ตำนานเสาอินทขีล อยู่บริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ และเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา รวมถึงเป็นแหล่งที่อยู่ของชุมชนชาวลัวะ ซึ่งภายในเมืองลัวะได้มีผีหลอกหลอนชาวบ้าน จึงเป็นสาเหตุทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไม่สามารถทำมาหากินได้ ชาวบ้านเมืองลัวะจึงขอความช่วยเหลือจากพระอินทร์ พระอินทร์จึงประทานพรความช่วยเหลือ โดยบันดาลบ่อสามบ่อ คือ บ่อเงิน บ่อทอง และบ่อแก้ว ไว้ในเมือง เมื่อเศรษฐีลัวะ ๙ ตระกูล แบ่งกันดูแลบ่อทั้งสามบ่อ บ่อละสามตระกูล โดยต้องให้ชาวลัวะถือศีลภาวนา รักษาคำสัตย์อย่างเคร่งครัด จะทำให้อธิษฐานสิ่งใดก็จะได้สมดังปรารถนา ชาวบ้านเมืองลัวะ จึงได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและเกิดความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นานความเป็นอยู่ของชาวบ้านเมืองลัวะที่มีความอุดมสมบูรณ์ได้แพร่หลายออกไปเป็นเหตุให้นำพาให้เมืองอื่นยกทัพมาขอแบ่งปันขอพรจากบ่อทั้งสามบ่อ ชาวบ้านเมืองลัวะเกิดความไม่สบายใจในความปลอดภัย จึงขอให้ฤๅษีนำความไปกราบทูลพระอินทร์ พระอินทร์ได้ให้กุมภัณฑ์ (ยักษ์สองตน) นามว่า พญายักขราช และพญาอมรเทพ รวมถึงชุดอินทขีล (เสาตะปูพระอินทร์) ใส่สาแหรกเหล็กหาบไปฝังไว้กลางเวียงนพบุรี (เมืองเชียงใหม่)
เนื่องจากเสาอินทขีลต้นนี้ มีฤทธิ์อย่างมากที่จะสามารถดลบันดาลให้ข้าศึกที่มานั้นกลายร่างเป็นพ่อค้า ซึ่งพ่อค้าเหล่านั้นต่างตั้งใจมาขอสมบัติจากบ่อทั้งสาม ชาวลัวะจึงแนะนำให้พ่อค้าถือศีล และรักษาคำสัตย์อย่าละโมบโลภมาก อย่างที่ชาวบ้านเมืองลัวะเคยปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา แต่มีพ่อค้าบางคนทำตามบ้าง บางคนไม่ทำตามบ้าง บางคนละโมบบ้าง ทำให้กุมภัณฑ์สองตนที่เฝ้าเสาอินทขีลต่างพากันโกรธ และหามเสาอินทขิลกลับขึ้นสวรรค์ไป ทำให้บ่อเงิน บ่อทอง และบ่อแก้ว ไม่สามารมารถดลบันดาลได้อย่างเช่นเดิม
ผู้เฒ่าชาวลัวะตนหนึ่ง ซึ่งได้บูชาเสาอินทขีลมาโดยตลอด และทราบว่ายักษ์ทั้งสองได้นำเสาอินทขีลกลับขึ้นสวรรค์ไปแล้วได้เกิดความเสียใจอย่างมาก จึงขอบวชนุ่งขาวห่มขาวบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ใต้ต้นยางเป็นเวลานานถึงสามปี ต่อมามีพระเถระรูปหนึ่งได้ทำนายว่า ต่อไปบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติ ชาวบ้านเมืองลัวะเกิดความกลัวจึงขอร้องให้พระเถระได้ช่วยเหลือ พระเถระจึงหาทางออกและบอกให้ชาวบ้านเมืองลัวะ ทั้ง ๔ ฝ่าย คือ พระภิกษุ ฤๅษี ผี และประชาชน ร่วมกันหล่ออ่างขางหรือกระทะขนาดใหญ่ แล้วใส่รูปปั้นต่างๆ อย่างละ ๑ คู่ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ด และไก่ เป็นต้น แล้วให้ปั้นรูปคนชายหญิงให้ครบร้อยเอ็ดภาษา (ผู้คนนานาชาติพันธุ์) ใส่กระทะใหญ่ลงฝังในหลุม แล้วทำเสาอินทขิลไว้เบื้องบนเพื่อทำพิธีสักการบูชาแทน จะทำให้บ้านเมืองพ้นภัยพิบัติ หลังจากนั้นการทำพิธีบวงสรวงสักการบูชาเสาอินทขิล จึงกลายเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
นอกจากนี้ ตำนานของชาวล้านนา โดยอาจารย์สนั่น ธรรมธิ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา ได้กล่าวว่า “... เดิมเสาอินทขีล เป็นเสาหินที่อยู่บนสวรรค์ พระอินทร์สั่งให้กุมภัณฑ์สองตนนำมาตั้งไว้ในเมืองนพบุรี (เชียงใหม่) เพื่อบันดาลโชคลาภและป้องกันภัย ต่อมาผู้คนกระทำการอันเป็นการไม่ให้ความเคารพต่างๆ นานา กุมภัณฑ์ไม่พอใจจึงหามกลับเมืองสวรรค์ เมื่อชาวเมืองเดือดร้อนก็ไปขอพระอินทร์อีก คราวนี้พระอินทร์แนะนำชาวเมืองก่อเองโดยให้หล่ออ่างขาง หรือกระทะขนาดใหญ่ แล้วให้หล่อรูปคนให้ได้ “ร้อยเอ็ดเจ็ดภาษา” คือ ผู้คนนานาชาติพันธุ์ หล่อรูปสัตว์ต่างๆ อาทิ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ด ไก่ หมู หมา แพะ แกะกวาง ลิง รวมทั้งปลา ปู หอย กุ้ง จระเข้ มังกร ตลอดจน ตะขาบ แมงป่อง ลงใส่ในอ่างขาง จากนั้นให้ขุดดินฝังอ่างขางนั้นลึกลงดินถึง ๙ ศอก แล้วก่อรูปเสาอินทขีลบนดินนั้น เพื่อไว้เป็นที่สักการบูชาแก่ชาวเมือง...”
สำหรับประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) ซึ่งในอดีตเสาอินทขีล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) แต่เดิมได้ประดิษฐานอยู่ที่ วัดอินทขิลสะดือเมือง ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในสมัยพญามังราย ทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น แล้วพระราชทานนามว่า “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๘๓๙ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของล้านนาในเวลาต่อมา
หลังจากนั้น ในปีพ.ศ. ๒๓๔๓ ในสมัยพระเจ้ากาวิละ ซึ่งเป็นเป็นพระเจ้านครเชียงใหม่พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ร่วมมือกับกองทัพของพระเจ้าตากสินมหาราช ขับไล่พม่าออกจากดินแดนล้านนาได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็ได้มีการฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ ขึ้นมาได้ย้ายเสาอินทขีลจากวัดวัดอินทขิลสะดือเมืองไปยังวัดโชติการาม หรือวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบัน
ต่อมาทรงปลูกต้นไม้หมายเมืองไว้คู่กับเสาอินทขีล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) คือ ต้นยางนา (ต้นยางหลวง) รวมถึงทรงให้สร้างรูปปั้นกุมภัณฑ์ เป็นสัญลักษณ์คู่กันเอาไว้ข้างวิหารเสาอินทขีล เสาอินทขีล จึงเป็นเสาหลักเมืองที่สำคัญและเป็นที่เคารพสักการบูชาถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ โดยในอดีตชาวล้านนามีความเชื่อว่าเป็นแหล่งรวมวิญญาณของชาวเมือง
แต่เดิมเสาอินทขีล เป็นเพียงเสาเพียงอย่างเดียว ในภายหลังมีการประดับกระจกตกแต่งให้สวยงาม แล้วนำพระพุทธรูปประดิษฐานเป็นประธานอยู่บนมณฑปเสาอินทขิล ภายในวิหารเสาอินทขีล ของวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร พระนามว่า พระเจ้าอุ่มเมือง หรือเรียกว่าพระเจ้าแป๊ขึด ซึ่งเป็นภาษาล้านนา หมายถึง พระพุทธรูปที่ปกห่มรักษา คุ้มครองบ้านเมือง อุ้มบ้านอุ้มเมืองให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข
แป๊ ภาษาล้านนา หมายถึง ชัยชนะ ความสำเร็จ ความสมหวัง ความสมปรารถนา (ชนะ สำเร็จ สมปรารถนา ทุกอย่าง) ส่วน ขึด หมายถึง เสนียดจัญไรอัปมงคล ที่อาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง
นอกจากจะมีการบูชาเสาอินทขีลแล้ว ประชาชน จะสักการบูชารูปเคารพอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณวัด เช่น รูปกุมภัณฑ์ นามว่า อมรเทพ (ศาลเหนือ), รูปกุมภัณฑ์ นามว่า พญายักขราช (ศาลใต้), รูปช้าง, รูปฤาษี หรือรูปเสือ เป็นต้น ตลอดจนชาวบ้านร่วมสรงน้ำพระธาตุเจดีย์หลวง และเคารพสักการะพระอัฏฐารส ในพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ในคราวเดียวกัน ซึ่งประเพณีนี้ได้ทำกันเป็นประเพณีและยึดถือปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน จนกลายเป็นประเพณีที่สำคัญอีกประเพณีหนึ่ง
งานประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล ยังได้มีการอัญเชิญพระเจ้าฝนแสนห่า ซึ่งเป็นประพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ที่ วัดช่างแต้ม ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีความเชื่อว่าพระเจ้าฝนแสนห่า เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดฝนตกต้องตามฤดูกาล ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ทำให้ประชาชนต่างเคารพกราบไหว้ด้วยจิตศรัทธา โดยนำมาพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานยังบนรถบุษบก และแห่มาประดิษฐานบริเวณหน้าพระวิหารวัดเจดีย์หลวง เพื่อให้ประชาชนได้บูชาและสรงน้ำพระเจ้าฝนแสนห่าได้อย่างทั่วถึง
งานประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) จึงเป็นประเพณีขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข และในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ประชาชนสามารถเข้าร่วมทำบุญในวันเข้าอินทขิล ตรงกับวันที่จันทร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ หรือแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ (หรือเดือน ๘ เหนือ) โดยจัดประเพณีฯ ระหว่างวันที่ ๒๓ – ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๘ และวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๘ หรือขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๗ (หรือเดือน ๙ เหนือ) เป็นวันทำบุญออกอินทขิล ซึ่งประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล จะกระทำพิธีสักการบูชาเป็นประจำทุกปี เรียกว่า “เดือนแปดเข้า เดือนเก้าออก” ผู้เข้าร่วมงานประเพณีฯ ต่างเตรียมนำดอกไม้ธูปเทียน ขันน้ำพร้อมขมิ้นส้มป่อยใส่พานหรือสลุง เพื่อทำการสักการบูชา แล้วนำดอกไม้วางบน “ขัน” หรือพานดอกไม้จนครบเหมือนกับการใส่บาตรดอกไม้ หรือเรียกอีกอย่างว่า “ใส่ขันดอก” นั่นเอง
เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
แหล่งอ้างอิง :
ธันวดี สุขประเสริฐ. เข้าอินทขิล. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๘, จาก: https://rituals.sac.or.th/detail.php?id=18,%202559, ๒๕๕๙.
มิวเซียม สยาม. ประเพณีเข้าอินทขิล ตำนานอินทขิลและประเพณีบูชาอินทขิล. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๘,
จาก: https://www.museumthailand.com/en/3826/storytelling/ประเพณีเข้าอินทขิล/
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เชียงใหม่. เพจวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เชียงใหม่. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๘,
จาก: https://www.facebook.com/p/วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร-เชียงใหม่-Wat-Chedi-Luang-Chiang-Mai-100066349282997/?locale=th_TH
สนั่น ธรรมธิ. ประเพณีบูชาเสาอินทขีล. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๘, จาก: https://accl.cmu.ac.th/Knowledge/details/2637, ๒๕๖๕.
(จำนวนผู้เข้าชม 372 ครั้ง)