“สิงห์หน้าวัดล้านนา” ส่วนใหญ่มักเป็นสิงห์ตัวผู้ เนื่องจากมีขนสร้อยคออยู่ในท่านั่งด้วยสองเท้าหลัง งอหางขึ้นพาดไว้กลางหลัง สองเท้าหน้าตั้งยันพื้น อ้าปากแผดสิงหนาท ขนหัวตั้งชัน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะพุกามในสมัยที่พม่าเข้ามาครอบครองดินแดนล้านนา ในขณะเดียวกันได้นำเอาความคิดตามคตินิยมของพม่า อย่างเช่นในวัดบางแห่งสิงห์จะคาบสตรีไว้ในปาก เรียกว่า “สิงห์คายนาง” ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นแบบรูปแบบลักษณะของทางศิลปะล้านนาจนกลายมาเป็นอิทธิพลและความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมายังดินแดนล้านนาจวบจนปัจจุบัน
จากจารึกเรื่อง มหาวงษ์ ตรงผนังด้านบนหน้าต่างทางทิศตะวันออกของวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ ในหนังสือ “ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ” (๑๑๙ - ๑๒๐) กล่าวไว้ดังนี้
จารึกเรื่อง มหาวงษ์ แผ่นที่ ๑ ต้นเรื่องมหาวงศ์ ตั้งแต่พระเจ้าวังคราช ได้ราชธิดาพระเจ้ากลิ่งคราชมาเป็นมเหสี มีพระราชบุตรีพระองค์ ๑ ให้นามชื่อนางสุปราชบุตรี แล้วพระราชบิดาให้ประชุมเนมิตกาจารย์ ดูพระลักษณะ พระราชธิดา ราชปุโรหิตทั้งปวงทำนายว่า พระราชบุตรีจะได้เป็นภรรยา พระยาราชสีห์ ครั้นนางเจริญขึ้นมีสิริรูปงามยิ่งนัก แต่สันดานนั้นลามก พระราชบิดาขับเสียจากเมือง นางก็เที่ยวทำอนาจารด้วยบุรุษชาวชนบทหลายแห่ง วันหนึ่งนางเดินทางไปกับพวกพ่อค้าหาบ พบราชสีห์ที่กลางป่า พาณิชทั้งปวงกลัวหนีไปสิ้น นางเดินเข้าหาพระยาราชสีห์ ก็ยังนางขึ้นสู่หลังแห่งตน พาไปร่วมสังวาสกิจยังถ้าอันเป็นที่อยู่
จารึกเรื่อง มหาวงษ์ แผ่นที่ ๒ พระยาราชสีห์อยู่สังวาสด้วยนางสุปราชบุตรี ครั้นเพลาเช้า พระยาราชสีห์จะไปหาอาหารในป่า ก็กลิ้งก้อนสิลาใหญ่ปิดปากถ้าไว้ เมื่อกลับมาถ้าก็ผลักสิลาเปิดออก เอามังสะมาให้นางบริโภคทุกวัน จนนางมีครรภ์คลอดบุตรทั้งคู่เป็นกุมาร,กุมารี มีองคาพยพเป็นมนุษย์ หัตถ์บาทเป็นราชสีห์ ให้ชื่อเจ้าสีหพาหุ และนางสีหสิมพลี ครั้นบุตรทั้ง ๒ มีอายุได้ ๑๖ ปี เจ้าสีหพาหุปรารภจะพามารดาหนีก็ผลักสีลาซึ่งบิดาปิดปากถ้ำไว้ออกได้ จึงลองกำลังแบกสิลาเดินทางวันละ ๒๐๐ โยชน์ วันหนึ่งพอบิดาไปป่าเธอก็แบกมารดาและน้องหญิงหนีออกจากถ้ำแล่นไปพ้นแดนบิดา แล้วก็เอาใบไม้มากลัดเข้านุ่งห่ม พากันเดินมาสู่แดนมนุษย์
จารึกเรื่อง มหาวงษ์ แผ่นที่ ๓ เจ้าสีหพาหุกับมารดาและน้องหญิง มาถึงคามนิคมอันหนึ่ง พบพระอนุรเสนาที่ได้ร่มไทร อำมาตย์ผู้นั้นให้ผ้านุ่งห่มและอาหารบริโภค แล้วก็พาชนทั้ง ๓ มาสู่บ้าน ฝ่ายพระยาราชสีห์กลับมาถ้ำไม่พบบุตรภรรยา ก็แล่นตามมาถึงเขตมนุษย์ ทั้งปวงเห็นก็พากันหนีไปทูลเหตุแก่บรมกษัตริย์ ก็ให้โยธาออกไปจับพระยาราชสีห์ ก็แผดเสียงอันดังยังโยธาให้พ่ายไป บรมกษัตริย์ให้เอาทอง ๓,๐๐๐ กหาปณะใส่คอช้างไปเที่ยวประกาศชาวเมือง เจ้าสีหพาหุรับอาสาออกมาฆ่าราชสีห์บิดาตายด้วยธนูอันยิงไปต้องศีรษะตลอดกาย แล้วก็ตัดศีรษะบิดาพามาเมือง พอบรมกษัตริย์สวรรคต อำมาตย์ทั้งปวงก็ยกสมบัติให้เจ้าสีหพาหุ ก็ให้ไปเชิญอนุรเสนามามอบสมบัติให้ แล้วยกนางสุปราชมารดาเป็นมเหสี เธอก็พานางสีหสิมพลีผู้น้องไปสร้างเมืองสีหปุระในป่าใกล้ถ้ำพระยาราชสีห์บิดา แล้วกระทำนางสีหสิมพลีเป็นมเหสี
นอกจากนี้ พระนิพนธ์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จากหนังสือ “เที่ยวเมืองพม่า” (๓๓ - ๓๔) กล่าวถึง เค้ามูลของรูปสิงห์ตรงปางทางขึ้นบันไดนั้น เป็นเค้าเดียวกับเรื่องสีหพาหุในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกา ดังความว่า ครั้นลูกชายเติบใหญ่พาแม่กับน้องหญิงหนีกลับมาอยู่ในเมืองมนุษย์ ฝ่ายราชสีห์เที่ยวติดตาม พบผู้คนกีดขวางกัดตายเสียเป็นอันมาก จนร้อนถึงพระยามหากษัตริย์สั่งให้ประกาศหาคนปราบราชสีห์ กุมารนั้นเข้ารับอาสาออกไปรบราชสีห์ ยิงศรไปทีไรก็เผอิญผิดพลาดไม่สามารถฆ่าราชสีห์ ฝ่ายราชสีห์ก็ยังสงสารกุมารไม่แผดเสียงให้หูดับ ต่อสู้กันอยู่จนราชสีห์เกิดโทสะอ้าปากจะแผดเสียง กุมารก็เอาศรยิงกรอกทางช่องปากฆ่าราชสีห์ตาย ได้บำเหน็จมียศศักดิ์จนได้ครองเมืองเมื่อภายหลัง แต่เมื่อครองเมืองเกิดอาการให้ปวดหัวเป็นกำลัง แก้ไขอย่างไรก็ไม่หาย จึงปรึกษาปุโรหิต ๆ ทูลว่าเป็นเพราะบาปกรรมที่ได้ฆ่าราชสีห์ผู้มีคุณมาแต่หนหลัง ต้องทำรูปราชสีห์บูชาล้างบาปจึงจะหายโรค พระยามหากษัตริย์นั้นจะทำรูปสัตว์เดรัจฉานขึ้นบูชาก็นึกละอาย จึงให้สร้างรูปราชสีห์ขึ้นฝากไว้กับเจดียสถานที่บูชา จึงเป็นเป็นวัฒนธรรมและประเพณีสืบต่อกันมา
สำหรับชาดกเรื่องสิงห์คายนาง ซึ่งต้นฉบับที่ใช้ในการเรียบเรียงนี้มาจากต้นฉบับใบลานของวัดแม่คำน้ำลัด อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งถ่ายทำเป็นไมโครฟิล์มไว้ที่สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกเรื่องนี้ว่า สัตถาสัพพัญญูพระพุทธเจ้าสถิตสำราญในป่าเชตวันอารามเมืองสาวัตถี พระองค์แสดงอดีตธรรมให้แก่พระภิกษุทั้งหลายฟังว่า อตีเตกาเล พารณาสิยัง มหาสัตโต ทาติราชา พยุหตถา อาเกเลสุ อจิรัง น ปิยวาสิโน ภิกขเว ดูราภิขุทั้งหลายในกาลอันข้ามล่วงพ้นไปแล้วนานนักวันนั้น ปางเมื่อกูเกิดมาเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งมีชื่อว่า มหากรุณา ครองเมืองพาราณสีด้วยบารมีจึงทำให้บ้านเมืองสุขเกษมร่มเย็น เต็มไปด้วยพ่อค้านายขาย ตลอดจนน้ำฟ้าสายฝนก็บ่ขาดสาย แล
ต่อมามหากรุณาโพธิสัตว์ ก็มาคิดรำพึงถึงสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทอง ลูกเมียอันเป็นที่รัก เมื่อตายไปจักเอาไปด้วยหาได้ไม่ พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในโลกิยสมบัติ จึงได้หนีออกไปบวชเป็นพระฤๅษีอยู่ในป่า โดยได้รับความอุปถัมภ์เรื่องอาศรมและเครื่องบริขารจากพญาอินทา เจ้าฟ้าหากเนรมิตให้ ทรงบำเพ็ญศีลภาวนามีความสุขตามที่ได้ปรารถนา
ไม่ห่างไกลจากอาศรมเท่าใดนัก มีต้นนิโครธ (พืชตระกูลไทร) ต้นหนึ่ง มีร่มฉายาอันกว้าง มีลูกอันหวานหอม ในบริเวณป่าแถวนั้นมีสิงห์ตัวหนึ่ง กล้าหาญองอาจเป็นใหญ่แก่ฝูงสัตว์ทั้งหลาย พญาสิงห์ตัวนั้นหากินมาพบและกินลูกนิโครธ ก็เกิดความพอใจในรสอันหอมหวานนั้น จึงคิดหวงไว้กินแต่เพียงผู้เดียว และรำพึงในใจว่าแม้นมีสัตว์ และมนุษย์ผู้ใดมาเก็บกิน กูก็จักจับกินเป็นอาหาร รำพึงแล้วพญาสิงห์ก็แอบซ่อนอยู่ในบริเวณนั้น
ณ เมืองพาราณสี มีนางทุคตะ (คนยากจน) ผู้หนึ่ง เป็นหญิงที่ยากไร้อาศัยการขอทานเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตแห่งตนและบิดามารดาด้วย วันหนึ่งนางมีความประสงค์จะเข้าป่า เพื่อเก็บผลาลูกไม้ (ผลของต้นไม้ใหญ่น้อย) นางเดินเข้าไปพบต้นนิโครธอันมีรสหอมหวานนั้น นางก็เก็บลูกนิโครธเป็นที่ชุ่มชื่นยิ่งนัก นางจึงเก็บเอาส่วนหนึ่งเพื่อนำกลับไปให้บิดามารดาที่บ้าน ในขณะนั้นพญาสิงห์เห็นนางเก็บลูกนิโครธอยู่ จึงรำพึงว่านางผู้นี้มาเก็บเอาลูกนิโครธของตนด้วย ก็จักจับนางมากินเป็นอาหารให้อิ่มท้องตนคิดดังนั้นแล้ว พญาสิงห์จึงจับเอานางใส่ปากกลืนเข้าไปจนเหลือส่วนหัวและคอของนางโผล่ออกมาเท่านั้น นางจึงอ้อนวอนขอชีวิตต่อพญาสิงห์ พญาสิงห์ก็ไม่ยอมปล่อย นางจึงกล่าวด้วยปัญญาว่า ที่ท่านว่าเป็นต้นนิโครธของท่านนั้น หากไม่มีอะไรเป็นเครื่องจำหมาย ข้าก็หารู้ไม่ว่าท่านเป็นเจ้าของ ท่านจะกินข้าคงไม่ยุติธรรม ท่านควรพาข้าไปหาผู้ตัดสินว่าใครผิดใครถูก พญาสิงห์จึงพานางไปพบพระฤๅษี นางจึงเล่าเรื่องราวให้พระฤๅษีฟัง พระฤๅษีว่าพญาสิงห์ทำอย่างนี้หาถูกไม่ จึงตัดสินให้พญาสิงห์คายนางออกมา พญาสิงห์ไม่ยอม และกล่าวหาว่าพระฤๅษีเป็นมนุษย์เหมือนกับนาง ย่อมตัดสินเข้าข้างนางฝ่ายเดียว ถ้าข้ากินชิ้นนางหมดแล้วก็จะกินพระฤๅษีอีกคน
พระฤๅษีจึงอธิษฐานพระบารมีที่ได้สะสมมา แท่นศิลาอาสน์แห่งพญาอินทาก็ร้อนกระด้างแข็ง จึงได้นำค้อนวชิรเพ็กเหาะลงมากำราบพญาสิงห์ว่า โดยจะถามปัญหา ๓ ข้อ คือ
๑. มืดในโลกนี้ และโลกหน้า ได้แก่สิ่งใด
๒. สว่างแจ้งในโลกนี้ และโลกหน้า ได้แก่สิ่งใด
๓. สิ่งที่มีมากหลายยิ่งกว่าแม่น้ำ ได้แก่สิ่งใด
ถ้าพญาสิงห์ตอบไม่ได้ ก็จะตีหัวพญาสิงห์ให้แตกเป็นบั้ง เป็นท่อน ดังนั้นหากพญาสิงห์แก้ปัญหาไม่ได้ก็ให้ไปหาบัณฑิต นักปราชญ์มาแก้ปัญหาให้ด้วยความกลัวจนตัวสั่น พญาสิงห์ก็มารำพึงว่า เท่าที่มีแต่พระฤๅษีนั้นตนเดียวที่จักแก้ปัญหานี้ได้ พญาสิงห์จึงไปวอนขอให้พระฤๅษีช่วยแก้ปัญหาให้โดยสัญญาว่าถ้าถูกต้องแล้วจักคายนาง พระฤๅษีก็ตกจึงเฉลยปัญหาของพญาอินทาถูกต้องทั้ง ๓ ข้อ คือ
๑. มืดในโลกนี้ และโลกหน้า ได้แก่ คนอันธพาล มักทำแต่บาป เมื่อตายไปก็จักได้ไปเกิดในนรก ไม่ได้เห็นหน้าพระอริยเจ้า จึงได้ชื่อว่ามืดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
๒. สว่างแจ้งในโลกนี้ และโลกหน้า ได้แก่ ผู้ที่ได้สูตรเรียนเขียนอ่าน ทรงยังปัญญาธิคุณ รู้บุญรู้บาป รู้ประโยชน์ แม้ว่าจะอยู่ในที่อันมืด ก็เหมือนดังอยู่ในที่สว่าง
๓. สิ่งที่มีมากหลายยิ่งกว่าแม่น้ำ ได้แก่ โลภะ ตัณหาแห่งคนทั้งหลาย อันไม่รู้จักสิ้นสุด มีอยู่แล้วก็ยังอยากได้มาอีก โลภะ ตัณหาจึงได้ชื่อว่ามีมากกว่าแม่น้ำ ไม่มีสิ่งใด
จะเสมอเหมือน
พญาสิงห์ชื่นชมยินดีมากนัก จึงคายนางออกมาในที่ใกล้พระฤๅษีนั้น แล้วก็กลับไปยังที่อยู่แห่งตน พญาอินทาก็ให้แก้วแหวนเงินทองแก่นางและพานางกลับไปบ้านเพื่อให้เลี้ยงบิดามารดาดังเดิม พ้นจากความทุกข์ยากไร้ทั้งปวง ส่วนพระฤๅษีก็บำเพ็ญศีลภาวนาต่อไป เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
สิงห์คายนางในดินแดนล้านนาได้รับอิทธิพลศิลปะพม่าที่เผยแพร่เข้ามายังดินแดนล้านนา ในขณะที่มีเรื่องราวมาพร้อมกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างผสมกลมกลืนอย่างลงตัวจนกลายเป็นวัฒนธรรมและประเพณี ซึ่งลักษณะในการสร้างสิงห์ศิลปะล้านนาจะมีรูปแบบขนาดพอเหมาะได้สัดส่วนตามประตูวัด เจดีย์ หรือตามสถานที่บูชาต่างๆ ซึ่งได้สืบทอดมาจวบจนถึงปัจจุบัน
เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
แหล่งอ้างอิง :
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. เที่ยวเมืองพม่า. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๔๘๙. (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยาพิชัย (ดั่น บุนนาค)
เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๘๙).
ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ. กรุงเทพฯ: ศิวพร, ๒๕๑๗. (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๑๗).
วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘, จาก: https://www.facebook.com/photo?fbid=1011931374314968&set=a.469009838607127, ๒๕๖๗.
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกเรื่องมหาวงษ์. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘, จาก: https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/search
องค์การบริหารส่วนตำบลม่วงตึ๊ด. วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง ตำบลม่วงตึ๊ด จังหวัดน่าน. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘,
จาก: http://moungthued.go.th/tour-detail_171
(จำนวนผู้เข้าชม 198 ครั้ง)