โบราณสถานนอกเมืองโบราณสุโขทัยด้านเหนือ
วัดพระพายหลวง
ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณด้านเหนือ เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สุโขทัยอีกแห่งหนึ่ง เพราะมี
สิ่งก่อสร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของเมืองสุโขทัย และก่อสร้างเพิ่มเติมสืบต่อกันมาจนถึงสมัย
สุโขทัยตอนปลาย
กลุ่มโบราณสถานวัดพระพายหลวงตั้งอยู่ตรงกลางในพื้นที่ที่มีคูน้ำล้อมรอบ คูน้ำแต่ละด้านมีความยาวประมาณ ๖๐๐ เมตร
สิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในวัดเป็นปรางค์ ๓ องค์ ปัจจุบันพังทลายลงเหลือเพียงฐาน ๒ องค์ และสมบูรณ์เพียงองค์ด้านทิศเหนือ
นั้นมีลักษณะของปราสาท ลวดลายปูนปั้นประดับเล่าเรื่องตามพุทธประวัติเหมือนกับที่ปรางค์ที่วัดมหาธาตุลพบุรี และที่ปราสาท
ปาลิไลย์ในเมืองพระนครหลวงของเขมร เป็นหลักฐานยืนยันว่า ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ชุมชนที่สุโขทัยมีวัฒนธรรมร่วมกับ
เขมรในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และมีความเกี่ยวข้องกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) เมืองใหญ่ที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมขอมในที่ราบ
ลุ่มแม่น้ำภาคกลาง
ถัดจากปรางค์ไปทางตะวันออก มีวิหาร มีเจดีย์ทรงเหลี่ยม ประดับทุกด้านด้วยซุ้มพระพุทธรูปลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปคล้ายกับ
เจดีย์ กู่กุดจังหวัดลำพูน ที่เจดีย์นี้มีหลักฐานการก่อสร้างทับซ้อนกันหลายสมัย เช่นมีส่วนเศียรและองค์ตอนบนของพระพุทธรูปปูนปั้น
แบบหมวดวัดตระกวนที่ชำรุดแล้วนำมาบรรจุไว้ในส่วนพระอุระของพระพุทธรูปปูนปั้นแบบสุโขทัยรุ่นหลัง (พระพุทธรูปสุโขทัย
หมวดใหญ่) ซึ่งอยู่ในซุ้มเป็นต้น ปัจจุบันพระพุทธรูปปูนปั้นแบบหมวดวัดตระกวน จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง
สุโขทัย
ทางด้านตะวันออกสุดของกลุ่มโบราณสถาน เป็นมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปสี่อิริยาบถ ได้แก่ นั่ง นอน ยืน และเดิน ซึ่งเข้าใจ
ว่าน่าจะสร้างในสมัยหลังที่สุดในบรรดาโบราณสถานที่กล่าวมาแล้ว คือ ในสมัยสุโขทัยตอนปลาย
วัดศรีชุม
อยู่นอกเมืองโบราณสุโขทัยตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือพอดี สิ่งสำคัญคือมณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่เต็มพื้นที่
ภายในอาคาร มีขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑.๓๐ เมตร สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปที่ปรากฏเรียกตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑
ว่าพระอจนะ (ซึ่งอาจมาจากคำว่า อจละ แปลว่า ไม่หวั่นไหว) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้บูรณปฏิสังขรณ์
จากเค้าโครงแกนอิฐเดิมขึ้นใหม่ราวปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ - ๒๔๙๙
หนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย เรียกสถานที่นี้ว่า “ฤาษีชุม” ว่าเป็นสถานที่ที่พระนเรศวร
มาประชุมทัพกันอยู่ที่นั้นก่อนที่จะยกทัพไปปราบปรามเมืองสวรรคโลก
วัดศรีชุมยังมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สุโขทัย คือได้ค้นพบศิลาจารึกหลักที่ ๒ ที่เรียกกันว่า ศิลาจารึกวัดศรีชุม เล่าเรื่องราว
ของการก่อตั้งราชวงศ์สุโขทัยของคนไทยกลุ่มหนึ่ง และที่เพดานของช่องผนังดังกล่าวมีภาพลายเส้นเป็นภาพเล่าเรื่องราวพระพุทธเจ้า
ในชาติต่างๆ ที่เรียกว่า ชาดก บางภาพมีลักษณะทางศิลปกรรมคล้ายกับศิลปะลังกา โดยมีอักษรสมัยสุโขทัยกำกับบอกเรื่องชาดกไว้
ที่ภาพแต่ละภาพด้วย
ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณด้านเหนือ เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สุโขทัยอีกแห่งหนึ่ง เพราะมี
สิ่งก่อสร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของเมืองสุโขทัย และก่อสร้างเพิ่มเติมสืบต่อกันมาจนถึงสมัย
สุโขทัยตอนปลาย
กลุ่มโบราณสถานวัดพระพายหลวงตั้งอยู่ตรงกลางในพื้นที่ที่มีคูน้ำล้อมรอบ คูน้ำแต่ละด้านมีความยาวประมาณ ๖๐๐ เมตร
สิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในวัดเป็นปรางค์ ๓ องค์ ปัจจุบันพังทลายลงเหลือเพียงฐาน ๒ องค์ และสมบูรณ์เพียงองค์ด้านทิศเหนือ
นั้นมีลักษณะของปราสาท ลวดลายปูนปั้นประดับเล่าเรื่องตามพุทธประวัติเหมือนกับที่ปรางค์ที่วัดมหาธาตุลพบุรี และที่ปราสาท
ปาลิไลย์ในเมืองพระนครหลวงของเขมร เป็นหลักฐานยืนยันว่า ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ชุมชนที่สุโขทัยมีวัฒนธรรมร่วมกับ
เขมรในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และมีความเกี่ยวข้องกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) เมืองใหญ่ที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมขอมในที่ราบ
ลุ่มแม่น้ำภาคกลาง
ถัดจากปรางค์ไปทางตะวันออก มีวิหาร มีเจดีย์ทรงเหลี่ยม ประดับทุกด้านด้วยซุ้มพระพุทธรูปลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปคล้ายกับ
เจดีย์ กู่กุดจังหวัดลำพูน ที่เจดีย์นี้มีหลักฐานการก่อสร้างทับซ้อนกันหลายสมัย เช่นมีส่วนเศียรและองค์ตอนบนของพระพุทธรูปปูนปั้น
แบบหมวดวัดตระกวนที่ชำรุดแล้วนำมาบรรจุไว้ในส่วนพระอุระของพระพุทธรูปปูนปั้นแบบสุโขทัยรุ่นหลัง (พระพุทธรูปสุโขทัย
หมวดใหญ่) ซึ่งอยู่ในซุ้มเป็นต้น ปัจจุบันพระพุทธรูปปูนปั้นแบบหมวดวัดตระกวน จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง
สุโขทัย
ทางด้านตะวันออกสุดของกลุ่มโบราณสถาน เป็นมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปสี่อิริยาบถ ได้แก่ นั่ง นอน ยืน และเดิน ซึ่งเข้าใจ
ว่าน่าจะสร้างในสมัยหลังที่สุดในบรรดาโบราณสถานที่กล่าวมาแล้ว คือ ในสมัยสุโขทัยตอนปลาย
วัดศรีชุม
อยู่นอกเมืองโบราณสุโขทัยตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือพอดี สิ่งสำคัญคือมณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่เต็มพื้นที่
ภายในอาคาร มีขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑.๓๐ เมตร สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปที่ปรากฏเรียกตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑
ว่าพระอจนะ (ซึ่งอาจมาจากคำว่า อจละ แปลว่า ไม่หวั่นไหว) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้บูรณปฏิสังขรณ์
จากเค้าโครงแกนอิฐเดิมขึ้นใหม่ราวปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ - ๒๔๙๙
หนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย เรียกสถานที่นี้ว่า “ฤาษีชุม” ว่าเป็นสถานที่ที่พระนเรศวร
มาประชุมทัพกันอยู่ที่นั้นก่อนที่จะยกทัพไปปราบปรามเมืองสวรรคโลก
วัดศรีชุมยังมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สุโขทัย คือได้ค้นพบศิลาจารึกหลักที่ ๒ ที่เรียกกันว่า ศิลาจารึกวัดศรีชุม เล่าเรื่องราว
ของการก่อตั้งราชวงศ์สุโขทัยของคนไทยกลุ่มหนึ่ง และที่เพดานของช่องผนังดังกล่าวมีภาพลายเส้นเป็นภาพเล่าเรื่องราวพระพุทธเจ้า
ในชาติต่างๆ ที่เรียกว่า ชาดก บางภาพมีลักษณะทางศิลปกรรมคล้ายกับศิลปะลังกา โดยมีอักษรสมัยสุโขทัยกำกับบอกเรื่องชาดกไว้
ที่ภาพแต่ละภาพด้วย
(จำนวนผู้เข้าชม 2304 ครั้ง)