บูชาเทวดา และมีการอุปโลกน์ชายผู้เคร่งครัดในศาสนาเป็นพราหมณ์ทำหน้าที่จุดเทียนและหมุนโครงเทียน รวมถึงทำนายฟ้าฝนจากหยดน้ำตาเทียน หลังจากนั้นผู้ร่วมพิธีจะแบ่งปันข้าวเม่าที่ใช้เป็นเครื่องไหว้ และเพ่งจิตไปยังพระจันทร์เพื่ออธิษฐานขอพรก่อนที่จะรับประทานข้าวเม่านั้นลงไป๔
พิธีไหว้พระจันทร์ในสุพรรณบุรี
จังหวัดสุพรรณบุรีมีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งจังหวัด สำหรับกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรจะอาศัยรวมเป็นกลุ่มใหญ่ในเขตตำบลบ้านโพธิ์และตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี โดยเฉพาะแถววัดสามทอง วัดสุวรรณนาคี วัดสกุลปักษี และวัดประชุมชน ส่วนใหญ่มีบรรพบุรุษอพยพมาจากกัมพูชาตั้งแต่ช่วงปลายสมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์๕ และปัจจุบันยังคงสืบทอดประเพณีบางอย่างที่บรรพบุรุษเคยถือปฏิบัติไว้ซึ่งรวมถึงพิธีไหว้พระจันทร์ด้วย
พิธีไหว้พระจันทร์หรือไหว้พระแข เป็นพิธีกรรมที่ผสมผสานระหว่างพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์ ถือเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมพิธีและเสริมสร้างความสามัคคีของคนในท้องถิ่น๖ การทำพิธีในสุพรรณบุรีมีเค้าโครงความเชื่อและรูปแบบการทำพิธีความคล้ายคลึงกับในกัมพูชา จะมีที่แตกต่างไปบ้างก็เพื่อปรับให้เหมาะสมกับท้องถิ่น
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๕ ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปสังเกตการณ์และร่วมพิธีไหว้พระจันทร์ที่วัดสามทอง๗ ตำบลตลิ่งชัน และวัดประชุมชน (หรือวัดบ้านบึง) ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้เห็นการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในชุมชน ความหวังในการพึ่งพิงธรรมชาติของคน รวมถึงการพยายามถ่ายทอดความรู้และคติจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
การเตรียมพิธี
ก่อนถึงวันงาน พระสงฆ์จะชักชวนชาวบ้านใกล้เคียงให้มาร่วมแรงร่วมใจกันจัดงาน เพียงหนึ่งวันก่อนงานพิธีจะมีการทำประรำพิธีโดยกั้นพื้นที่ลานโล่งของวัดที่สามารถเห็นพระจันทร์ได้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ประดับแตกแต่งด้วยฉัตร สายสิญจน์ ธงและหลอดไฟหลากสี เพื่อสร้างบรรยากาศ ภายในประรำพิธีจัดสรรพื้นที่สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป พื้นที่นั่งของพระสงฆ์และที่นั่งของฆราวาส ส่วนด้านนอกประรำพิธีมีการตั้งโครงเทียนสูงประมาณ ๑.๕๐ – ๒ เมตร ซึ่งอาจกว้างแตกต่างกันตามแต่จำนวนเทียนที่จะประกอบพิธี
ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันประกอบพิธี ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ผู้ที่ได้รับการอุปโลกน์เป็นพราหมณ์ทำหน้าที่ประกอบพิธี๘ จะหล่อเทียนสำหรับใช้เป็นสัญลักษณ์แทนแต่ละฤดูกาลหรือแทนเดือนในรอบปี๙ โดยตัดด้ายสำลีจำนวน ๔๘ เส้น ปั่นเป็นไส้เทียน ยึดปลายไส้เทียนด้านหนึ่งกับก้นกระบอกไม้ไผ่ซึ่งเจาะรูและปิดด้วยก้อนดินหรือดินน้ำมัน จากนั้นนำน้ำตาเทียนและเศษเทียนที่พระสงฆ์ใช้ระหว่างสวดมนต์ช่วงเข้าพรรษา หลอมผสมกับน้ำตาเทียนจากพิธีไหว้พระจันทร์ในปีก่อน เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เทลงในกระบอกไม้ไผ่ ค่อยๆ หล่อน้ำเทียนเพื่อให้เนื้อเทียนแน่นไม่เกิดฟองอากาศ รอจนเทียนขึ้นรูปดีแล้วจะผ่ากระบอกไม้ไผ่เพื่อนำเทียนออกอย่างระมัดระวังโดยไม่ให้เทียนหัก พร้อมทั้งตกแต่งเทียนแต่ละเล่มให้ได้น้ำหนักเท่ากัน๑๐ก่อนที่จะนำไปติดยึดกับโครงเทียน
การเตรียมงานไหว้พระแข ณ วัดสามทอง
การทำพิธี
ตกค่ำในวันงานชาวบ้านจะมาดูงานมหรสพที่ทางวัดจัดไว้หรือมาทำบุญไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมกับจะนำกล้วย ข้าวเม่า และข้าวหลามมาถวายพระสงฆ์ ก่อนถึงเวลาทำพิธีประมาณห้าทุ่ม ชาวบ้านจะรวมตัวกันอยู่ในประรำพิธี พราหมณ์ ๓ คน แต่งกายชุดขาวเริ่มทำพิธีด้วยการนำสวดมนต์บูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จากนั้นพระสงฆ์จะทำการสวดธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร
กระทั่งเมื่อถึงเวลาพระจันทร์ตั้งตรงศีรษะหรือประมาณเที่ยงคืน หลังพระสวดชยันโตเสร็จแล้ว พราหมณ์จะจุดเทียนที่ติดยึดกับโครงเทียน โดยคนนำประกอบพิธีเป็นผู้ทำนายผลจากการสังเกตหยดน้ำตาเทียน หากน้ำตาเทียนค่อยๆ หยดแสดงว่าปีหน้าฝนจะตกน้อย ถ้าน้ำตาเทียนหยดถี่มากแสดงว่าฝนจะตกมาก ขณะที่หากไส้เทียนเผาไหม้ตกลงเป็นประกายไฟหมายถึงจะมีฝนฟ้าคะนองมาก จากนั้นพระสงฆ์จะนำชาวบ้านกล่าวคำอาราธนาศีล แล้วจึงโปรยกล้วยและข้าวเม่าให้ชาวบ้านได้เก็บไว้เพื่อถือเป็นสิริมงคลและเป็นสัญลักษณ์เริ่มต้นปีทำเกษตรกรรมอีกครั้ง
งานไหว้พระแข ณ วัดสามทอง
งานไหว้พระแข ณ วัดประชุมชน ตำบลบ้านบึง อำเภอเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งจัดในวันเดียวกัน
งานไหว้พระจันทร์ในกัมพูชากับในสุพรรณบุรีคล้ายคลึงกันในเรื่องการจุดเทียนเพื่อทำนายฟ้าฝน รวมถึงการใช้กล้วย ข้าวเม่า และข้าวหลามเป็นเครื่องอุทิศถวาย อย่างไรก็ตาม พิธีในสุพรรณบุรีมีนัยของกล้วยและข้าวเม่าดูจะแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะพระสงฆ์และชาวบ้านที่วัดสามทองมองว่าเป็นสัญลักษณ์แทนเมฆและฝน ซึ่งหลังจากที่พระสงฆ์โปรยกล้วยและข้าวเม่าแล้ว ชาวบ้านจะเก็บกล้วยไว้กินและเก็บข้าวเม่าไว้บูชาหรือโปรยในนาที่จะปลูกข้าวเพื่อความเป็นสิริมงคล
ขณะเดียวกัน แม้การทำนายจะคลาดเคลื่อนกันไปตามมุมมอง ทัศนคติและประสบการณ์ของผู้ทำนายแต่ละคน และในปัจจุบันชาวบ้านไม่จำเป็นต้องพึ่งพาฟ้าฝนอย่างเดียวเพราะมีคลองส่งน้ำไปถึงพื้นที่ทำเกษตรกรรมแล้ว แต่เหตุที่คนไทยเชื้อสายเขมรในสุพรรณบุรียังถือปฏิบัติพิธีนี้อยู่เป็นประจำทุกปีนั้น คงเนื่องมาจากแรงศรัทธาต่อผลการทำนายว่าเป็นจริง รวมถึงความต้องการสืบทอดคติความเชื่อดังเดิมของบรรพบุรุษอันแสดงถึงอัตลักษณ์ของชุมชนให้ดำรงสืบต่อไป
เชิงอรรถ
๑ โปรดดูวารสาร Cambodia – Japan Cooperation Center Newsletter, volume 2, issue 1, January – march 2008, หน้า 6. กล่าวถึงเทศกาล BonOm Toukว่าเป็นงานเฉลิมฉลองประจำปีจัดขึ้นรวม ๓ วัน ระหว่างวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำ ในเดือน ๑๒ ตามปฏิทินจันทรคติ
๒ อรรถกถา สสปัณฑิตชาดก มีเนื้อหากล่าวถึงเมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ทรงเสวยชาติเป็นกระต่าย ในวันพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง กระต่ายได้อธิฐานต่อพระจันทร์หมายจะสละเนื้อตนเป็นอาหารแก่พราหมณ์เฒ่า จากนั้นจึงกระโดดเข้าสู่กองเพลิง ด้วยผลบุญแห่งการกระทำทำให้ทันใดนั้นพระโพธิสัตว์ลอยขึ้นอยู่เหนืออากาศไปประทับอยู่บนดวงจันทร์
๓ โปรดดูหนังสือ Traditional Festivals of ASEANโดย ASEAN Committee on Culture and Information, Hanoi : The Committee, 2003, หน้า ๔๔ – ๔๕. ระบุว่าการใช้กล้วยเป็นเครื่องไหว้เนื่องจากเชื่อว่าเป็นอาหารโปรดของกระต่าย และใช้ข้าวเม่าเป็นสัญลักษณ์แทนพืชพันธุ์อาหารและความอุดมสมบูรณ์
๔ โปรดดูหนังสือ Traditional Festivals of ASEAN 2003หน้า ๔๔– ๔๕ และหน้า ๑๓๐ – ๑๔๐. กล่าวถึงการรับประทานข้าวเม่าหลังไหว้พระจันทร์ และในหนังสือเกร็ดโบราณคดีประเพณีไทย ชุดที่ 2โดยสมบัติ พลายน้อย (ห้างหุ้นส่วนจำกัดรวมสาส์น : ๒๕๑๖) หน้า ๓๖๔ – ๓๖๖. กล่าวถึงประเพณี “ออกอำบก” หรือการรับประทานข้าวเม่า
๕ คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสุพรรณบุรี. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๔๔. หน้า ๑๕๘ และ ๑๙๐.
๖ ฐาปนี. พิธีกรรมและความเชื่อท้องถิ่น. กรุงเทพฯ :แสงดาว, ๒๕๔๙. หน้า ๗๖ – ๗๗.
๗ คุณลุงเกริ่น โกลากุล อายุ ๘๗ ปี ให้ข้อมูลว่า มีคำบอกเล่าต่อกันมาว่างานไหว้พระจันทร์หรือไหว้พระแขที่วัดสามทองจัดขึ้นมาก่อนที่พระอาจารย์เจียเป็นเจ้าอาวาส (พ.ศ.๒๔๓๕)
๘ พระสงฆ์ที่วัดสามทองให้ข้อมูลว่า ผู้ทำหน้าที่พราหมณ์ประกอบพิธีต้องเป็นบุคคลผู้ถือศีลในช่วงวันเข้าพรรษา ซึ่งปัจจุบันที่วัดสามทองมีผู้ทำหน้าที่พราหมณ์ ๓ คน คือ คุณลุงเกริ่น โกลากุล อายุ ๘๗ ปี คุณลุงโอ แกร่งเชื้อชัย อายุ ๘๕ ปี และคุณลุงบุญช่วย เอี่ยมสะอาด อายุ ๗๕ ปี
๙ การประกอบพิธีแต่ละแห่งอาจใช้จำนวนเทียนแตกต่างกัน เช่น เทียนเล่มหนึ่งแทน ๒ เดือน หรือแทน ๓ เดือน หรือแทนฤดูกาลใดฤดูกาลหนึ่ง โดยที่วัดสามทองใช้เทียนทำพิธีเพียง ๓ เล่ม วัดประชุมชนใช้เทียน ๖ เล่ม และวัดอินทร์เกษม (วัดหนองหิน) ใช้เทียน ๑๒ เล่ม เป็นต้น
๑๐ ผู้ประกอบพิธีที่วัดสามทองทั้ง ๓ คน ให้ข้อมูลว่า การหล่อเทียนจะต้องทำในวันประกอบพิธีเท่านั้น จะหล่อเทียนก่อนวันประกอบพิธีไม่ได้ ผู้ทำพิธีจะต้องบอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดก่อนที่จะหล่อเทียน ซึ่งวัดบางแห่งอาจทำเทียนแต่ละเล่มหนักมากถึงครึ่งกิโลกรัม แต่สำหรับวัดสามทองใช้เทียนหนักเล่มละ ๑๒ บาท ตามมาตรการชั่งแบบไทย หรือหนักประมาณ ๒ ขีด
เชิญร่วมกิจกรรมสันทนาการเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ปี ๒๕๕๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น
สถานที่ : เชิญร่วมกิจกรรมสันทนาการเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ปี ๒๕๕๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่นติดต่อ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
"ร่องรอยสุวรรณภูมิในประเทศไทย บ้านดอนตาเพชร"
10-ร่องรอยสุวรรณภูมิในประเทศไทย บ้านดอนตาเพชร ตอน 1
11-ร่องรอยสุวรรณภูมิในประเทศไทย บ้านดอนตาเพชร ตอน 2