ราชบุรีก็มีพระราชวังบนเขา
จากตัวเมืองจังหวัดราชบุรีไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๓ กิโลเมตร มีเขาย่อมๆ ลูกหนึ่ง ชื่อเขา“สัตนารถ” หรือ “สัตตนารถ” (มาจาก สตฺต + นาถ = สตฺตนาถ > สัตตนารถ อ่านว่า สัด-ตะ-หฺนาด แปลว่า “ที่พึ่งของสัตว์”) หรือที่ชาวเมืองราชบุรีเรียกกันว่า “เขาวัง” เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างพระราชวังไว้บนเขาลูกนี้
เดิมบนเขาสัตนารถเป็นวัด มีโบสถ์ ศาลา พระเจดีย์องค์หนึ่งและวิหารพุทธไสยาสน์อยู่เชิงเขาด้านตะวันออก ซึ่งเขานี้ปรากฏชื่อในพระราชนิพนธ์ ลิลิตเสด็จไปขัดทัพพม่าเมืองกาญจนบุรี โดยในลิลิตฯ บรรยายถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่กรมหมื่นศักดิพลเสพได้เสด็จยกทัพไปขัดทัพพม่าที่เมืองกาญจนบุรี ปี ๒๓๖๓ ขณะประทับอยู่ที่เมืองราชบุรีนั้นเกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้นในค่าย พระองค์จึงทรงนำเหล่าทหารไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญตามสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองราชบุรี หนึ่งในนั้น คือ พระประทมบนเขาสัตนารถ ซึ่งการเสด็จไปนมัสการพระประทมในครั้งนั้น ยังเรียกเขานี้ว่า เขาสัตนารถและยังมีวิหารครอบพระประทมอยู่ ดังความในลิลิตฯว่า
“...รุ่งขึ้นบ่ายลมตก ชวนกันยกไปบนเขา สัตนารถเนาวิหาร นมัสการพระประทม ปักธงลมอุทิศถวาย ห้อยเรียวปลายจระเข้ ต้องลมเร่ปลิวสะบัด ดูโสมนัสน่าศรัทธา...”
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระราชวังที่เขาลูกนี้ เนื่องจากพระองค์เคยเสด็จประพาสเขาสัตนารถนี้เมื่อปี ๒๔๑๔ และทรงเห็นว่าพอจะเป็นวังได้ จึงทรงคิดขอแลกเปลี่ยนสร้างวัดขึ้นใหม่ ๑ วัดบริเวณริมน้ำให้พระสงฆ์อยู่ได้ เพราะเห็นว่าถ้าวัดจะอยู่บนเขา ไกลบ้านเรือนราษฎร พระสงฆ์ก็ไม่มีใครมาอยู่ จึงทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์งาม วัดร้างซึ่งอยู่ใกล้กับทำเนียบสมุหเทศาภิบาลทางทิศใต้ในขณะนั้น และโปรดให้ชะลอพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ซึ่งเป็นพระพุทธรูปก่อด้วยอิฐจากวัดเดิมมาประดิษฐานด้วย พระราชทานนามวัดว่า “วัดสัตนารถปริวัตร”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์และเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี นายงานเมืองเพชรบุรีซึ่งเคยอำนวยการสร้างพระราชวังบนพระนครคีรี มาดำเนินการสร้างพระราชวังบนเขาสัตนารถ โดยใช้ดินระเบิดทลายยอดเขาเพื่อปรับระดับพื้นให้เรียบต่ำกว่าระดับเดิม ๙ เมตร ทำทางขึ้นเป็น ๒ ทาง ที่เชิงเขาด้านตะวันออกมีโรงทหารรักษาพระองค์ ๑ โรง ส่วนอีกฟากหนึ่งมีโรงรถม้า ตรงทางสองแพร่งมีกระโจมสำหรับทหารยามรักษาการณ์ ต่อขึ้นไปตรงทางลัดมีโรงทหารมหาดเล็กสร้างเป็นแถวยาวหลังหนึ่ง เหนือขึ้นไปเป็นทิมดาบตำรวจอยู่ตรงหน้าท้องพระโรง ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ต่อจากท้องพระโรงเข้าไปเป็นพระที่นั่งเป็นอาคารชั้นเดียว มีสองหลังเรียงกันตามแนวยาว หลังหน้าเป็นท้องพระโรง หลังในเป็นที่ประทับ ที่มุมพระที่นั่งทั้งสองมีห้องแบ่งย่อยออกไปจำนวน ๘ ห้อง พระที่นั่งทั้งสองหลังนี้เชื่อมติดต่อกัน โดยมีทางเดินเชื่อมถึงกันตลอด
พระราชวังบนเขาสัตนารถนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวมิได้พระราชทานนามให้ พระองค์เคยเสด็จประทับและใช้เป็นสถานที่รับราชทูตโปรตุเกสที่เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์น เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยครั้งนั้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ได้กราบบังคมทูลขอให้เสด็จออกรับราชทูตโปรตุเกสที่พระราชวังแห่งนี้ เพื่อจะได้เป็นเกียรติยศเหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จออกรับเชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศสที่เมืองลพบุรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า พระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่นี้ พอที่จะรับแขกเมืองได้ เนื่องจากมีท้องพระโรงที่ใหญ่โตพอสมควร จึงโปรดเกล้าฯให้เตรียมรับราชทูตโปรตุเกส เหมือนรับรองราชทูตที่กรุงเทพฯ ทุกประการ ตามความในพระราชนิพนธ์ ระยะทางเสด็จประพาสไทรโยคฯเมื่อปี ๒๔๒๐ ดังนี้
“...เรามาเห็นที่ก็เห็นว่าสมควรพอจะรับแขกเมืองได้ ดูเหมือนจะกว้างกว่าท้องพระโรง ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้ารับเซฟเวลเลีย เดอโชมอนด์ แต่ก่อนเสียอีก แล้วเมืองโปรตุคอลนี้ ก็เป็นพระราชไมตรีกับกรุงสยามช้านาน ...ครั้งนี้รับโปรตุเกสที่เมืองราชบุรีก็เห็นพอจะได้เป็นการดีอยู่ จึงได้ตระเตรียมการที่จะรับให้ได้ เต็มตำราทุกอย่าง มิให้ขาดเหลือ ตามแบบอย่างเช่นรับที่กรุงเทพฯ...”
พระราชวังที่เมืองราชบุรีแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประทับเพียงครั้งเดียว หลังจากเสด็จประทับรับราชทูตโปรตุเกสแล้วก็มิได้เสด็จประทับอีกเลย เนื่องจากทรงมีที่ประทับที่อื่น ๆ เช่น พระราชวังบางปะอิน อีกทั้งพระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาก็มิได้เสด็จประทับ ดังหลักฐานใน “สมุดราชบุรี ปี ๒๔๖๘” ที่ระบุว่า พระราชวังชำรุดทรุดโทรมมาก และมิได้ใช้เป็นที่ประทับอีกแล้ว พระราชวังจึงถูกทิ้งให้รกร้าง มีสภาพเป็นป่ารกชัฏมิได้มีการซ่อมแซม จนกระทั่งพระครูภาวนานิเทศได้เดินทางมาปฏิบัติธุดงควัตร ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมพร้อมกับบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ต่อมาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี ๒๔๗๓ และตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า “วัดเขาวัง” สิ่งก่อสร้างสำคัญเมื่อครั้งเป็นพระราชวัง ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ กระโจมทหารรักษาการณ์ โรงทหารมหาดเล็ก ทิมดาบตำรวจ และตึกท้องพระโรง สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่ายิ่งต่อการศึกษา เรียนรู้ และทำให้ชาวเมืองราชบุรีเกิดภาคภูมิใจว่า จังหวัดราชบุรีก็มีพระราชวังที่ตั้งอยู่บนเขา
เรียบเรียงโดย ปราจิน เครือจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
เอกสารอ้างอิง
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ,พระเจ้าบรมวงศ์เธอ.ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๖ (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์โสภณ พิพรรฒธนากร,๒๔๖๖.
พระราชนิพนธ์ระยะทางเสด็จประพาสไทรโยคในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๓๙ (พ.ศ.๒๔๒๐)
พระบวรราชนิพนธ์ เล่ม ๑ พิมพ์ครั้งที่ ๕ (กรุงเทพฯ:สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์,กรมศิลปากร,๒๕๔๗)
แหล่งโบราณคดีและโบราณสถานจังหวัดราชบุรี ฝ่ายวิชาการ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ ๑ ราชบุรี.
สมุดราชบุรี ๒๔๖๘, กรุงเทพฯ : สมาคมมิตรภาพญี่ปุ่น - ไทย ด้วยความร่วมมือของสถาบันจักรวาลวิทยา, ๒๕๕๐.
ข้อมูลออนไลน์ https ://dhamtara.com
พระราชนิพนธ์ระยะทางเสด็จประพาสไทรโยคในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๓๙ (พ.ศ.๒๔๒๐)
พระบวรราชนิพนธ์ เล่ม ๑ พิมพ์ครั้งที่ ๕ (กรุงเทพฯ:สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์,กรมศิลปากร,๒๕๔๗)
แหล่งโบราณคดีและโบราณสถานจังหวัดราชบุรี ฝ่ายวิชาการ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ ๑ ราชบุรี.
สมุดราชบุรี ๒๔๖๘, กรุงเทพฯ : สมาคมมิตรภาพญี่ปุ่น - ไทย ด้วยความร่วมมือของสถาบันจักรวาลวิทยา, ๒๕๕๐.
ข้อมูลออนไลน์ https ://dhamtara.com
ดาวน์โหลดไฟล์: ราชบุรีก็มีพระราชวังบนเขา.pdf
ตัวอย่างไฟล์แนบ PDF:
(จำนวนผู้เข้าชม 1989 ครั้ง)