...

องค์ความรู้ : วัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาวล้านนาไทย เรื่อง พระธาตุเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

เจดีย์หลวง เป็นมหาเจดีย์ทรงปราสาทที่ยิ่งใหญ่แบบล้านนา โดยอาศัยองค์ประกอบของเจดีย์ทรงระฆังมาไว้เหนือฐานทักษิณสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ของเจดีย์รูปทรงปราสาท ซึ่งองค์ระฆังส่วนยอดเจดีย์ได้พังทลายหักโค่นลงในสมัยพระนางจิระประภา เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว ส่วนบนของฐานทักษิณประดับด้วยช้างล้อมด้านทั้งสี่มีซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ด้าน

สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชพระเจ้าแผ่นดินมคธ ประเทศอินเดีย โดยพระโมคคัลลีบุตรติสสะ ซึ่งเป็นเป็นพระภิกษุ และนักปราชญ์ชาวพุทธ ได้ส่งพระสมณทูตออกไปประกาศศาสนา คือ พระโสณะและพระอุตตระ เป็นเป็นชาวชมพูทวีป และได้ถูกส่งมายังดินแดนสุวรรณภูมิในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะปรากฏในคัมภีร์ชาดกของพระพุทธศาสนา เช่น มหาชนกชาดก เป็นต้น เกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และประกาศศาสนามีปูชนียวัตถุ นอกจากนี้ได้กล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ คือ พระธาตุเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช และพระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เป็นต้น

ในสมัยก่อนที่จะมาเป็นพระธาตุเจดีย์หลวง เป็นเพียงเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุขนาดเล็ก สูง ๓ ศอก ไว้เพื่อสักการบูชาเป็นสิริมงคลและยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งจากตำนานเล่าว่ามีมนุษย์ผู้หนึ่งอายุกว่า ๑๒๐ ปี มีใจเลื่อมใสในพระบรมธาตุนั้น ถึงกับนำเอาเอาผ้าที่ห่มชุบน้ำมันจุดบูชา และได้มีคำทำนายในกาลก่อนตามบุพพนิมิตรนี้ว่า ต่อไปข้างหน้าที่ตรงนี้จะเป็นพระอารามใหญ่ ชื่อว่า วัดโชติการามวิหาร แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรืองสว่างไสว

พระธาตุเจดีย์หลวง ใช้ระยะเวลาในการสร้างหลายสมัยกว่าจะแล้วเสร็จ โดยในหน้าหนังสือเรื่อง ชินกาลมาลีปกรณ์ (หน้า ๙๖) ระบุว่าพระเจ้าผายู พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๕ แห่ง ราชวงศ์มังราย เป็นผู้สร้างเจดีย์หลวงขึ้นกลางเมือง มีความสูง ๗๖ ศอก ฐานแต่ละด้านกว้าง ๔๘ ศอก

ต่อมาในปีพ.ศ. ๑๙๓๔ สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๗ โอรสของ พระเจ้ากือนา พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๖ กล่าวถึงตำนานของวัดเจดีย์หลวง สรุปความว่า เมื่อพระองค์สวรรคตไปแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นนิโครธ (ต้นไทร) ใหญ่ต้นหนึ่ง ทางไปเมืองพุกาม ประเทศพม่า ครั้งนั้นได้มีพ่อค้าชาวเชียงใหม่เดินทางไปค้าขายในเมืองพุกาม ได้ไปพักค้างคืนอยู่ใกล้ต้นไม้นั้น ในคืนนั้นรุกขเทวดาอันมีชาติเดิมเป็นพระเจ้ากือนา ทรงแสดงตนให้ปรากฏ และได้บอกเล่าว่าตนคือ พระเจ้ากือนาได้มาบังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่นี้ ขอให้พวกพ่อค้าได้ทูลพระเจ้าแสนเมืองมา ราชโอรสด้วยว่า ให้สร้างพระเจดีย์องค์หนึ่งให้สูงกว่าพระเจดีย์ทั้งหลาย โดยให้คนทั้งหลายซึ่งอยู่ไกลประมาณ ๒๐๐๐ วา หรือ ๔ กิโลเมตร ได้เห็นแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับตน เพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลกด้วยบุญกุศลนั้น เมื่อพระเจ้าแสนเมืองมาทรงทราบ และทรงแสดงถึงความกตัญญู เพื่อสนองพระราชประสงค์ของพระราชบิดา หลังจากนั้นทรงพบพระเจดีย์องค์เล็กที่สร้างไว้แต่ในครั้งอดีต

เมื่อวันพุธ ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๗ เหนือ ปีมะเมีย พ.ศ. ๑๙๓๔ ตรงกับจุลศักราช ๗๕๒ เวลาเย็นเป็นมหาฤกษ์ พระเจ้าแสนเมืองมาพร้อมเสนาอำมาตย์และสมณพราหมณ์ อุบาสก อุบสิกา ได้ทำพิธียกเอาต้นมหาโพธิ์ต้นหนึ่ง ซึ่งใช้เงินประดิษฐ์เป็นลำต้น ใช้ทองคำประดิษฐ์เป็นใบ และยอดสูงเท่าองค์พระเจ้าแสนเมืองมา เข้าไปไว้ในท่ามกลางมหาเจดีย์อันจะเริ่มก่อนั้น แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่ง พระพุทธรูปเงินองค์หนึ่ง ประดิษฐานไว้ ณ โคนต้นมหาโพธิ์กันพร้อมด้วยเครื่องสักการบูชาเป็นอันมาก และได้เริ่มก่อสร้างพระมหาเจดีย์ตั้งแต่วันนั้นมาโดยลำดับ การก่อสร้างได้ดำเนินมานานถึง ๑๐ ปี ก็มาพบอุปสรรคหลายอย่างประกอบกับพระเจ้าแสนเมืองมาสวรรคต การก่อสร้างจึงต้องหยุดชะงักตามไปด้วย

ต่อมาในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๘ แห่งราชวงศ์มังราย ผู้เป็นรัชทายาทสืบพระราชสมบัติ แต่ในขณะนั้นพระเจ้าสามฝั่งแกนนั้นยังทรงพระเยาว์อยู่มาก พระมารดาของพระองค์ทรงพระนามว่า พระนางติโลกจุฑาราชเทวี” จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระนางติโลกจุฑาราชเทวีพระราชมารดาได้ดำเนินการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ โดยหน้ามุขประสาทนั้นต่อขึ้นไปอีกนานได้ ๔ ปี จนถึงปี พ.ศ. ๑๙๕๕ ในวันเพ็ญ เดือน ๑๐ สำเร็จเป็นเจดีย์โดยสมบูรณ์ พระนางติโลกจุฑาเทวีพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ สมณะ ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ร่วมทำพิธียกฉัตรยอดมหาเจดีย์อันสร้างด้วยทองคำหนัก ๘,๙๐๒ เสี้ยวคำ ทั้งเอาแก้วสามดวงชุมนุมกันใส่ยังยอดมหาเจดีย์นั้นไว้ ส่วนสูงนับแต่ธรณีถึงยอด ๓๙ วา มหายอดเจดีย์นั้นกว้าง ๒๐ วาในทุกด้าน  พระมหาเจดีย์ประดับไปด้วยซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน มีพระพุทธรูปใหญ่นั่งสมาธิ ทั้ง ๔ ด้าน มีรูปนาค ๘ ตัวๆ ๕ หัว อยู่ใน ๒ ข้างบันได มีราชสีห์ ๔ ตัว ยืนค้ำตีนชายปราสาท มีรูปช้าง ๒๘ เชือก และรูปร่างของมหาเจดีย์ที่สร้างสำเร็จแล้วสามารถมองเห็นจากระยะไกลถึง ๒,๐๐๐ วา ซึ่งเป็นไปตามพระราชประสงค์

เมื่อปีพ.ศ. ๑๙๘๖ พระเจ้าติโลกราช พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๙ พระราชโอรสในพระเจ้าแสนเมืองมา ซึ่งสมัยนั้นพระมหาสัทธรรมกิตติเถระ เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดโชติการามวิหาร มีความประสงค์จะบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์ และพระวิหารที่ชำรุดทรุดโทรม จึงปรึกษากับหมื่นช่าง ซึ่งเป็นชาวพุกาม ประเทศพม่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถมากทางด้านนี้ ต่อมาหมื่นช่างรับอาสาไปกราบทูลพระเจ้าติโลกราช พระองค์จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสที่จะดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ ซึ่งตรงกับปีพ.ศ. ๒๐๑๗ ปีมะเส็ง

ครั้งนั้นได้ทำการปรับเปลี่ยนวิหารขึ้นใหม่ มีความยาว ๑๙ วา ส่วนกว้าง ๔ วา นอกจากนี้ยังได้สร้างธรรมาสน์และแท่นแก้วอันเป็นประดิษฐานพระประธานด้วย หลังจากนั้นอีก ๖ ปี พระเจ้าติโลกราช โปรดให้หมื่นด้ำพร้าคต ซึ่งเป็นนายช่างเอก (หมื่นด้ำพร้าคต ได้ปรากฏชื่อในตำนานต่างๆ กัน คือ ตำนานโยนก เรียกว่า หมื่นด้ำพร้าคต, ชินกาลมาลินีปกรณ์ เรียกว่า สีหโคตรเสนาบดี, ตำนานพระธาตุวัดเจดีย์หลวง เรียกว่า หมื่นด้ำสีหโคตร ส่วนตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า หมื่นด้ำพร้าคต) บูรณะเสริมสร้างพระมหาเจดีย์ กลางเวียงเชียงใหม่ ในระหว่างนั้นได้หาทางขึ้นเพื่อที่จะซ่อมแซม และพยายามขึ้นไปดูข้างบนอยู่ ๓ วัน แต่ก็ไม่สามารถหาทางขึ้นไป จึงนำความไปปรึกษากับเจ้าอาวาส โดยพระมหาสัทธรรมกิตติเถระ ได้แนะนำว่าต้องมีชายอยู่ ๖ คนที่จะขึ้นไปซ่อมแซม ได้แก่ สมภาร ๑สิน ๑. ใจมัก ๑อ้าย ๑อุ่น ๑และหมื่นด้ำพร้าคต ซึ่งในที่สุดสามารถดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ได้ โดยทำการดัดแปลงแก้ไขตั้งแต่ยอดเจดีย์จังโกทองคำ และแกนเหล็กเรื่อยมาจนถึงซุ้มโขงมหาเจดีย์

ต่อมาหมื่นด้ำพร้าคต ได้ให้ขุดรากลงเข็ม ให้ขยายกว้างออกไปด้านละ ๔ วา ลึกประมาณ ๒ วา แล้วจึงถมด้วยหินอ่อนและทรายจนแน่น หลังจากนั้นหมื่นด้ำพร้าคต จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าติโลกราช ว่าพระมหาเจดีย์ที่จะก่อสร้างใหม่นี้ จะมีรูปร่างเป็นอย่างไร โดยพระเจ้าติโลกราช ได้ตรัสถึงพระสุบินนิมิตของพระองค์ว่า ในพระองค์นิมิต มีเทวดาตนหนึ่งนำรูปพระเจดีย์ที่สวยงามมาก ซึ่งในส่วนเบื้องบนของพระเจดีย์ พระองค์จำได้อย่างแม่นยำ แต่ส่วนด้านล่างจำได้บางส่วน อย่างไรก็ตามยังคงเป็นพระเจดีย์ที่มีสัดส่วนสวยงาม โดยเทวดาที่นำรูปพระเจดีย์มาให้ดูในพระสุบินนิมิต คือ พระเจ้ากือนา พระอัยกาผู้จุติไปบังเกิดเป็นเทวดาองค์นั้นเอง

พระเจ้าติโลกราช ทรงวางดินเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๒ ตรงกับจุลศักราช ๘๔๐ ปีจอ โดยพระองค์โปรดให้ปฏิสังขรณ์จากแบบเดิมให้ใหญ่ขึ้น โดยพระองค์ทรงโปรดให้หมื่นด้ำพร้าคต พร้อมด้วยคณะช่างเขียนไปถ่ายแบบโลหะปราสาท และรัตนมาลีเจดีย์ ณ เมืองลังกา ประเทศอินเดีย เพื่อดูพระเจดีย์ที่มีลักษณะรูปทรงงาม และมีลักษณะแปลกกว่าองค์อื่นๆ แล้วกลับมาปฏิสังขรณ์กุฏิมหาธาตุ หรือเจดีย์ลักษณะบุราคม คือเจดีย์หลวง กลางเวียงเมืองเชียงใหม่ ครั้นแล้วเสร็จทรงบรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งนำมาจากทวีปลังกา เพื่อมาไว้ในมหาสถูป แล้วหุ้มทองจังโกพระเจดีย์ โดยมีฐานกว้างประมาณด้านละ ๒๘ วา และสูงประมาณ ๔๕ วา มีพระพุทธรูปใหญ่สร้างด้วยปูนนั่งสมาธิอยู่ ณ โขงไม้มหาโพธิ์ อยู่ภายในซุ้มทั้งสี่ด้าน มีบันไดทั้งสี่ด้านเป็นรูปพญานาคอยู่ ๘ ตัวๆ ละ ๕ หัว มีราชสีห์ ๔ ตัว ยืนค้ำตีนชายประสาท มีรูปช้าง ๒๘ ตัวอยู่รอบๆ องค์พระเจดีย์ เมื่อขึ้นไปแค่คอพระเจดีย์ข้างบนสามารถมองเห็นภูมิประเทศรอบๆ ตัวเมืองได้ในระยะไกล ซึ่งพระเจดีย์ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปีพ.ศ. ๒๐๒๔ ตรงกับจุลศักราช ๘๔๓ นับเป็นเวลา ๓ ปี

หลังจากนั้นในปีพ.ศ. ๒๐๘๘ ในรัชสมัยพระนางจิรประภาเทวี พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ ๑๔ ได้เกิดพายุฝนตกหนักและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ยอดพระเจดีย์หลวงหักพังทลายลงมาเหลือให้เห็นดังสภาพปัจจุบัน วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จึงนับเป็นวัดที่สำคัญมากวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่มาตั้งแต่อดีต อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของเสาอินทขิล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) ซึ่งมีประเพณีบูชาเสาอินทขีล นับเป็นประเพณีของชาวเชียงใหม่เป็นประจำทุกปี

เรียบเรียงโดย : นายธีรบูลย์ มิตรมโนชัย นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม

แหล่งอ้างอิง :
ประชากิจกรจักรพระยา (แช่ม บุนนาค).  พงศาวดารโยนก.  กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์, ๒๕๑๖.

ประชาสัมพันธ์ จังหวัดเชียงใหม่.  สมโภช ๖๐๐ ปี พระธาตุเจดีย์หลวง.  เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๓๘.

พระรัตนปัญญาเถระ.  ชินกาลมาลีปกรณ์.  แปลโดย แสง มนวิทูร.  พระนคร: กรมศิลปากร, ๒๕๐๑.

วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่.  ตำนานวัดเจดีย์หลวง และตำนานอินทขิล.  ม.ป.ท.: ม.ป.พ.๒๕๒๓.

(จำนวนผู้เข้าชม 378 ครั้ง)


black ribbon.