หอกลอง หอส่งสัญญาณสำคัญกลางพระนคร
นับแต่การสถาปนากรุงศรีอยุธยา มีการสร้างบ้านแปลงเมือง ขุดคูเมือง สร้างกำแพง ป้อม ค่าย มีประตูเข้าออกโดยรอบกำแพงพระนคร มีผู้คนต่างบ้าน ต่างเมือง ต่างชาติ ต่างภาษา เข้ามาค้าติดต่อราชการ การค้าขาย อีกทั้งโดยตลอดวันยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ในสมัยที่การส่งข่าวสารต่างๆมิได้สะดวกรวดเร็วดังเช่นปัจจุบัน หอกลอง จึงทำหน้าที่สำคัญในการส่งสัญญาณบอกแก่ผู้คนในพระนครถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น โดยหอกลองของกรุงศรีอยุธยานั้น อยู่ในความดูแลของกรมพระนครบาล อยู่บริเวณตลาดหน้าคุก แถววัดเกตุ เป็นหอกลองสูง3ชั้น แขวนกลองขนาดต่างกันจำนวน3 ใบ
ภาพ : วัดเกตุ จาก https://www.bloggang.com/m/mainblog.php…
ชั้นล่างสุดนั้นเป็นกลองมีชื่อว่า พระทิวาราตรี เป็นกลองใบใหญ่สุดในจำนวนกลอง3ใบ ใช้ตีเวลาย่ำเที่ยง ย่ำสันนิบาต เวลาย่ำรุ่ง(ตอนเช้า) ย่ำค่ำ (ตอนเย็น) เป็นการตีสัญญาณบอกเวลาเป็นประจำทุกวัน
ชั้นกลางแขวนกลอง มีชื่อว่าพระมหาระงับดับเพลิง ตีเฉพาะเมื่อเกิดเหตุเพลิงใหม้ หากเกิดเพลิงไหม้นอกพระนครนับแต่ตลิ่งแม่น้ำออกไปด้านนอกคาดกลองเป็นสัญญาณ 3 ครั้ง แต่หากเพลิงนั้นเกิดไหม้ในเกาะพระนคร อันเป็นที่มีสถานที่สำคัญทั้งพระราชวัง วัด ตลาด บ้านเรือนราษฎร จะเกิดเพลิงลุกลามไวทำให้ต้องคาดกลองตลอดจนกว่าจะดับเพลิงได้
ชั้นบนสุด แขวนกลองมีชื่อว่า พระมหาฤกษ์ หากได้ยินเสียงกลองใบนี้ เป็นอันว่าคงต้องเตรียมตัวโดยเร่งด่วนเพราะจะคาดกลองนี้ก็ต่อเมื่อมีศึกมาประชิดติดพระนครเท่านั้น เมื่อเป็นหอกระจายสัญญาณสำคัญของพระนครย่อมต้องมีการดูแลเข้มงวดแต่มักเกิดปัญหาด้วยสัตว์ตัวน้อยคือมุสิกะ(หนู)ชอบกัดหนังหน้ากลองให้ได้รับความเสียหาย ในแต่ละวันเจ้าพนักงานพระนครบาลผู้ดูแลหอกลองจึงต้องเรี่ยไรเก็บเงินจากร้านค้าตลาดหน้าคุกร้านละ 5 เบี้ย เพื่อนำมาซื้อปลาย่างเลี้ยงวิฬาร์ (แมว) ไว้คอยกัดหนู ถึงแม้ปัจจุบันจุบันหอกลองนั้นจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แต่ก็ยังคงสะท้อนถึงวิถีชีวิตผู้คนในอดีตที่ล่วงมาแล้ว
เรียบเรียงโดย นายปวิตร ใจเสงี่ยม นักวิชาการวัฒนธรรม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ภาพ : วัดเกตุ จาก https://www.bloggang.com/m/mainblog.php…
ชั้นล่างสุดนั้นเป็นกลองมีชื่อว่า พระทิวาราตรี เป็นกลองใบใหญ่สุดในจำนวนกลอง3ใบ ใช้ตีเวลาย่ำเที่ยง ย่ำสันนิบาต เวลาย่ำรุ่ง(ตอนเช้า) ย่ำค่ำ (ตอนเย็น) เป็นการตีสัญญาณบอกเวลาเป็นประจำทุกวัน
ชั้นกลางแขวนกลอง มีชื่อว่าพระมหาระงับดับเพลิง ตีเฉพาะเมื่อเกิดเหตุเพลิงใหม้ หากเกิดเพลิงไหม้นอกพระนครนับแต่ตลิ่งแม่น้ำออกไปด้านนอกคาดกลองเป็นสัญญาณ 3 ครั้ง แต่หากเพลิงนั้นเกิดไหม้ในเกาะพระนคร อันเป็นที่มีสถานที่สำคัญทั้งพระราชวัง วัด ตลาด บ้านเรือนราษฎร จะเกิดเพลิงลุกลามไวทำให้ต้องคาดกลองตลอดจนกว่าจะดับเพลิงได้
ชั้นบนสุด แขวนกลองมีชื่อว่า พระมหาฤกษ์ หากได้ยินเสียงกลองใบนี้ เป็นอันว่าคงต้องเตรียมตัวโดยเร่งด่วนเพราะจะคาดกลองนี้ก็ต่อเมื่อมีศึกมาประชิดติดพระนครเท่านั้น เมื่อเป็นหอกระจายสัญญาณสำคัญของพระนครย่อมต้องมีการดูแลเข้มงวดแต่มักเกิดปัญหาด้วยสัตว์ตัวน้อยคือมุสิกะ(หนู)ชอบกัดหนังหน้ากลองให้ได้รับความเสียหาย ในแต่ละวันเจ้าพนักงานพระนครบาลผู้ดูแลหอกลองจึงต้องเรี่ยไรเก็บเงินจากร้านค้าตลาดหน้าคุกร้านละ 5 เบี้ย เพื่อนำมาซื้อปลาย่างเลี้ยงวิฬาร์ (แมว) ไว้คอยกัดหนู ถึงแม้ปัจจุบันจุบันหอกลองนั้นจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แต่ก็ยังคงสะท้อนถึงวิถีชีวิตผู้คนในอดีตที่ล่วงมาแล้ว
เรียบเรียงโดย นายปวิตร ใจเสงี่ยม นักวิชาการวัฒนธรรม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
(จำนวนผู้เข้าชม 11367 ครั้ง)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 กรมศิลปากร. กระทรวงวัฒนธรรม
-
นโยบายเว็บไซต์ |
มาตรฐาน