เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๘๘ กลุ่มแสนคร้าว ซึ่งเป็นขุนนางเชียงใหม่ก่อรัฐประหารและปลงพระชนม์พระเมืองเกษเกล้าแล้ว กลุ่มแสนคร้าว ได้ไปทูลเชิญพระเขมรัฐราช เจ้าฟ้านครเชียงตุงให้มาครองอาณาจักรล้านนา แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ ต่อมาจึงไปเชิญเจ้าฟ้าเมืองนาย โดยคราวนี้เจ้าฟ้าเมืองนายทรงตอบรับที่จะมาครองอาณาจักรล้านนา แต่ระหว่างที่เจ้าฟ้าเมืองนายยังไม่มานั้น
ส่วนทางกลุ่มเชียงแสน ประกอบไปด้วย เจ้าหมื่นสามล้าน เจ้าเมืองเชียงแสน เจ้าเมืองเชียงราย เจ้าเมืองลำปาง และเจ้าเมืองพาน เป็นต้น ได้ไปทูลเชิญพระโพธิสาลราชแห่งล้านช้าง พระองค์ทรงตอบรับจะมาครองอาณาจักรล้านนาเช่นเดียวกัน
ในขณะที่กลุ่มหมื่นหัวเคียนเมืองแสนหวี ได้สู้รบกับทางกลุ่มแสนคร้าวเป็นเวลาสามวันสามคืน แต่ไม่สามารถต้านทานและพ่ายแพ้หนีถอยหนีไปตั้งรับอยู่ลำพูน พร้อมกับส่งทูตไปรายงานกับทางกรุงศรีอยุธยาให้ยกทัพขึ้นมายึดเมืองเชียงใหม่ จึงเป็นเหตุทำให้สมเด็จพระไชยราชาธิราช เสด็จยกทัพขึ้นมายังเมืองเชียงใหม่ แต่ยังไม่ทันมาถึงกลุ่มเชียงแสนสามารถปราบกลุ่มแสนคร้าวและพวกที่ร่วมกันปลงพระชนม์พระเมืองเกษเกล้า โดยนำกลุ่มดังกล่าวไปรับโทษจนหมดสิ้น
พระนางจิรประภาเทวี ในฐานะพระอัครมเหสีพระเมืองเกษเกล้า และเป็นพระราชมารดาท้าวซายคำ โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเชียงแสนให้ขึ้นเป็นพระมหากษัตรีย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๕ ในราชวงศ์มังราย ตรงกับปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๐๘๘ เดือน ๑๐ แรม ๒ ค่ำ เม็งวันพฤหัสบดี ปีขาล
สมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์อยุธยา รัชกาลที่ ๑๓ แห่งอาณาจักรอยุธยา ทรงจัดทัพอยุธยาขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่ โดยมาตั้งทัพบริเวณวัดยางกวง (เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ วัน ๗ ปีมะโรง) จังหวัดเชียงใหม่ พระนางจิรประภามหาเทวี ทรงเล็งเห็นถึงความสูญเสียถ้าหากว่าทัพเชียงใหม่จะต่อสู้คงจะไม่สามารถต้านทานได้ไหว เนื่องจากกองทัพอยุธยามีแสนยานุภาพมากกว่า พระนางจิรประภามหาเทวี จึงใช้ยุทธวิธีทางเจริญสัมพันธ์ไมตรีทางการทูต นำบรรณาการถวายการต้อนรับสมเด็จพระไชยราชาธิราชโดยทางพระราชไมตรี พร้อมทูลเชิญเข้าร่วมเคารพพระบรมอัฐิของพระราชบิดาที่วัดโลกโมฬี ทางสมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงร่วมทำบุญ โดยพระราชทานเงินไว้สร้างกู่ ๕,๐๐๐ บาท กับผ้าทรงผืนหนึ่ง พร้อมกับพระราชทานบำเหน็จขุนศึกนายกองที่ยกทัพขึ้นมาช่วยในครั้งนี้ ต่อมาจึงทูลเชิญให้สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงประทับในเวียงเจ็ดลิน ตรงกับเดือน ๑๐ แรม ๗ ค่ำ ซึ่งเป็นพระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่ที่เชิงดอยสุเทพ ปัจจุบันอยู่ตรงบริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพเชียงใหม่ ศูนย์ธรรมชาติวิทยาดอยสุเทพเฉลิมพระเกียรติฯ และสวนสัตว์เชียงใหม่ หลังจากนั้น เดือน ๑๐ แรม ๑๒ ค่ำสมเด็จพระไชยราชาธิราช พักพลที่สบกวงใต้เมืองลำพูน (ปากน้ำลำพูน) สันนิษฐานว่าน่าจะตรงบริเวณจุดบรรจบแม่น้ำกวงกับแม่น้ำปิง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน แล้วเสด็จนิวัติกรุงศรีอยุธยา
จากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๘๘ - ๘๙ กล่าวว่า “ยามนั้น พระยาใต้สมเด็จพระไชยราชาธิราช นำรี้พลมาถึงเชียงใหม่แล้ว ตั้งทัพอยู่ทุ่งหนองผา บริเวณตะวันออกสวนลาน พระนางจิรประภามหาเทวีจึงแต่งให้ขุนนางผู้ใหญ่เอาบรรณาการไปถวาย เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ วัน ๗ ปีมะโรง มาตั้งทัพที่เวียงรั้วน่าง แรม ๖ ค่ำ บำเพ็ญพระราชกุศลแด่พระเมืองเกษเกล้าที่เจดีย์ บรรจุอัฐิวัดโลกโมฬี พระยาใต้บรมไตรจักรได้ทรงบริจาคเงิน ๕,๐๐๐ บาท สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิพระเกษเกล้ากับผ้าทรงผืน ๑ กับ ให้รางวัลแก่ขุนนางเสนาบดีที่ไปถวายการต้อนรับครบทุกคน”
“เดือน ๑๐ แรม ๗ ค่ำ พระยาใต้สรงเสพยังเจ็ดลิน เดือนแรม ๑๒ ค่ำ วันอาทิตย์ยามกลองรุ่ง (ยามเช้า) พระยาใต้เสด็จกลับ ประทับแรมที่สบกวง เสด็จกลับโดยลำดับตราบถึงอยุธยาแล”
เถ้าเมืองนายฟ้ายองห้วย (เจ้าฟ้าไทใหญ่แห่งเมืองยองห้วย) ทราบว่าทางกลุ่มแสนคร้าวได้ถูกปราบจนหมดสิ้นแล้ว พระองค์ทรงยกทัพเข้ามาประชิดยังดินแดนล้านนา ตรงกับ เดือน ๑๑ แรม ๓ ค่ำ พระนางจิรประภามหาเทวี ขอพระราชทานกับทางฝ่ายพระเจ้าโพธิสาลราช พระมหากษัตริย์แห่งล้านช้าง และทัพของทางล้านช้างเข้ามาช่วยกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ พระองค์ทรงโปรดโปรดฯ ให้พระยากลาง ซึ่งมีฐานะเป็นลุงของพระเป็นเจ้าอุปโยวราช และพระยาสุนหรือพระยาซุน (พระยาอรชุน) นำทัพไปช่วยล้านนาร่วมรบกับเจ้าฟ้าเมืองนายจนทางฝ่ายเมืองนายถอยทัพกลับไป ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจและความวิตกให้กับสมเด็จพระไชยราชาธิราช จึงเป็นเหตุทำให้เสด็จนำทัพอยุธยาขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง ในปี พ.ศ. ๒๐๘๙ เนื่องจากทรงพิจารณาเห็นว่าถ้าหากอาณาจักรล้านช้างเข้ามาปกครองและแผ่ขยายอำนาจในอาณาจักรล้านนา จะเป็นภัยกับกรุงศรีอยุธยาเพราะถูกกระหนาบหลายด้าน จากอาณาจักรที่เข้มแข็งหลายอาณาจักร ในครั้งนี้ทางฝ่ายเมืองเชียงใหม่พยายามขอเจราจาเป็นไมตรีกับทางฝ่ายอยุธยาอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ
จากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๘๙ “...สมเด็จพระไชยราชาธิราช ให้หมื่นสุโขทัยเอาเรือบรรทุกเครื่องศึก (ทหารและอาวุธ) ขึ้นมาทางน้ำมาถึงลำพูนเดือน ๓ แรม ๑๒ ค่ำ เม็งวันพฤหัสบดี ปีเถาะ...”
“...เดือน ๕ ออกค่ำ ๑ วันศุกร์ พระยาใต้หมื่นศรีมหาเทส ๑ พันเทพมณเทียร ๑ เอาบรรณาการมา ถวายพระเป็นเจ้าแม่ลูกทั้ง ๒ อ่อนน้อม ออก ๒ ค่ำ วันเสาร์ เจรจาความเมืองยังไม่เสร็จ...”
กองทัพล้านนาได้ทำการตั้งรับกองทัพอยุธยาอย่างเข้มแข็ง อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรล้านช้าง ในส่วนของสมเด็จพระไชยราชาธิราชให้พระยาสุโขทัยนำทัพหน้าพร้อมกับอาวุธเดินทางมาตั้งทัพรออยู่ที่ปากน้ำลำพูน และสามารถตีลำพูนได้
สมเด็จพระไชยราชาธิราชได้จึงยกกองทัพออกมาตั้งอยู่นอกเมือง และทรงตัดสินพระทัยยกทัพกลับไปตั้งรับเมืองกำแพงเพชร โดยให้กองทัพของพระยาสุโขทัย กองทัพพระยากำแพงเพชร และกองทัพพระยาพิจิตร อยู่ทำศึกกับกองทัพล้านนา หลังจากนั้นพระเจ้าโพธิสาลราชยกกองทัพมาช่วยแม่ทัพเมืองเหนือ สามารถป้องกันเมืองได้สำเร็จ กรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายถอยทัพกลับลงไป พระยาสุโขทัยพ่ายแต่หนี พระยากำแพงเพชรและพระยาพิจิตรตายในที่รบ ทหารฝ่ายล้านนาและล้านช้างตามตีจนสุดแดนได้อาวุธยุทโธปกรณ์ ช้าง ม้า และเชลยศึกจำนวนมาก ซึ่งสงครามครั้งนี้ทำให้เกิดการสูญเสียเป็นอย่างมาก ส่วนสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จนิวัติกรุงศรีอยุธยา
จากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๙๐ “... พระยาใต้ถอยทัพหนี แต่ให้กำลังส่วนหนึ่งตั้งอยู่เป็นกองระวังหลัง วัน ๑๑ ค่ำ จึงถอยหนีทั้งหมด เจ้าขุนทั้งหลาย ทั้งทะแกล้วทหารหาญออกไล่ตีข้าศึกถึงเชียงเคิ่งยึดได้ม้า ๓๐ ตัว ฆ่าข้าศึกตายมาก จับเป็นได้ก็มากนัก พระยาใต้หนีทัพกลับทางเมืองลี้ม่วงป้อม ถึงห้วยหาด เจ้าเมืองน่านชื่อยี่มังคละ และหมื่นควรกับชาวนคร หมื่นน้อยเชียงเลือกไล่ทันได้รบชาวใต้ไล่ตกห้วยหาดตายมากนัก ได้ช้าง ๔ เชือก หมื่นกำแพงเพชร หมื่นจิตรชาวใต้ตายด้วย ชาวใต้หนีกลับไปทางน้ำ ๓ หมื่น หมื่นดางประตูหอ หมื่นแช่หน่อคำ ทั้งทหารหาญไล่ตาม ตีได้ฆ่าขุนภูริปัญญาเฒ่าตาย ขุนจอมราชมณเฑียรบาลตาย พลเดินเท้าตายหมื่นกว่า ทิ้งเรือชานาวาไว้ ๓ พันลำ ก็มีวันนั้นแล”
หลังเสร็จศึกสงครามกรุงศรีอยุธยาแล้ว ทางอาณาจักรล้านช้างมีบทบาทสำคัญต่อการรวมอาณาจักรอาณาจักรล้านนากับล้านช้างไว้ด้วยกัน จากนั้นขุนนางล้านนา จึงทูลเชิญและถวายราชสมบัติแด่พระเป็นเจ้าอุปโยวราช จากอาณาจักรล้านช้าง มาราชาภิเษกเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เป็นโอรสองค์โตของพระเจ้าโพธิสาลราช เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๖ ในราชวงศ์มังราย พร้อมทั้งอภิเษกพระราชธิดา ๒ องค์ จากคำว่าพระราชธิดา ๒ องค์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเป็นพระราชธิดาของท้าวซายคำ และเป็นพระราชนัดดาของพระนางจิรประภามหาเทวี เหมือนกับเหตุการณ์ตอนนำเอาบรรณาการมาทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระไชยราชาธิราช ซึ่งในครั้งนั้นการเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ “...เอาบรรณาการมา ถวายพระเป็นเจ้าแม่ลูกทั้ง ๒ อ่อนน้อม...เจรจาความเมืองยังไม่เสร็จ...”
จากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๙๐ “ถึงปีมะเมีย จุลศักราช ๙๐๘ (พ.ศ. ๒๐๘๙) เดือน ๙ ออก ๑๐ ค่ำ วันเสาร์ ไทปีจอ พระเป็นเจ้าอุปโยวราช (พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช) เสด็จจากเมืองลานช้างมาถึงเชียงแสน...” เดือน ๑๐ แรม ๖ ค่ำ วันพฤหัสบดี ไทปีชวด “...พร้อมกันเอาเครื่องราชูปโภคและฉัตรพัดยวดยาน ช้าง ม้า หอกดาบ เครื่องแห่เครื่องแหนทั้งมวล ออกไพต้อนรับเอาพระยาอุปปโย อังคาสอัญเชิญเข้ามาถึงประตูโขงวัดเชียงยืน...ถึงเดือน ๑๑ ออก ๔ ค่ำ วันพุธ ไทปีกุน ฤกษ์ ๒๖ ตัว ยามเที่ยงวัน เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย พร้อมกันกระทำมงคลอุสสาราชาภิเษก พระราชอุปโยเป็นพระยาเมืองพิงค์เชียงใหม่ที่สวนแหร่ นั่งแท่นแก้วโรงหลวง กับพระราชธิดาทั้ง ๒ คือ พระองค์ทิพย์เป็นอัครมเหสี และพระองค์คำผู้เป็นน้อง...”
และจากพงศาวดารโยนก หน้า ๓๘๗ “ครั้นถึง ณ วันพุธ เดือน ๑๑ ขึ้น ๔ ค่ำ ได้ฤกษ์ ๒๖ ยามเที่ยงวัน สรงมุรธาภิเษก ณ สวนแร แล้วอภิเษกราชธิดาทั้งสองของ พระเจ้าเชียงใหม่ คือพระนางตนทิพและพระนางตนคำ ตั้งไว้ในที่เป็นอัครมเหสีฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย”
ปี พ.ศ. ๒๐๙๐ พระยาโพธิสาลราช พระราชบิดาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช สวรรคตจากอุบัติเหตุในการคล้องช้างป่า (โขลงช้างเถื่อน) เข้าทำร้ายและล้มทับ ซึ่งช้างพระที่นั่งไม่สามารถทานกำลังช้างป่าได้ เป็นเหตุทำให้ทางสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เสด็จนิวัติไปขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช ทรงปกครองอาณาจักรล้านนาระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๘๙ – ๒๐๙๐ เป็นเวลา ๒ ปี ทั้งนี้ในการเสด็จนิวัติของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชในครั้งนี้สันนิษฐานว่าพระนางจิรประภามหาเทวี ตามเสด็จไปประทับในนครหลวงพระบางด้วย
จากพงศาวดารล้านช้าง หน้า ๒๖ “...พระโพธิสาราชคืนจากลานนาได้ ๓ ปี แต่ชาติมาได้ ๔๒ ปี ถึงอนิจกรรม เหตุอันท่านขี่ช้างแม่ช้างโขลงช้างเถื่อนแลล้มทับคนตายในสนามห้วยอดนครกลางเมืองชวานั้น ในปีเมืองเม็ดศักราชได้ ๙๐๙ ตัวนั้นแล...”
และจากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๙๑ “ถึงจุลศักราช ๙๐๙ (พ.ศ. ๒๐๙๐) ปีมะเมีย เดือน ๑๒ ออก ๕ ค่ำพระเป็นเจ้าอุปโยวราชเสด็จกลับเมืองล้านช้าง”
ปี พ.ศ. ๒๐๙๑ สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เสด็จนิวัติไปขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญจากเมืองเชียงใหม่ไปไว้ยังนครหลวงพระบาง ได้เเก่ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระแก้วขาว พระแทรกคำ พระพุทธสิหิงค์ และพระอื่นๆ ไปประดิษฐานที่นครหลวงพระบาง และนครเวียงจันท์ตามลำดับ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๐๙๔ สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชมิได้เสด็จนิวัตกลับมายังล้านนาอีกเลยตลอดปลายพระชนม์ชีพ
จากพงศาวดารโยนก หน้า ๓๘๘ - ๓๘๙ “...แต่การที่จะละเมืองนครเชียงใหม่ไปนั้น ก็มุ่งหมายจะได้สืบสันตติวงศ์ดำรงรัฐในล้านข้าง ไม่คิดว่าจะได้กลับคืนมาเมืองเชียงใหม่อีก จึงได้เก็บรวบรวมสรรพของวิเศษต่างๆ ในเมืองนครพิงค์เชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่พอพระทัยเอาไปเสียด้วย คือได้เชิญเอาพระมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตและพระจันทรรัตนแก้วชาวกรุงละโว้ (น่าจะเป็นพระพุทธบุศยรัตนกระมัง) พระพุทธสิหิงค์ พระแทรกคำและพระอื่นๆ พาไป เมืองนครหลวงพระบาง ได้เสด็จออกจากเมืองนครเชียงใหม่ไป เมื่อ ณ วันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เหนือ คือเดือน ๑๐ จุลศักราช ๙๑๐ ปีวอก สัมฤทธิศก...”
และจากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๙๑ “ถึงปีกุน จุลศักราช ๙๑๓ (พ.ศ. ๒๐๙๔) เดือน ๘ พระเป็นเจ้าอุปโยวราช (พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช) ใช้ให้เอาธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้เทียนเงินเทียนทอง มาขอขมาคารวะพระธรรมและสังฆเจ้า แล้วบอกว่า ไม่มาแล้ว ขอมอบบ้าน เวนเมืองเชียงใหม่ทั้งมวลแก่มหาเทวีดังเดิม”
หลักฐานจากศิลาจารึก ชม. ๗ วัดเชียงสา จังหวัดเชียงราย พ.ศ. ๒๐๙๖ เป็นแผ่นหินทรายสีแดงภาษาที่ใช้จารึกเป็นตัวอักษรฝักขาม ตัวอักษรสมัยพ่อขุนรามคำแหงที่แพร่ขยายจากสุโขทัยขึ้นไปยังล้านนาช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จากข้อความในจารึกระบุ “... สมเด็จพระไชยราชาธิราช องค์เสวยราชย์ทั้ง ๒ แผ่นดินล้านช้าง - ล้านนา ได้ถวายที่ดินและข้าวัดแด่วัดเชียงสา ที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๐๙๖...”
จารึกนี้แสดงให้ว่าพระองค์ได้เป็นกษัตริย์ทั้งสองแผ่นดิน คือ ล้านช้าง - ล้านนาอยู่ แต่ในความเป็นจริงทางล้านนาไม่ถือว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากเหล่าขุนนางในเชียงใหม่เห็นว่าพระองค์คงไม่ได้เสด็จนิวัติมายังเชียงใหม่อีกแล้ว และได้ไปทูลเชิญพระเมกุฏิสุทธิวงศ์ จากเมืองนายให้มาเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาพระองค์ที่ ๑๗ ในราชวงศ์มังราย เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๙๔ แล้ว
จากตำนานเมืองเชียงใหม่ หน้า ๙๔ “เสนาอำมาตย์ทั้งหลายรู้ว่าท้าวอุปโยไม่คืนมาแล้ว จึงใช้ให้คนไปเชิญเอาเจ้าท้าวแม่กุอันเป็นราชวงศ์สืบสายมาแต่เจ้าขุนเครือ ขุนเครือเป็นพระโอรสพระเจ้ามังรายที่อยู่เมืองนายนั้น เจ้าท้าวแม่กุก็รับเชิญของเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วก็เสด็จมาปีกุน จุลศักราช ๙๑๓ (พ.ศ. ๒๐๙๔) เดือน ๙ ออก ๔ ค่ำ...”
เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
แหล่งอ้างอิง :
กรมศิลปากร. จารึกล้านนา ภาค ๒ เล่ม ๑ : จารึกจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.
ตำนานพระธาตุดอยสุเทพ. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๒. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าหญิงจามรีวงศ์ ท จ. ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๔๗๒).
บุญเสริม สาตราภัย. ลานนาไทยในอดีต. เชียงใหม่: โรงพิมพ์ช้างเผือกการพิมพ์, ๒๕๒๒.
ประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค), พระยา. พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์, ๒๕๑๖.
ประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค), พระยา. พงศาวดารล้านช้าง. พระนคร: โรงพิมพ์ธรรมพิทยาคาร, ๒๔๗๓.
(พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ ปวิน วิเศษภักดี มารดาหลวงรัตนสมบัติ วันที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๓).
ประวิทย์ ตันตลานุกุล. พระมหากษัตริย์กับวัดในตำนานล้านนา. เชียงใหม่: เชียงใหม่โรงพิมพ์แสงศิลป์, ๒๕๕๒.
พระครูโสภณกวีวัฒน์ (ธนจรรย์ สุระมณี). ตำนานเมืองเชียงใหม่. เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๒๕๕๐.
วิกิพีเดีย. สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๘, จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช#/media/ไฟล์:Setthathirat.JPG
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกวัดเชียงสา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๘, จาก: https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/13074
สำนักนายกรัฐมนตรี. ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๔.
สำนักพระราชวัง. พระแก้วมรกต และพระพุทธรูปอื่นๆ. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๘,
จาก: https://www.royalgrandpalace.th/th/discover/architecture/1/the-emerald-buddha
(จำนวนผู้เข้าชม 9 ครั้ง)