เว็บท่ากรมศิลปากร
Thai
English
กองโบราณคดี
หน้าหลัก
เกี่ยวกับหน่วยงาน
ประวัติและบทบาทหน้าที่
โครงสร้างและบุคลากร
ข่าวและกิจกรรม
ข่าวกิจกรรม
ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง
ข่าวรับสมัครงาน
คลังภาพกิจกรรม
ข่าวประชาสัมพันธ์
ปฏิทินกิจกรรม
คลังวิชาการ
ความรู้ทั่วไป
คลังภาพทรงคุณค่า
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
วีดีทัศน์
งานและโครงการ
2567
2566
โครงการล่องคลองมองศิลป์ถิ่นธนบุรี
ประชาชนควรรู้
กฎหมายและระเบียบ
เรื่องน่ารู้
มรดกโลกทางวัฒนธรรม
ความรู้เกี่ยวกับมรดกโลก
การดำเนินงานมรดกโลกในประเทศไทย
แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมในประเทศไทย
แหล่งมรดกวัฒนธรรมของประเทศไทยในบัญชีชั่วคราว
กิจกรรม/สถานการณ์/เรื่องควรรู้เกี่ยวกับมรดกโลก
ติดต่อเรา
หน้าแรก
คลังวิชาการ
ความรู้ทั่วไป
โบราณสถานนอกเมืองโบราณสุโขทัยด้านตะวันตก
วัดสะพานหิน
วัดตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีความสูงกว่าร้อยเมตร ชื่อวัดเรียกตามลักษณะทางที่ปูลาดด้วยหินจากตีนเขาขึ้นไปเป็นระยะทางเกือบ
๓๐๐ เมตร สิ่งสำคัญในวัดมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ น่าจะตรงกับที่ศิลาจารึกหลักที่ ๑ กล่าวถึงเมืองสุโขทัย
สมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า “....ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันณึ่งมนใหญ่ สูงงามแก่กม มีพระอัฎฐารศอันณึ่งลุกยืน…” และน่าจะเป็นวัด
ที่พ่อขุนรามคำแหงทรงช้างเผือกชื่อรูจาครี เพื่อไปนบพระในวันวัดนี้ทุกวันข้างขึ้นและแรม ๑๕ ค่ำ
วัดอรัญญิก
ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณสุโขทัยด้านทิศตะวันตก อยู่ลาดเชิงเขาในป่ากลางอรัญญิก สิ่งก่อสร้างสำคัญประกอบด้วย กลุ่มฐาน
กุฏิสงฆ์ใช้สำหรับพระสงฆ์นั่งวิปัสสนาธรรม กุฏิมีขนาดเล็กสำหรับพระสงฆ์เพียงองค์เดียวนั่งวิปัสสนาธรรม ทางเดินปูด้วยหินเชื่อมกัน
ระหว่างพระอุโบสถและวิหารบ่อน้ำรูปสี่เหลี่ยมขุดลงไปในศิลาแลงมีน้ำขังตลอดทั้งปี
วัดตระพังช้างเผือก
ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตก ลักษณะเป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ ไม่เห็นรูปแบบชัดเจน แต่พบร่องรอยการก่ออิฐ
และศิลาแลง สันนิษฐานว่าเป็นวิหารขนาดใหญ่
ด้านทิศใต้มีสระน้ำขนาดใหญ่ ขนาดประมาณ ๓๐ x ๔๐ เมตร ด้านทิศตะวันตกของเนินโบราณสถาน มีสระน้ำขนาดใหญ่ ชาวบ้าน
เรียกว่าตระพังช้างเผือก ในหนังสือพระราชนิพนธ์เที่ยวเมืองพระร่วง ของรัชกาลที่ ๖ พระองค์ก็ทรงกล่าวถึงวัดตระพังช้างเผือกด้วย
หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญที่ทรงกล่าวถึงศิลาจารึกวัดตระพังช้างเผือก ศิลาจารึกหลักนี้ภายหลังต่อมาศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ
ณ นคร ได้เปรียบเทียบข้อความที่อ่านไว้บ้างเล็กน้อยในหนังสือเที่ยวเมืองพระร่วง กับศิลาจารึกที่ไม่ทราบว่าผู้ใดนำมาแต่เมื่อใด
อยู่ที่เขาไกรลาศ สวนซ้าย ภายในพระบรมมหาราชวัง (หลักที่ ๑๐๒) ปรากฏข้อความแสดงว่าเป็นศิลาจารึกหลักเดียวกัน ปัจจุบัน
เรียกว่า จารึกป้านางคำเยีย
วัดช้างรอบ
ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณสุโขทัยด้านทิศตะวันตก สิ่งก่อสร้างสำคัญประกอบด้วย เจดีย์ประธานทรงกลมแบบลังกา ฐานสี่เหลี่ยม
จัตุรัสมีช้างโผล่ครึ่งตัว มีจำนวน ๒๔ เชือก พระอุโบสถอยู่ด้านหน้าเจดีย์ประธานและมีเจดีย์ราย ๕ องค์ล้อมรอบเจดีย์ประธาน
และโบสถ์
วัดเขาพระบาทน้อย
อยู่นอกเมืองโบราณสุโขทัยไปด้านทิศตะวันตก ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ สิ่งก่อสร้างสำคัญ ประกอบด้วย เจดีย์ทรงจอมแห มีคูหา
พระพุทธรูป ๔ ทิศ องค์ระฆังมีรอยเป็นริ้วๆ ลักษณะเหมือนการตากแห ซึ่งพบเพียงองค์เดียวในเมืองสุโขทัย
ด้านหน้าเจดีย์ทรงจอมแห มีวิหารประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ๔ รอย (ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง)
นอกจากนี้ยังมีกุฏิสงฆ์สำหรับวิปัสสนา และฐานเจดีย์ศิลาแลงขนาดใหญ่
วัดป่ามะม่วง
ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลายหลักกล่าวถึงป่ามะม่วง ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมืองสุโขทัย มีศิลาจารึกหลักที่ ๖ ค้นพบในวัดป่า
มะม่วง พูดถึงความสำคัญของวัดนี้ว่า พระมหาธรรมราชาลิไททรงนิมนต์สมเด็จพระสังฆราชจากเมืองพัน (บริเวณเมาะตะมะ ซึ่งเป็น
เมืองของมอญ) มาที่สุโขทัย มีพิธีการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ แล้วต่อมาพระองค์เองทรงออกผนวชเมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๐๕ และเสด็จ
มาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ กลุ่มโบราณสถานประกอบด้วยอุโบสถและเจดีย์ต่างๆ สิ่งโดดเด่นของวัดนี้คือ เสาสูง ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะ
เป็นเสาหงส์ตามแบบมอญ
วัดศรีโทล
วัดนี้มีมณฑปก่อขึ้นจากอิฐเป็นห้องสี่เหลี่ยมมีผนังหนา เพื่อรองรับส่วนบนที่เป็นหลังคาก่ออิฐมีน้ำหนักมาก ตัววิหารเดิมมีส่วนบน
เป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง เป็นสถานที่สำหรับสาธุชนเข้าไปใช้เพื่อนมัสการพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในมณฑป องค์ประกอบทั้งหมด
น่าจะเป็นการจำลองภาพสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ในพระคันธกุฎี หรือกุฎีส่วนพระองค์ในพระอารามแห่งใดแห่งหนึ่ง
โดยมีวิหารสำหรับเป็นสถานที่ให้สาธุชนใช้เป็นที่สักการะพระพุทธองค์ เป็นอาคารที่แยกสัดส่วนต่างหากจากพระคันธกุฎี
วัดศรีโทลเป็นที่จำพรรษาของพระมหาเถรผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฏกจากลังกา พระมหาเถรผู้นี้คือผู้ประพันธ์ข้อความสรรเสริญ
พระมหาธรรมราชาลิไท ที่ทรงผนวชเมื่อ พุทธศักราช ๑๙๐๕ ไว้ในศิลาจารึกหลักที่ ๔
วัดตึก
วัดนี้ไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารกล่าวถึงเลย คงมีแต่เฉพาะมณฑปปูนปั้นซึ่งเมื่อราว ๙๐กว่าปีที่แล้วยังสภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถ
หาดูได้จากภาพถ่ายเก่าในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ลวดลายปูนปั้นประดับอยู่บนผนังของมณฑป เล่าเรื่องพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เทวาลัยมหาเกษตร
ชื่อ “เทวาลัยมหาเกษตร” พบอยู่ในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ของพระมหาธรรมราชาลิไทซึ่งจารึกขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๐๕ กล่าวถึงพระมหาธรรมราชาลิไททรงประดิษฐานรูปพระอิศวรและรูปพระนารายณ์ไว้ที่เทวาลัยมหาเกษตรในป่ามะม่วงนี้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพวกดาบสและพราหมณ์ทั้งหลาย ตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๑๘๙๒
รูปพระอิศวรและพระนารายณ์ตามที่กล่าวนี้ เชื่อกันว่าตรงกับกลุ่มประติมากรรมลอยตัวเทวรูปสำริด นุ่งผ้าและสวมเครื่องประดับ
อย่างที่เรียกว่าทรงเครื่อง คือมีเครื่องประดับรัดต้นแขนและรัดเกล้า ปัจจุบันนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครและพิพิธภัณ
ฑสถานแห่งชาติรามคำแหง สุโขทัย
ตัวโบราณสถานที่ประดิษฐานเทวรูปเหล่านี้ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสผนังก่อด้วยอิฐ ทั้งผนังและเสามณฑปมีขนาดใหญ่
หันหน้าสู่ทิศตะวันออก
วัดเจดีย์งาม
ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณสุโขทัยด้านทิศตะวันตก ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ทางขึ้นวัดปูด้วยหินชนวน จากเชิงเขาด้านทิศตะวันออก
ไปจนถึงลานวัดบนภูเขา
กลุ่มโบราณสถานสำคัญประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงระฆังฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่ฐานชั้นล่างมีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้าน
ฐานพระวิหารก่อด้วยศิลาแลงปูด้วยหิน กุฏิสงฆ์สำหรับวิปัสสนาธรรมมีทั้งก่อด้วยอิฐและหิน สระน้ำขุดลงไปในศิลาแลง
วัดถ้ำหีบบน
ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ กลุ่มโบราณสถานสำคัญประกอบด้วย พระวิหารก่อด้วยศิลาแลง เจดีย์ทรงระฆัง กุฏิสงฆ์สำหรับ
วิปัสสนาธรรม ๒ แห่ง ก่อด้วยอิฐ
วัดถ้ำหีบล่าง
ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ใกล้กับวัดถ้ำหีบบน โบราณสถานมีลักษณะเด่นคือ ส่วนใหญ่สร้างด้วยหินและศิลาแลง เช่นเจดีย์ประธาน
ทรงระฆังก่อด้วยหิน พระวิหารก่อด้วยหิน ทางเดินปูด้วยหินจากเชิงเขาจนถึงลานวัด
วัดเขาพระบาทใหญ่
อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตก ตั้งอยู่บนเขาพระบาทใหญ่ติดกับสรีดภงส์ โบราณสถานประกอบด้วยซากวิหารก่อด้วยอิฐ
และหิน วัดเขาพระบาทใหญ่เคยเป็นที่ประดิษฐานรอบพระพุทธบาทจำลองเมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๐๒ ปัจจุบันนำมาประดิษฐานที่วัด
ตระพังทอง (ข้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง สุโขทัย)
สรีดภงส์
ทิศตะวันตกของเมืองโบราณสุโขทัย มีเทือกเขาประทักษ์ทอดตัวยาวเป็นฉากหลัง และเป็นพื้นที่รับน้ำที่สามารถรองรับน้ำฝน
ได้อีกด้วย จากความชาญฉลาดของคนสุโขทัยในอดีต จึงรู้จักสร้างคันดินกั้นน้ำขนาดใหญ่ในระหว่างหุบเขากิ่วอ้ายมาถึงเขา
พระบาทใหญ่ อันเป็นที่รวมของน้ำจากโซกต่างๆ ตามบริเวณหุบเขาถึง ๑๗ โซก เป็นคันดินสำหรับกักเก็บน้ำ ที่เชื่อกันมาแต่เดิมว่าคือ
สรีดภงส ที่กล่าวไว้ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ดังข้อความต่อไปนี้ “….เบื้องหัวนอนเมืองสุโขไทนี้ มีกุฏิ พิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส์ มีป่า
พร้าวป่าลาง มีป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขพุง ผีเทพดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ …”
น้ำจากสรีดภงส์ถูกระบายไปตามคลองเสาหอเพื่อเข้าไปใช้อุปโภคบริโภคในเมือง โดยระบายเข้าสู่เมืองตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้
เมื่อใช้สอยในเมืองแล้วก็ไหลออกไปลงน้ำแม่รำพัน ไหลรวมลงแม่น้ำยมต่อไป
(จำนวนผู้เข้าชม 2608 ครั้ง)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 กรมศิลปากร. กระทรวงวัฒนธรรม -
นโยบายเว็บไซต์
|
มาตรฐาน