...

องค์ความรู้ : วัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาวล้านนาไทย เรื่อง ตำนานช้างอารักษ์ พระธาตุเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่

สมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์มังราย ผู้เป็นรัชทายาทสืบพระราชสมบัติ ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าสามฝั่งแกนนั้นยังทรงพระเยาว์อยู่มาก พระมารดาของพระองค์ทรงพระนามว่า “พระนางติโลกจุฑาราชเทวี พระนางทรงทรงดำเนินการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ เป็นเวลา ๔ ปี เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๕๕ ในวันเพ็ญ เดือน ๑๐ สำเร็จเป็นเจดีย์โดยสมบูรณ์ พระนางติโลกจุฑาเทวีพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ สมณะ ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ร่วมทำพิธียกฉัตรยอดมหาเจดีย์อันสร้างด้วยทองคำหนัก ๘,๙๐๒ เสี้ยวคำ ทั้งเอาแก้วสามดวงชุมนุมกันใส่ยังยอดมหาเจดีย์นั้นไว้ ส่วนสูงนับแต่ธรณีถึงยอด ๓๙ วา มหายอดเจดีย์นั้นกว้าง ๒๐ วาในทุกด้าน  พระมหาเจดีย์ประดับไปด้วยซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน มีพระพุทธรูปใหญ่นั่งสมาธิ ทั้ง ๔ ด้าน มีรูปนาค ๘ ตัวๆ ๕ หัว อยู่ใน ๒ ข้างบันได มีราชสีห์ ๔ ตัว ยืนค้ำตีนชายปราสาท มีรูปช้างรอบพระธาตุเจดีย์หลวง ๒๘ เชือก

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๒ ตรงกับจุลศักราช ๘๔๐ ปีจอ พระเจ้าติโลกราช ทรงวางดินเป็นปฐมฤกษ์ โดยพระองค์โปรดให้ปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์หลวงจากแบบเดิมให้ใหญ่ขึ้น พระองค์ทรงโปรดให้หมื่นด้ำพร้าคต พร้อมด้วยคณะช่างเขียนไปถ่ายแบบโลหะปราสาท และรัตนมาลีเจดีย์ ณ เมืองลังกา ประเทศอินเดีย เพื่อดูพระเจดีย์ที่มีลักษณะรูปทรงงาม และมีลักษณะแปลกกว่าองค์อื่นๆ แล้วกลับมาปฏิสังขรณ์กุฏิมหาธาตุ หรือเจดีย์ลักษณะบุราคม คือเจดีย์หลวง กลางเวียงเมืองเชียงใหม่ ครั้นแล้วเสร็จทรงบรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งนำมาจากทวีปลังกา เพื่อมาไว้ในมหาสถูป แล้วหุ้มทองจังโกพระเจดีย์ โดยมีฐานกว้างประมาณด้านละ ๒๘ วา และสูงประมาณ ๔๕ วา มีพระพุทธรูปใหญ่สร้างด้วยปูนนั่งสมาธิอยู่ ณ โขงไม้มหาโพธิ์ อยู่ภายในซุ้มทั้งสี่ด้าน มีบันไดทั้งสี่ด้านเป็นรูปพญานาคอยู่ ๘ ตัวๆ ละ ๕ หัว มีราชสีห์ ๔ ตัว ยืนค้ำตีนชายประสาท มีรูปช้าง ๒๘ ตัวอยู่รอบๆ องค์พระเจดีย์ก่อสร้างแล้วเสร็จในปีพ.ศ. ๒๐๒๔ ตรงกับจุลศักราช ๘๔๓ นับเป็นเวลา ๓ ปี

นอกจากนี้พระเจ้าติโลกราช โปรดให้หมื่นด้ำพร้าคต สร้างพญาช้างทั้ง ๘ เชือกไว้ตุ้มตีนปราสาท และได้มีการตั้งชื่อให้เฉพาะ พร้อมสวาดธิยายมนต์ทั้งหลายใส่ แล้วใส่ยันตรเพทในหัวช้างทั้ง ๘ เชือก ซึ่งชื่อพญาช้างทั้ง ๘ เชือก ล้อมพระธาตุเจดีย์หลวง จะนับตามลำดับตั้งแต่พญาช้างเชือกแรกทางทิศอีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) ถือว่าเป็นชัยภูมิเมืองเชียงใหม่ แล้วเวียนมาตามทางทิศตะวันออก

การสร้างรูปปั้นพญาช้างที่อยู่ล้อมพระธาตุเจดีย์หลวง เพื่อเป็นการส่งเสริมกำลังเมืองในทางด้านไสยศาสตร์ทำให้บ้านเมืองมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น โดยทำพิธีบวงสรวงสักการะพญาช้างทั้ง ๘ เชือก เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะทำให้เกิดสวัสดิมงคล นำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง ศัตรูทั้งหลายไม่กล้าเข้ามารุกรานย่ำยีเมืองได้

สำหรับความหมายของชื่อพญาช้าง เป็นนามที่มีพลังอำนาจก่อเกิดเดชานุภาพ อิทธิฤทธิ์ ข่มขู่บดบัง ขวางกั้น กำจัด ปราบปรามอริราชศัตรูที่จะเข้ามารุกรานให้แพ้ภัยแตกพ่ายหนีไปเองมีความหมายดังต่อไปนี้

๑. เหตุที่พญาช้างชื่อ เมฆบังวันหรือ เมกฆะบังวันด้านทิศอีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นเพราะว่าหากได้บูชาพญาช้างเชือกนี้แล้ว เมื่อศัตรูยกพลเสนามารุกราน ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพระราชอาณาจักร ทั้ง ๔ ทิศ หรือ ๘ ทิศก็ตาม จะเกิดอาเพศท้องฟ้ามืดมิดด้วยเมฆหมอกปกคลุม ธรรมชาติวิปริตแปรปรวน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ทำให้ผู้รุกรานหวาดผวาภัยพิบัติตกใจกลัวแตกพ่ายหนีไป

๒. เหตุที่พญาช้างชื่อ ข่มพลแสน ด้านทิศอุดร (ทิศเหนือ) เป็นเพราะว่าหากได้บูชาพญาช้างเชือกนี้แล้ว เมื่อผู้รุกรานยกทัพเข้ามาใกล้ แม้จะมีพลโยธาทหารกล้าเรือนแสน ก็จะเกิดอาการมึนเมาลืมหลง ไม่อาจครองสติยับยั้งอยู่ได้ ต้องระส่ำระส่ายแตกพ่ายหนีไป

๓. เหตุที่พญาช้างชื่อ ดาบแสนด้ำ หรือ ดาบแสนด้าม ด้านทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) เป็นเพราะว่าหากได้บูชาพญาช้างเชือกนี้แล้ว เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีศาตรา มีด พร้า ด้ามคมเป็นแสนเล่มมาประจญ ก็ไม่อาจเข้าใกล้ทำร้ายได้ มีแต่จะเกิดความหวาดหวั่นขาดกลัวแตกพ่ายหนีไปหมดสิ้น

๔. เหตุที่พญาช้างชื่อ หอกแสนคัน หรือ หอกแสนลำ ด้านทิศประจิม (ทิศตะวันตก) เป็นเพราะว่าหากได้บูชาพญาช้างเชือกนี้แล้ว เมื่อข้าศึกศัตรู
ผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลกล้าหาญมากมาย มีศาสตราอันคมยาวหอกเป็นแสน ก็ไม่อาจเข้ามาราวีได้ จะต้องแตกพ่ายหนีไป

๕. เหตุที่พญาช้างชื่อ กอนแสนแหล้ง” หรือ ปืนแสนแหล้งด้านทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) เป็นเพราะว่าหากได้บูชาพญาช้างเชือกนี้แล้ว เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลจำนวนมากมีอาวุธปืน (โบราณเรียก ลูกศรว่าเป็น ปืน) เป็นแสนแล่ง (ซองบรรจุลูกศร) ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ จะต้องแตกพ่ายหนีไป

๖. เหตุที่พญาช้างชื่อ หน้าไม้แสนเกียง” (ออกเสียง หน้าไม้แสนเกี๋ยง) ด้านทิศทักษิณ (ทิศใต้) เป็นเพราะว่าหากได้บูชาพญาช้างเชือกนี้แล้ว เมื่อผู้รุกรานบุกรุกเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีหน้าไม้คันธนูเป็นแสนดอก ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายล่าถอยหนีไป

๗. เหตุที่พญาช้างชื่อ แสนเขื่อนค้านหรือ แสนเขื่อนกั้น” (ออกเสียง แสนเขื่อนก๊าน) ด้านทิศอาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) เป็นเพราะว่าหากได้บูชาพญาช้างเชือกนี้แล้ว เมื่อข้าศึกอาจหาญล้ำแดนเข้ามาล้อมถึงเมืองถึงแสนชั้น แม้ด้วยกองทัพช้างมีเป็นแสนเชือก ก็ไม่อาจหักหาญเข้ามาได้ จะเกิดอลหม่านแตกตื่นหนีไป

๘. เหตุที่พญาช้างชื่อ ไฟแสนเตาหรือ ไฟแสนเต๋าด้านทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) เป็นเพราะว่าหากได้บูชาพญาช้างเชือกนี้แล้ว เมื่อข้าศึกเข้ามาหมายย่ำยี ก่อไฟหุงหาอาหารเลี้ยงกันนับแสนเตา ก็จะเกิดอาการร้อนเร่าเหมือนเพลิงเผาผลาญรอบด้านด้วยความทุกข์ทรมานเลยแตกพ่ายหนีไป

จากตำนานเชียงใหม่ปางเดิมกล่าวถึง วิธีใช้อิทธิฤทธิ์ของช้างอารักษ์ดังกล่าวว่าหากข้าศึกมาถึงเมืองให้เจ้าเมืองและเสนาอำมาตย์ทั้งหลายเขียนชื่อช้างทั้ง ๘ เชือก และช้างเผือกหัวเวียงอีก ๒ เชือก พร้อมกับพญาราชสีห์สองตัวที่อยู่หัวเวียงใส่ ช่อ คือใส่ในธงสามเหลี่ยมไปบูชาที่ประตูเวียงทั้ง ๕ และที่แจ่ง (มุม) กลางเวียงทุกแห่งจะสามารถป้องกันข้าศึกได้

เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม

แหล่งอ้างอิง :
ธนจรรย์, พระครู.  เกร็ดประวัติวัดเจดีย์หลวง ฉบับสมโภช ๗๐๐ ปี นครเชียงใหม่.  เชียงใหม่: วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร. ๒๕๓๙.

นานาสาระ.  เชียงใหม่: ส.ทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๓๕. (อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระธรรมดิลก (ขันติ์ ขนติโก) ณ เมรุชั่วคราววัดสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ๔ มกราคม ๒๕๓๕)

ประชากิจกรจักร, พระยา (แช่ม บุนนาค).  พงศาวดารโยนก.  กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์, ๒๕๑๖.

ประชาสัมพันธ์ จังหวัดเชียงใหม่.  สมโภช ๖๐๐ ปี พระธาตุเจดีย์หลวง.  เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๓๘.

พระรัตนปัญญาเถระ.  ชินกาลมาลีปกรณ์.  แปลโดย แสง มนวิทูร.  พระนคร: กรมศิลปากร, ๒๕๐๑.

วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่.  ตำนานวัดเจดีย์หลวง และตำนานอินทขิล.  ม.ป.ท.: ม.ป.พ., ๒๕๒๓.

สมหมาย เปรมจิตต์ และคนอื่นๆ.  ตำนานเชียงใหม่ปางเดิม.  เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๓๖.

(จำนวนผู้เข้าชม 155 ครั้ง)


black ribbon.